เจียวซินกับมิมีผู้ใดดีต่อกัน

3002 คำ
“หนิงเออร์ เหตุใดพวกนางต้องมาคารวะข้าแต่เช้าเช่นนี้ด้วย” เช้าวันนี้ เจียวซินถูกปลุกขึ้นมาแต่งกาย ผัดหน้าแต่เช้า เพื่อมานั่งรอบรรดาเมียๆ ของสวามี ตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในโลกนี้เกือบสิบวัน วันนี้เป็นวันที่เขาหงุดหงิดเป็นที่สุด สิบวันที่ผ่านมานางไม่ได้ทำอะไรเลย จะหยิบจับอันใดก็มีคนทำให้ทุกอย่างจน น่าเบื่อหน่าย ท่านอ๋องที่เคยบอกว่าจะพาไปค่ายทหารก็ผัดผ่อนมาเรื่อยๆ มีเพียงนำองค์รักษ์เงาสามคนที่จะให้ติดตามนางมาแนะนำให้รู้จักเท่านั้น นอกนั้นก็แทบจะมิได้เจอหน้ากัน แล้ววันนี้ยังจะต้องตื่นเช้ามารอรับการคำนับจากชายารองและอนุของสวามีอีก น่าเบื่อหน่ายเกินไปแล้ว คิดถึงเด็กนักเรียนของนางเสียจริง ตอนทำงานเป็นครู มิมีวันใดเลยที่ไม่ตื่นเต้นเพราะในแต่ละวันก็จะเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันแตกต่างกันไป “เป็นเวลานี้ปกติอยู่แล้วเพคะ ก่อนหน้านี้พระชายาประชวรจึงละเว้นการคำนับไปในช่วงนั้นเพคะ” “เอาเถิดๆ แล้วเมื่อไหร่พวกนางจะมา” พูดได้ไม่ทันขาดคำ เสียงของนางกำนัลหน้าห้องก็ดังขึ้น “ทูลพระชายา พระชายารองและอนุทั้งสามขอเข้าเฝ้าเพคะ” “ให้พวกนางเข้ามา” “คำนับพระชายาเอกเพคะ” ทั้งสี่คนกล่าวพร้อมกัน “อย่าได้มากพิธี พวกเจ้านั่งดื่มชาและขนมของว่างก่อนเถิด” “ขอบพระทัยเพคะ พระชายาเอก” ทั้งสี่ยอบกายลงที่นั่งของตนทันที “อาการของพระชายาดีขึ้นแล้วหรือเพคะ” อันอ้ายฉิงเอ่ยถามขึ้นมาคนแรก เจียวซินหันมองไปที่หนิงเออร์เพื่อขอความช่วยเหลือเพราะตอนนี้นางไม่รู้จักคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าแม้แต่คนเดียว “คนถามเป็นชายารองอัน อันอ้ายฉิงเพคะ ส่วนด้านหลังทางซ้ายเป็นอนุถัง ตรงกลางเป็นอนุตง และทางขวาเป็นอนุจ้งเพคะ” หนิงเออร์ยืดตัวเข้ามากระซิบ ข้างหูผู้เป็นนาย เมื่อได้ข้อมูลเจียวซินจึงได้ตอบคำถามของชายารอง “ข้าดีขึ้นมากแล้ว ขอบใจชายารองอันมากที่ถามไถ่” “มิได้เพคะ หม่อมฉันกังวลเหลือเกินว่าพระชายาจะวิปลาสตามที่ผู้อื่นกล่าว” อันอ้ายฉิงพูดจบก็แสร้งยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก โอ้โห?! นี่เจอกันวันแรกก็เปิดศึกเลยสินะ คิดว่าจะยอมรึ นอกจาก ผอ.โรงเรียน ที่ข้าเคยทำงานในโลกก่อนแล้วข้าก็ไม่กลัวใครแล้ว “หึๆ มิได้เป็นเช่นนั้นหรอกชายารองอัน ผู้อื่นก็ว่าไปตามประสาคนมิรู้ความ เจ้าอย่าได้เก็บคำเล่าลือมิมีความจริงมาใส่ใจดังคนโง่เขลาเบาปัญญา มิรู้จักกรองข่าวสารเช่นนี้ คราหน้าจะลำบากเอาได้” ก็มาสิ มิต้องด่าด้วยคำหยาบคาย มิต้องแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายเจ็บใจได้ นี่หล่ะจางเจียวซินคนใหม่ นางจะไม่ยอมเป็นนางร้ายในสายตาผู้อื่นอีกต่อไป เจียวซินเคยได้ยินจากหนิงเออร์เอ่ยว่าเมื่อก่อนชายารองและเหล่าอนุมักจะพูดจากยั่วยุอารมณ์ของเจียวซินอยู่บ่อยครั้งทำให้เจียวซินโมโหจนอาละวาด ส่วนพวกนางก็ทำตัวเป็นผู้ถูกกระทำที่ น่าสงสาร หึ นางดอกบัวขาวพวกนี้ หากมายุ่งวุ่นวายกับข้าอีก ข้าจะเด็ดกลีบดอกพวกเจ้าจนสิ้นมิให้เหลือแม้แต่กลีบเดียว “นั่นสิชายารองอัน ท่านหลงเชื่อข่าวไม่มีมูลเหล่านั้นได้อย่างไร น่าขันนัก” ตงลี่ถังสบโอกาสก็กล่าวเสียดสีอันอ้ายฉิงทันที “มิใช่ว่าเป็นเจ้าหรอกหรือที่ป่าวประกาศว่าพระชายาเอกวิปลาสไปแล้ว” จ้งลู่เอินกล่าวขัดขึ้น ทำเอาอนุตงถึงกับหน้าคล้ำลง “ข้ามิได้-” ยังไม่ทันที่อนุตงจะกล่าวแก้ตัว เจียวซินก็ได้เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน “เอาเถิดๆ พวกเจ้ามิต้องถกเถียงกัน คราวหน้าหากได้ข่าวสารอันใดมา จงใช้ความคิดของพวกเจ้ากลั่นกรองเสียก่อน ค่อยนำมาพูดต่อ วันนี้หากมิมีอันใดแล้วพวกเจ้าก็กลับตำหนักตนเองเถิด ข้าจะพักเสียหน่อย อ้อ! หรือพวกเจ้าจะอยู่ทานของว่างให้หมดก่อนข้าก็มิว่าอันใด” กล่าวเพียงเท่านี้เจียวซินก็ลุกเดินออกจากห้องโถงตรงไปห้องนอนทันที “เห้อออออ ปวดหัวเหลือเกิน พวกนางเป็นเช่นนี้ตลอดเลยหรือ” “เป็นเช่นนี้มาตลอดเพคะ ชายารองและเหล่าอนุล้วนไม่มีผู้ใดดีต่อกันเพคะ มักพูดจาถากถางกันอยู่เนืองๆ จะมีก็แต่อนุถังที่มิค่อยมีปากมีเสียง โอนเอนไปทางผู้นั่นทีผู้นี้ทีเพคะ” “อ่า เป็นคนฉลาดสินะ ทำตัวเป็นหญ้าลู่ไปตามลม…แล้ว เอ่อ แล้วท่านอ๋องโปรดผู้ใดมากที่สุด” เจียวซินถามหนิงเออร์ด้วยความอยากรู้ อย่างน้อยนางก็จะได้รู้ว่าควรเอาใจผู้ใด “ตั้งแต่ที่หม่อมฉันเข้ามาที่นี่พร้อมพระชายา ยังมิเคยเห็นท่านอ๋องจุดโคมตำหนักใดเลยเพคะ มีบ้างที่ไปเยี่ยมเยือน แต่ไม่นานก็กลับตำหนักใหญ่เพคะ หากให้หม่อมฉันคาดเดาอาจจะเป็นอนุถังนะเพคะ เพราะนางเป็นอนุเพียงคนเดียวที่ท่านอ๋องต้องการแต่งเข้ามา อีกทั้งท่านอ๋องยังไปเยี่ยมเยือนอนุถังอยู่บ่อยครั้งเพคะ” “อืม อนุถังงั้นหรือ… ว่าแต่เจ้า มีหูสองข้าง มีตาสองตาจริงหรือ เหตุใดจึง รู้เรื่องราวของผู้อื่นมากมายถึงเพียงนี้” เจียวซินจับปลายคางของคนสนิทหันซ้ายทีขวาที ทำท่าเหมือนกำลังมองหาหูตาที่ซ่อนอยู่ของคนสนิท “โถ่พระชายา ทรงล้อหม่อมฉันเล่นแล้วเพคะ” หนิงเออร์ทำหน้าเขินอายจนเจียวซินถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง “หนิงเออร์ที่นี่มีห้องตำราหรือไม่” เจียวซินที่ว่างจนเบื่อจึงคิดว่าหากได้อ่านหนังสือคงคลายความเบื่อหน่ายลงได้บ้าง อีกอย่างนางมีเวลาเพียงแค่สองหนาวก่อนที่จะหย่าขาดกับท่านอ๋อง ดังนั้นนอกจากเบี้ยหวัดแล้วนางควรหาความรู้เกี่ยวกับโลกนี้ไว้บ้าง “เอ่อ มีห้องตำราของท่านอ๋องเพคะ หากอยากเข้าไปคงต้องขออนุญาต ท่านอ๋องก่อนเพคะ” “งั้นเราไปเตรียมเครื่องเสวยเถิด วันนี้ข้าจะไปรับสำรับเช้ากับท่านอ๋อง” ว่าแล้วเจียวซินก็เดินตรงไปที่โรงครัวทันที ด้านเฟยเทียนกำลังนั่งฟังรายงานขององค์รักษ์เงาที่ส่งไปติดตาม เจียวซิน “พระชายามิได้ออกไปที่ใด ไม่ได้พบเจอผู้ใดเลยพ่ะย่ะค่ะ ส่วนมากจะนั่งเล่นที่ศาลาริมสระหรือไม่ก็ศาลาในสวนพ่ะย่ะค่ะ” “แล้วท่าทีของนางเป็นอย่างไร” “พระชายาดูเหมือนมิรู้สิ่งใดจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ พระชายามักสอบถามเรื่องต่างๆ จากหนิงเออร์ แม้แต่เรื่องการปฏิบัติตนยังถูกหนิงเออร์กล่าวเตือนอยู่หลายครั้ง พ่ะย่ะค่ะ” “อืม ติดตามดูต่อไป หากมีอันใดเร่งด่วนมาแจ้งข้าได้ทันที แล้วตอนนี้ใครดูแลนางอยู่” “เป็นหงฮวาและไป่ฮวาพ่ะย่ะค่ะ” องค์รักษ์เงากล่าวชื่อลับของเพื่อนทั้งสองด้วยความขัดเขิน “อ่าาา งั้นเจ้าคงเป็นหวงฮวาสินะ ฮึๆ” เฟยเทียนนึกไปถึงยามที่เขานำองค์รักษ์เงาทั้งสามคนไปพบเจียวซิน “พวกท่านมีชื่อหรือไม่” “พวกกระหม่อมถูกเรียกขานว่า อี เอ้อ และซาน พ่ะย่ะค่ะ” “อีกแล้วหรือ องค์รักษ์เงาของคนอื่นๆ ก็ถูกเรียกว่า อี เอ้อ ซาน มันซ้ำกับผู้อื่น หม่อมฉันขอเปลี่ยนชื่อพวกเขาใหม่ได้หรือไม่เพคะท่านอ๋อง” เจียวซินอยากเปลี่ยนชื่อองค์รักษ์เงาของ (สวามี) ตน เพราะไม่ว่าจะเป็นนิยายกี่เรื่องๆ ที่นางเคยอ่าน ก็ต้องมีเงาที่ถูกเรียกว่าอี เอ้อ ซาน! อี เอ้อ ซาน! “เจ้านี่มันมากเรื่อง…จะเปลี่ยนอันใดก็เปลี่ยน” “ถ้างั้นท่าน…ผิวขาวเช่นนี้มีชื่อว่า ไป่ฮวา (ดอกไม้สีขาว) ส่วนท่าน หงฮวา(ดอกไม้สีแดง) และคนสุดท้ายเป็น…หวงฮวา (ดอกไม้สีเหลือง) เป็นอย่างไรชอบชื่อที่ข้าให้หรือไม่” ชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนยืนอึ้งกับชื่อที่ไม่เข้ากับรูปร่างและหน้าที่ของพวกเขาเอาเสียเลย พวกเขาทำหน้าที่องค์รักษ์ จับดาบ ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน แต่กลับถูกเรียกขานเช่นนั้นมัน... “อุบ! หึ หึ ชายาข้าถามว่าขอบหรือไม่ เหตุใดไม่ตอบ” เฟยเทียนได้สติก่อนใคร แม้อยากส่งเสียงหัวเราะออกไปสักเพียงใด แต่อยู่ต่อหน้าผู้ใต้บัญชาจึงทำได้แต่กลั่นเสียงเอาไว้ บังคับปากไม่ให้ยิ้มจนมุมปากกระตุกยิกๆ คงน่าขันไม่ต่างจากชื่อของเหล่าองค์รักษ์เงาที่เจียวซินตั้งให้ “ชะ ชอบพ่ะย่ะค่ะพระชายา” หงฮวากล่าวตอบรับคำถามของพระชายาด้วยท่าทางขัดเขิน นึกไปถึงตอนนั้นเฟยเทียนอดรู้สึกขบขันมิได้ “เอาเถิด ชื่อพวกเจ้าก็ไพเราะดี เจ้าไปทำงานของเจ้าเถิด” องค์รักษ์เงาออกไปได้ไม่นานขันทีจิ้นหนานก็กล่าวเชิญเฟยเทียนให้ออกไปรับสำรับเช้า โดยไม่ลืมบอกว่าเช้านี้เจียวซินขออยู่ร่วมรับสำรับเช้าด้วย ซึ่งท่านอ๋องก็มิได้กล่าวขัดอันใด “มาแล้วหรือเพคะ หม่อมฉันขออยู่ร่วมรับสำรับด้วยนะเพคะ” “อืม คราวนี้ต้องการสิ่งใดเล่า” เฟยเทียนหยิบตะเกียบขึ้นคีบอาหาร “ต้องการสิ่งใด หมายความว่าอย่างไรเพคะ” “มิใช่หรือ คราวก่อนเจ้ามาร่วมรับสำรับเช้ากับข้าเพื่อมาขอไม่ให้ข้าหย่า คราวนี้เล่า…ต้องการสิ่งใด” เฟยเทียนเอ่ยไปตามที่คิด เพราะหลังจากตอนที่ มาขอร้องมิให้เขาหย่า นางก็มิเคยมาขอร่วมรับสำรับพร้อมเขาอีกเลย คราวนี้ มาขอร่วมรับสำรับเช้าด้วย ก็ย่อมมีสิ่งที่ต้องการมิใช่หรอกหรือ “แหะๆ เป็นเช่นนั้นเพคะ หม่อมฉันได้ยินว่าท่านอ๋องมีห้องตำรา” “แล้วอย่างไร” “หม่อมฉันอยากศึกษาหาความรู้จึงอยากขอท่านอ๋องเข้าไปอ่านตำราในห้องตำราของท่านได้หรือไม่เพคะ” “…” เฟยเทียนนิ่งเงียบ คุ้นคิดว่าเจียงซินต้องการสิ่งใดกันแน่ หรือว่าต้องการสืบข้อมูลของเขาไปให้ผู้อื่น หลายคนอาจคิดว่าเขานั้นระแวงจนเกินไป แต่ห้องตำราที่เจียวซินพูดถึงเป็นห้องเดียวกับห้องทำงานของเขาที่เก็บข้อมูลสำคัญต่างๆ ไว้มากมาย เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่ “หม่อมฉันสัญญาว่าจะไม่รบกวนท่านอ๋อง จะไม่หยิบจับสิ่งใดหากมิได้รับความยินยอมจากท่านอ๋องเพคะ ให้หม่อมฉันเข้าไปเถิดนะเพคะ” เจียวซิน พยายามอย่างหนักในการโน้มน้าวใจเฟยเทียน “เช่นนั้นก็ย่อมได้” เฟยเทียนตัดสินใจให้เจียวซินเข้าไปใช้ห้องตำรา จะได้รู้เสียทีว่านางต้องการอันใดกันแน่ อีกอย่างเขาอยากรู้ว่านางจำสิ่งใดไม่ได้จริงๆ หรือเพียงหลอกว่าจำไม่ได้ เมื่อตัดสินใจดังนี้แล้วเฟยเทียนจึงปรายตาไปมอง ห่าวซวนเพียงเล็กน้อย ห่าวซวนก้มหน้ารับคำสั่งแล้วเดินออกจากห้องโถงไปทันที “ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง” เจียวซินยิ้มกว้างให้กับคำตอบของท่านอ๋อง แล้วจึงคีบอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย “ท่านเป็นเด็กหรือไร ถึงได้เขี่ยผักทิ้งเช่นนั้น” เจียวซินเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นเฟยเทียนเขี่ยผักที่ติดอาหารออก ทั้งยังคีบเมนูผักให้เฟยเทียนอีกด้วย “นี่เจ้ากล้า-” เฟยเทียนกัดฟันกรอด กล้าดีอย่างไรมาว่าให้เขาเป็นเด็ก แม้แต่องค์ฮ่องเต้ยังเอ่ยชมเขาอยู่หลายหนว่ามีความคิดเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เขาอายุเพียงสิบห้าหนาว แต่นี่เขาอายุได้ยี่สิบห้าหนาวแล้ว นางยังกล้ากล่าวว่าเขาเป็นเด็ก ช่างกล้า ช่างกล้านัก! “ทานเสีย ผักมีประโยชน์ท่านมิรู้หรือ ถึงไม่ชอบก็ต้องทานนะเพคะ” เจียวซินวางผักที่คีบลงบนข้าวของท่านอ๋องด้วยความหวังดี “เจ้ามิต้องมาสอดเรื่องของข้า ทานของเจ้าไป!!” ด้วยกลัวจะเสียหน้าต่อหน้าขันทีและนางกำนัลที่เฝ้าอยู่ในห้อง เฟยเทียนจึงเขี่ยอาหารที่เจียวซินคีบให้ทิ้งและกล่าวตำหนิเจียวซินด้วยเสียงดุจนเจียวซินชะงัก นางเพียงหวังดีเหตุใดจึงว่ากล่าวกันด้วยถ้อยคำเช่นนี้ หากไม่กินก็เพียงแค่บอกกล่าวกันเท่านั้น มันยากนักหรือ “เพคะ! หม่อมฉันจะมิสอดเรื่องของท่านอีก” เจียวซินไม่เข้าใจท่านอ๋อง แม้แต่น้อย แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนนางอยู่ในห้องประชุมของโรงเรียนในโลกเก่า ไม่พอใจ ไม่เข้าใจ แต่ก็ทำอันใดไม่ได้ ทำได้เพียงเอ่ยตอบรับและทำตนเองให้นิ่งที่สุด เอาจริงๆ นางเกือบคิดไปแล้วว่านอกจากหนิงเออร์ คงจะมีท่านอ๋องอีกคนที่นางอยู่ด้วยแล้วรู้สึกปลอดภัยและสะบายใจ แต่ด้วยคำพูดของท่านอ๋องเมื่อครู่...ทำให้นางอดรู้สึกผิดหวังมิได้ ต่อจากนี้คงต้องเตือนตนเองมิให้ ล้ำเส้นท่านอ๋องอีก ด้านเฟยเทียนเมื่อเห็นท่าทีและน้ำเสียงของเจียวซินที่ตอบรับถึงกับชะงักไปเช่นกัน ท่าทางนางดูเกรง แววตานิ่งเรียบมิฉายความสดใสอย่างก่อนหน้า นางไม่พอใจอย่างนั้นหรือ แต่แล้วอย่างไร เขามิได้ทำผิดอันใด เป็นนางที่ผิดกล้ากล่าวว่าเขาเป็นเด็กทั้งที่นางอายุน้อยกว่าเขาถึงเจ็ดหนาว ทั้งสองนั่งทานอาหารไปอย่างเงียบเชียบ มิมีผู้ใดปริปากพูดขึ้นมา แม้แต่คนเดียว ขันทีและนางกำนัลในห้องต่างก้มหน้าลงพื้น จนเจียวซินวางตะเกียบลง หนิงเออร์จึงนำผ้าและขันน้ำมาให้นายของตนเช็ดมือเช็ดปาก ไม่นานเฟยเทียนก็วางตะเกียบลง รับสำรับเช้าเสร็จทั้งสองก็เดินออกจากห้องโถง เฟยเทียนเมื่อเห็นเจียวซินกำลังจะแยกไปอีกทางจึงรีบเอ่ยขัด “เจ้า…เจ้าจะไปห้องตำรามิใช่หรือ” เจียวซินกำลังคิดว่าจะไปดีหรือไม่ ใจหนึ่งก็เบื่อหน่ายท่านอ๋องเต็มทน แต่อีกใจก็คิดว่าหากไม่ไปครั้งนี้ไม่รู้เมื่อใดจะได้เข้าไปอีก “เพคะ” เจียวซินตอบเพียงเท่านั้นก็เดินตามท่านอ๋องไป เมื่อถึงห้องตำรามีเพียงเจียวซินเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป หนิงเออร์และนางกำนัลหยุดรออยู่หน้าห้อง ภายในห้องแบ่งแยกเป็นสองส่วน กั้นด้วยม่านลูกปัดราคาแพงด้านหลังม่านเป็นโต๊ะนั่งมีตำรา ม้วนกระดาษ และพู่กันวางอยู่คล้ายโต๊ะที่ใช้สำหรับทำงาน เจียวซินคาดว่าท่านอ๋องน่าจะใช้ห้องนี้เป็นห้องทำงานด้วยเช่นกัน เป็นเพราะเช่นนี้ ท่านอ๋องจึงมิได้ตอบตกลงให้นางเข้ามาอ่านตำราในทันที เป็นเพราะยังไม่ไว้ใจกันสินะ พื้นที่ห้องอีกส่วนหนึ่งมีชั้นวางที่เรียงรายไปด้วยตำราหลายแขนง หากเทียบกับโลกก่อนห้องนี้คงเป็นห้องสมุดของโรงเรียนขนาดกลางได้เลย “ตำราในห้องนี้มีหลายแขนง เจ้าก็เลือกเอาว่าจะอ่านสิ่งใด” เฟยเทียนพูดจบยังไม่ได้ขยับตัวไปที่ใด หวังให้เจียวซินเอ่ยถามถึงที่วางของตำราแขนงต่างๆ แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด “เพคะ” เจียวซินเพียงเอ่ยตอบรับและเดินเข้าไปเลือกตำราอย่างรวดเร็ว “นี่…ฮึ่ม!” เฟยเทียนได้แต่หงุดหงิดในใจ นางพูดได้เพียง “เพคะ” หรืออย่างไร เพคะ เพคะ เพคะ! ตั้งแต่ตอนทานอาหารนางก็ไม่พูดคำอื่นกับเขาอีกเลย “หรือว่านางจะโกรธ…” เฟยเทียยพึมพำกับตัวเอง ช่างเถิด! เฟยเทียนเรียกหาห่าวซวนก่อนจะเดินเข้าไปนั่งบนโต๊ะทำงาน “เรียบร้อยดีใช่หรือไม่” เฟยเทียนเอ่ยถาม “กระหม่อมให้คนมาเก็บเอกสารสำคัญต่างๆ ไว้ ตั้งแต่ที่ท่านอ๋องสั่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ” “ดี ดูท่าทีของนางไปก่อน” “แต่ท่านอ๋อง พระชายาและครอบครัวไม่น่าจะมีส่วนได้ส่วนเสียในการแย่งชิงบัลลังก์ในครั้งนี้นะพ่ะย่ะค่ะ” “ข้ารู้และเชื่อใจในอดีตแม่ทัพจางรวมถึงคนทุกผู้ในตระกูลจางด้วยเช่นกัน แต่ข้าเพียงกลัวว่าจะมีผู้หลอกใช้ประโยชน์จากนางเท่านั้น” พูดจบเฟยเทียนก็หันไปมองร่างบางที่กำลังยืนเลือกตำราอยู่ ห่าวซวนเห็นดังนั้นจึงก้มหน้าก้มตาทำงานของตนต่อไป นอกจากห่าวซวนจะเป็นองค์รักษ์แล้วเขายังทำหน้าที่มือขวาของ เฟยเทียน เป็นที่ปรึกษา เป็นคนที่เฟยเทียนไว้ใจ และเป็นคนที่รู้ใจเฟยเทียน ไม่น้อยไปกว่าขันทีจิ้นหนาน “ท่านอ๋องกลัวพระชายาโกรธหรือพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดท่านไม่ลองไปพูดคุยกะ…” “มิใช่อย่างที่เจ้าคิด” เฟยเทียนละสายตาจากเจียวซินหันมาสนใจงานที่กองอยู่บนโต๊ะ ฎีกามากมายที่ถูกส่งมา เขาจะเป็นคนคัดกรองเรื่องที่สำคัญก่อน นำไปปรึกษาร่วมกับองค์รัชทายาทหรือพี่ชายของเขาเพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป เฟยเทียนก้มหน้าอ่านฎีกาได้ไม่นาน ก็เงยหน้ามองหาเจียวซินอีกครั้ง แล้วก็กลับมาอ่านฎีกาอีก เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม