เจียวซินที่กำลังจดจ่ออยู่กับการเลือกตำรา ก็เดินไปเรื่อยๆ อย่างแรก นางต้องรู้ก่อนว่าโลกที่นางอยู่ตอนนี้เป็นอย่างไร ต้องหาหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์หรือสังคม
“กฎหมาย การรบ จารีต … แล้วประวัติศาสตร์อยู่ไหนกันล่ะ” เจียวซินเดินหาเท่าไหร่ก็มิเจอ หรือนางควรไปถามท่านอ๋องดี แต่ก็กลัวโดนท่านอ๋องตำหนิ อีกอย่างนางรู้สึกหมั่นไส้ เบื่อหน่าย รำคาญท่านอ๋องอย่างไรก็ไม่รู้
เอ่อ ยอมรับก็ได้ว่างอน จริงๆ ก็ไม่ถึงกับงอนแต่แค่รู้สึกผิดหวัง รู้สึกเสียใจนิดๆ โมโหหน่อยๆ ก็เท่านั้น
“ชิ หาเองดีกว่า ไม่ง้อหรอก”
“เจ้าหาตำราใดอยู่งั้นหรือ” เฟยเทียนที่เข้ามาเงียบๆ เอ่ยถามขึ้น
“เห้ย!! ท่านทำข้าตกใจ” เจียวซินยกมือขึ้นลูบหน้าอกตนเองเบา
“ตกใจอันใดของเจ้า แล้วเจ้าหาตำราอันใดอยู่…ข้าจะช่วยหา” ประโยคสุดท้ายเฟยเทียนพูดเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน อีกทั้งยังแสดงอาการเก้งๆ กังๆ เหมือนมิค่อยแน่ใจในสิ่งที่ทำอยู่
ด้านเจียวซินที่อยูใกล้ได้เห็นท่าทีและได้ยินทุกคำพูดของท่านอ๋อง จึงแอบลอบยิ้มทันที
หึ มาง้อข้าสินะ จะยอมพูดด้วยสักหน่อยก็ได้
“จะช่วยหม่อมฉันหาหรือเพคะ”
“หืม…ใช่ บอกมาว่าอยากได้ตำราอันใด” เฟยเทียนที่เริ่มขัดเขินกับการกระทำของตนเอง จึงกระแอมและกล่าวเสียงเข้มขึ้นมา
“หม่อมฉันอยากได้ตำราประวัติศาสตร์ของแผ่นดินที่เราอยู่เพคะ”
“เจ้าหมายถึง-”
“หม่อมฉันหมายถึงความเป็นมาของแผ่นดินนี้เพคะ” ไม่รอให้ท่านอ๋อง คาดเดา เจียวซินก็ตอบกลับไปทันที
“อ่อ ตำรานั้นอยู่ในห้องทำงานข้า หากอยากอ่านก็ตามเข้ามา” กล่าวจบเฟยเทียนก็หันหลังเดินไปทันที เจียวซินที่เดินตามไปติดๆ แหวกม่านลูกปัดเข้าไป สายตาสอดส่องไปทั่ว หลังม่านนี้มีชั้นตำราเรียงอยู่รอบห้อง ภายในห้องมีโต๊ะทำงานสองตัวอยู่คนละฟากของห้อง ใกล้โต๊ะทำงานใหญ่มีตั่งไม้ยาว คงใช้สำหรับเอนกายพักผ่อนของท่านอ๋อง
“เจ้านั่งรอตรงนี้ก่อน ข้าจะไปหยิบตำรามาให้” ท่านอ๋องชี้ลงบนตั่งไม้ เจียวซินจึงเดินไปนั่งรอบนตั่งไม้ ไม่นานท่านอ๋องก็หยิบตำราเล่มหนามาให้นางหลายเล่ม
“นั่งอ่านอยู่ตรงนี้ อยากได้อันใดก็บอกห่าวซวน”
“ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง” เจียวชินกล่าวตอบรับ แล้วจึงเริ่มอ่านตำรา โดยเลือกเฉพาะเรื่องที่สนใจเท่านั้น เจียวซินใช้เวลาอ่านไปกว่าสองชั่วยาม (2 ชั่วโมง) ได้ข้อสรุปว่าที่นางอยู่ตอนนี้เป็นแคว้นเฉินที่ปกครองโดยองค์จักรพรรดินามว่า เฉินเฟยหลง หรือก็คือพระบิดาของท่านอ๋องนั่นเอง ฮ่องเต้เฟยหลงมีพระราชโอรส 5 พระองค์ พระราชธิดา 3 พระองค์ ประสูติจากฮองเฮาหลี่หนิงเฟิง 3 พระองค์ได้แก่ องค์รัชทายาท เฉินเฟยฉี ท่านอ๋องสาม เฉินเฟยเทียน และองค์หญิงเจ็ด เฉินเฟยเฟิ่ง ประสูติจากสนมอันผิง (สนมขั้นหวงกุ้ยเฟย) 2 พระองค์ได้แก่ท่านอ๋องสอง เฉินลู่เหวิน และองค์หญิงสี่ เฉินลี่มี่ ประสูติจากสนมเหว่ยชิงเยว่ (สนมขั้นกุ้ยเฟย) 2 พระองค์ ได้แก่ องค์ชายห้า เฉินเลี่ยงหรง และองค์หญิงหก เฉินลี่ฮวา เป็นฝาแฝดกัน ส่วนองค์ชายแปด เฉินหนิงหลง ผู้มีอายุเพียงสามหนาวประสูติจากสนมขั้นผินลิ่วเหรินผู้หนึ่งที่มาจากต่างแดน ประสูติองค์ชายแปดได้ไม่นานพระสนมก็สิ้นชีพลง ฮองเฮาจึงเป็นผู้เสียงดูองค์ชายแปดมาแต่เล็กแต่น้อย
อ่า~ ศึกชิงบัลลังก์ต้องมาแน่ ผู้ท้าชิงก็อาจจะเป็น องค์รัชทายาท ท่านอ๋องสอง ท่านอ๋องสาม และองค์ชายห้า
เจียวซินคิดไปเรื่อยเปื่อยอย่างคนช่างจินตนาการ พออ่านจบเจียวซินก็พับตำราเก็บไว้ พรางคิดถึงการจะเปิดสำนักศึกษา จึงหยิบตำราด้านสังคมของแคว้นมาอ่าน ได้ความว่าสำนักศึกษามีน้อยมาก และส่วนใหญ่มักจะเป็นลูกขุนนางและเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่ได้เล่าเรียน
“ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาสินะ” เจียวซินเอ่ยพึมพำกับตนเอง แต่ก็ยังไม่ลอดพ้นหูของเฟยเทียน
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“เพคะ? อ่อ หม่อมฉันหมายถึงการที่ลูกขุนนางและเชื้อพระวงศ์ได้เล่าเรียน แต่ชาวบ้านกลับไม่ได้มีโอกาสเล่าเรียนมันไม่เท่าเทียมเพคะ ทุกคนควรได้เล่าเรียนทั้งหมด”
“เพ้อเจ้ออันใดของเจ้า ชาวบ้านจะเอาเงินทองที่ใดมาเป็นค่าเล่าเรียน เพียงจะใช้ชีวิตอยู่ในแต่ละวันยังยาก”
“หม่อมฉันถึงบอกว่ามันไม่เท่าเทียมอย่างไรล่ะเพคะ คนมีเงินทองได้เรียน คนไม่มีเงินทองไม่ได้เรียน ทั้งที่คนไม่มีเงินทองอาจจะเรียนได้ดีกว่าก็ได้ เช่นนี้แคว้นของเราจะไม่สูญเสียคนเก่งไปโดยเปล่าประโยชน์หรือเพคะ” เจียวซินโต้กลับทันที
“…” เฟยเทียนนั่งฟังสิ่งที่เจียวซินกล่าว ก็เป็นจริงดังที่นางว่า เฟยเทียน ที่กำลังจะกล่าวต่อกลับโดนขัดขึ้น
“ท่านอ๋อง หากจะเป็นอาจารย์ต้องทำอย่างไรบ้างหรือเพคะ”
“อาจารย์ เจ้าหมายถึงเจ้าจะไปเป็นอาจารย์หรือ ฮ่าๆ เจ้านี่คิดเพ้อเจ้อเสียจริง ฮ่าๆ” เฟยเทียนหัวเราะดังลั่น นางช่างเพ้อเจ้อเสียจริงคราวก่อนก็คิดว่าเขาจะให้นางมาเป็นนางบำเรอ มาคราวนี้อยากเป็นอาจารย์
“หม่อมฉันพูดจริงเพคะ ท่านอ๋องเพียงตอบมาว่าต้องทำอย่างไร” เจียวซินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อะแฮ่ม ได้ๆ อย่างแรกเจ้าถนัดสิ่งใดเล่า เป็นอาจารย์จะต้องเชี่ยวชาญ ด้านใดด้านหนึ่ง เชี่ยวชาญจนสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้”
“เรื่องนั้นหม่อมฉันทราบเพคะ และหม่อมฉันก็ถนัดด้านคณิต- เอ่อ การคำนวณเพคะ อ่อแล้วอีกอย่างคือภาษาอังกฤษ ภาษาของชาวตะวันตกน่ะเพคะ” เจียวซินพูดอย่างภาคภูมิใจ พร้อมยืดอก เชิดหน้าขึ้น
“เจ้า เจ้าถนัดการคำนวณ กับ ภาษาของชาวตะวันตกหรือ อึก หึๆ” เฟยเทียนพยายามกลั้นขำสุดขีด นางเยินยอตนเองเกินไปแล้ว
“ขออภัยที่กระหม่อมต้องเอ่ยแทรกพ่ะย่ะค่ะ หากพระชายาทรงเชี่ยวชาญภาษาของชาวตะวันตก ท่านอ๋องคงมิต้องกังวลเรื่องล่ามที่จะมาช่วยแปลสารจากคณะราชทูตที่จะเดินทางมาถึงในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า” ห่าวซวนเอ่ยบอกต่อ เฟยเทียน เมื่อเจียวซินได้ยินดังนั้นถึงกับใจเต้น นี่เป็นหนทางในการสร้างชื่อเสียงของนาง และอีกอย่างนางอาจจะได้รางวัลกลับมาด้วย คิดได้ดังนั้นนางจึงกล่าวบอกท่านอ๋องทันใด
“หม่อมฉันเชี่ยวชาญภาษาของชาวตะวันตกมากเพคะ ท่านไว้ใจหม่อมฉันได้หรือท่านอยากจะทดสอบหม่อมฉันก็ได้นะเพคะ”
“อืม เช่นนั้นออกไปตลาดเทียบท่าทางเหนือ” เฟยเทียนคุ้นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ตัดสินใจ
“ไปเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ห่าวซวนลุกขึ้นเอ่ยถามผู้เป็นนาย
“อืม ไปเตรียมรถม้า” กล่าวเสร็จเฟยเทียนจึงลุกออกจากโต๊ะทำงาน เจียวซินเห็นดังนั้นจึงรีบตามไปทันที แต่ยังไม่ทันที่เฟยเทียนและเจียวซินจะเดินพ้นตำหนัก ก็พบเข้ากับขบวนของชายารองและอนุถัง ที่กำลังนำชาและของว่างมาให้ท่านอ๋อง
“ท่านอ๋องและพระชายาจะเสด็จไปที่ใดหรือเพคะ หม่อมฉันกำลังจะนำชาจากนอกด่านมาให้ท่านอ๋องลองชิม” เป็นอันอ้ายฉิงที่กล่าวขึ้น
“เอาไว้ก่อนเถิด ข้ากับพระชายากำลังจะออกไปด้านนอก พวกเจ้ากลับไปก่อน ส่วนซูเหวิน ข้าจะไปพบเจ้าภายหลัง” เฟยเทียนกล่าวและเดินตรงไปยังรถม้าทันที เจียวซินเหลือบไปเห็นสายตาริษยาจากชายารองอันถึงกับขนลุกเกรียว จึงรีบสาวเท้าตามท่านอ๋องไป ชายารองและอนุถังจึงทำได้เพียงแยกย้ายกันกลับตำหนัก
.
.
“ท่านอ๋องและพระชายาจะออกไปนอกจวน เจ้ารีบนำความไปบอกท่านพ่อเสีย อย่าให้ถูกจับได้” หญิงสาวรับคำสั่งจากผู้เป็นนายแล้วจึงเร่งรีบออกไปส่งข่าว
.
.
ด้านเฟยเทียนและเจียวซินที่กำลังนั่งรถม้าไปยังตลาดเทียบท่า ระยะทางค่อนข้างไกลต้องใช้เวลาเดินทางเกือบครึ่งชั่วยาม เจียวซินที่ได้ออกนอกจวนครั้งแรกถึงกับยิ้มไม่หุบ เปิดม่านดูบรรยากาศรายทาง ปากก็เอ่ยถามสิ่งที่แปลกตากับท่านอ๋อง จนลืมไปเสียสนิทว่าตนเองต้องอย่าล้ำเส้นท่านอ๋อง ส่วนเฟยเทียนก็ทำหน้าที่ตอบคำถามของชายาตน ภายในหัวก็คุ้นคิดว่าเจียวซินนั้นจะแกล้งเป็น จำมิได้หรือไม่ แต่คำตอบที่เขาได้คือ ดูอย่างไรนางก็ไม่มีท่าทีแกล้งหรือหลอกลวงใดๆ เขาเชื่อไปแปดในสิบส่วนแล้วว่านางจำสิ่งใดมิได้เลย
“ท่านอ๋องคิดว่าหม่อมฉันจะเปิดสำนักศึกษาสำหรับชาวบ้านดีหรือไม่” เจียวซินเอ่ยถามขณะมองชาวบ้านตามท้องถนน
“หากจะทำต้องมีเงินทองมากพอ เพราะชาวบ้านคงมิมีเงินทองสำหรับมา ใช้จ่ายค่าเล่าเรียน”
“จริงของท่าน เช่นนั้นหม่อมฉันจะสอนลูกขุนนางและเชื้อพระวงศ์ไปด้วย สอนชาวบ้านไปด้วยดีหรือไม่เพคะ”
“เหตุใดต้องไปสอนลูกขุนนางด้วยเล่า” เฟยเทียนเอ่ยถามเสียงนุ่ม เมื่อไหร่มิรู้ที่เขาหลงไหลไปกับแววตาและสีหน้าที่มุ่งมั่นนี้
“ก็…หากพ้นสองหนาวไปเราคงหย่าขาดจากกันแล้ว ระหว่างนั้นหม่อมฉันมีเรื่องให้ใช้จ่ายมากมาย คงต้องนำเงินจากการสอนลูกขุนนางมาใช้จ่ายอย่างไรเพคะ” เฟยเทียนได้ยินคำตอบถึงกับสะอึก นี่นางคิดจะหย่าขาดจากเขาจริงงั้นหรือ ตัวเฟยเทียนมิคิดจะหย่าขาดกับนางตั้งแต่แรก เพราะอย่างไรนางก็เป็นบุตรของ ผู้ที่เป็นทั้งอาจารย์และผู้ช่วยชีวิตเขา แต่ที่ต้องกล่าวว่าจะหย่าขาดกับนางก็เพราะอยากรู้ว่าผู้ใดบ้างที่คิดจะใช้ประโยชน์จากจางเจียวซิน เหล่าทหารของอดีตแม่ทัพจางจงรักพักดีเป็นอย่างมาก ย่อมปกป้องและอยู่ฝ่ายเดียวกับเจียวซินแน่ อักทั้งพี่ชายของเจียวซินเป็นถึงรองแม่ทัพ ทหารในสังกัดมีมากมายหลายหมื่น หากผู้ใดได้เจียวซินไปอยู่เคียงข้างย่อมเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่า แต่หลังจากเหตุการณ์ที่ เจียวซินจมน้ำ เฟยเทียนก็คิดจะล้มเลิกแผนการนี้อยู่แล้ว หากนางโดดน้ำฆ่า ตัวตายเพราะเรื่องหย่าจริง ย่อมเป็นความผิดของเขา อีกอย่างหากใช้แผนการนี้ต่อไปนางต้องเป็นอันตรายมากกว่านี้แน่
“อืม แต่หากเจ้าไม่หย่า ข้าก็ไม่ว่าอันใด” เฟยเทียนเอ่ยขึ้นเสียงเบาๆ
“หย่าเพคะ หม่อมฉันจะหย่าให้ เพียงแต่ขอเวลาให้หม่อมฉันเก็บเงินเก็บทองก่อนเพคะ หากออกไปแต่ตัวเช่นนี้ หม่อมฉันได้อดตายแน่” เจียวซินทำท่ามุ่งมั่น ที่จะหาเงินทองให้ได้มากๆ ตลอดทางทั้งสองมิได้คุยสิ่งใดกันอีกจนรถม้าหยุด
“ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” เสียงของห่าวซวนลอดเข้ามาในรถม้า ท่านอ๋องก้าวขาลงจารถม้าแล้วจึงหันมายื่นแขนให้เจียวซินใช้เป็นที่เกาะ เจียวซินแอบลอบยิ้มให้กับการกระทำของร่างสูง ก็เป็นคนใช้ได้นี่น่า
“ขอบพระทัยเพคะ”
“ข้าจะพาเจ้าไปร้านของชาวตะวันตก ลองเจรจาซื้อสินค้าดู”
“ได้เพคะ หม่อมฉันจะทำให้เต็มที่เพคะ” การเดินทางมาครั้งนี้เฟยเทียนมิได้จัดขบวนเดินทางเอิกเกริก มีเพียงองค์รักษ์ห่าวซวนและทหารเพียงแปดนาย เจียวซินก็พาคนสนิทมาและนางกำนัลอีกเพียงสองคนเท่านั้น
“เรามาเดินตลาดไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ ข้ามิอยากให้เราเป็นจุดเด่นมากเกินไป”
“ได้เพ- ได้เจ้าค่ะ” เจียวซินรับคำแล้วจึงเดินไปยังร้านที่เขียนติดป้ายว่า “เครื่องหอม”
“สนใจอันใดหรือเจ้าคะ” สำเนียงแปล่งๆ ของหญิงสาวเจ้าของร้านกล่าวถามขึ้น
“Hi!…This is perfume. Right?”
(สวัสดี สิ่งนี้คือน้ำหอมใช่หรือไม่)
เจียวซินทักทายและสอบถามเป็นภาษาอังกฤษ ทำเอาหญิงสาวถึงกับตกใจ (หลังจากนี้จะใช้ภาษาไทยแทน)
“ท่านพูดภาษาข้าได้ด้วยหรือเจ้าคะ”
“ข้าพอพูดคุยสื่อสารได้บ้าง แล้วนี่คือน้ำหอมใช่หรือไม่” เจียวซินถามย้ำเนื่องจากนางไม่คุ้นเคยกับภาชนะใส่น้ำหอมของสมัยนี้ จึงถามเพื่อความแน่ใจ
“ใช่เจ้าค่ะ ส่วนมากเป็นกลิ่นดอกไม้เจ้าค่ะ ท่านอยากลองดมกลิ่นดูหรือไม่” หญิงสาวหยิบยื่นเครื่องหอมกลิ่นต่างๆ ให้ เจียวซินลองดมอยู่หลายกลิ่นแต่ก็ยังตัดสินใจเลือกซื้ออันใดมิได้
“หนิงเออร์ เจ้ามาช่วยข้าเลือกทีเถิด พวกเจ้าทั้งสองด้วย” เจียวซินหันไปเรียกหนิงเออร์และนางกำนัลที่ยืนด้านหลังท่านอ๋อง
“เจ้าค่ะ” หนิงเออร์และนางกำนัลทั้งสองกล้าๆ กลัวๆ เพราะมิเคยเห็นชาวตะวันตกที่มีรูปร่างสูงใหญ่มาก่อน
“พวกเจ้าว่ากลิ่นใดหอมกว่ากัน” เจียวซินยื่นข้อมือที่แตะน้ำหอมกลิ่นต่างๆ ให้พวกนางได้ลองดม
“บ่าวว่าหอมทุกกลิ่นเจ้าค่ะ โดยเฉพาะสองกลิ่นนี้” หนิงเออร์ นางกำนัล รวมถึงตัวเจียวซินเห็นไปในทางเดียวกันว่า กลิ่นเหมยกุ้ย (ดอกกุหลาบ) และ กลิ่นโม่ลี่ (ดอกมะลิ) หอมมาก แล้วนางจะเลือกกลิ่นใดดี ยืนคิดได้ไม่นาน เจ้าของร้านจึงกระซิบบอกเป็นภาษาอังกฤษ
“เหตุใดท่านไม่ให้สามีท่านช่วยเลือกดูเล่า” เจ้าของร้านว่าแล้วก็ส่งยิ้มเขินมาให้เจียวซิน
“ท่าน…ท่านพี่” เจียวซินพูดตะกุกตะกักเพราะไม่รู้ว่านางจะใช้คำเรียกท่านอ๋องว่าอย่างไรดี
ท่านพี่ งั้นหรือ ท่านอ๋องจะอนุญาตให้นางเรียกเช่นนั้นได้หรือ
“เรียกข้างั้นหรือ…”
“จะ..เจ้าค่ะ ช่วยข้าเลือกกลิ่นเครื่องหอมได้หรือไม่เจ้าคะ” เฟยเทียนเดินเข้าใกล้เจียวซิน แล้วฉวยเอาข้อมือของเจียวซินขึ้นมา
“ตรงนี้ใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” สิ้นเสียงของเจียวซิน เฟยเทียนก้มหน้าลงจนปลายจมูกโด่งแตะลงบนข้อมือของเจียวซิน
“อ๊ะ…” เหตุใด!! เหตุใดท่านอ๋องต้องเองจมูกแตะลงไปเช่นนั้นด้วยเล่า เจียวซินใจเต้นกับการกระทำนี้ไม่น้อย ตั้งแต่ที่นางมาอยู่โลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องแสดงท่าทีใกล้ชิดกับนางเฉกเช่นสามีภรรยาคู่อื่น เมื่อนึกถึงจุดนี้ก็ทำเอาเจียวซินหน้าขึ้นสีระเรื่อ
“อีกกลิ่นเล่า อยู่ตรงที่ใด” เฟยเทียนเอ่ยถาม มิใช่ว่าเขาไม่เห็นท่าทีขัดเขิน แต่เลือกที่จะปล่อยผ่าน มิอยากทำให้นางต้องอึดอัด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาแตะเนื้อต้องตัวนางตั้งแต่ที่นางแต่งเข้ามา แต่ครั้งนี้…เขาแค่อยากรู้ อยากรู้ว่ากลิ่นเหล่านั้นจะหอมเพียงใด เมื่ออยู่บนตัวนาง
“อยู่หลังมือ ข้างนี้เจ้าค่ะ” เจียวซินยื่นมืออีกข้างให้ท่านอ๋องลองดมกลิ่น เฟยเทียนแตะจมูกลงไปบนหลังมือเจียวซินอีกครั้ง
หอม หอมมากทั้งสองกลิ่น ไม่ว่ากลิ่นใดก็หอม
“เอากลิ่นใดดีเจ้าคะ” เจียวซินเอ่ยถามออกไป แม้จะขัดเขินต่อการกระทำที่ไม่สนสายตาผู้ใดของท่านอ๋องไม่น้อย
“เอาทั้งสอง ข้าชอบทั้งสองกลิ่น”
“แต่ว่า…” เสียดายเงิน...
“ข้าจะจ่ายให้ ซื้อมาทั้งสองกลิ่น” เฟนเทียนเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางที่กำถุงเงินในมือแน่นก็เข้าใจว่านางคงมิอยากจ่ายเงิน
“เจ้าค่ะ แล้วของอื่นๆ ท่านพี่จะจ่ายให้ข้าด้วยหรือไม่เจ้าคะ” เมื่อไม่ได้เสียเงินซื้อเอง เจียวซินก็ยิ้มจนหน้าบาน
“อืม วันนี้ข้าจะจ่ายให้ทั้งหมด”
“ข้าเอาทั้งสองกลิ่นเลยเจ้าค่ะ” เจียวซินหันไปพูดภาษาอังกฤษกับเจ้าของร้าน เมื่อได้สินค้ามาแล้วจึงส่งไปให้หนิงเออร์และนางกำนัลถือ จากนั้นจึงเดินซื้อของร้านอื่นเรื่อยๆ ในเมื่อมีคนจ่ายให้ ก็ต้องซื้อให้คุ้ม คริคริ
“จะไปที่ใดอีก” เฟยเทียนที่เดินตามตลอดทางเอ่ยถาม เมื่ออยู่ๆ เจียวซินก็ยืนนิ่งไม่ขยับ
“เมื่อยขาแล้วเจ้าค่ะ ไปหาที่นั่งก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ” เหล่านางกำนัลเมื่อได้ยินผู้เป็นนายบ่นก็ย่อตัวลงบีบๆ นวดๆ ให้
“ขอบใจมาก แต่พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด ข้าทนได้ ไม่ต้องบีบๆ ลุกขึ้นๆ” เจียวซินปฏิเสธการปรนนิบัติจากนางกำนัล หันไปรอคำตอบจากท่านอ๋อง
“ยามนี้ก็ใกล้มื้อเย็นแล้ว เช่นนั้นก็ไปที่เหลาอาหาร” เฟยเทียนว่าแล้วก็เดินนำไปเหลาอาหารชื่อดังในย่านนั้น
“เชิญขอรับนายท่าน เชิญขอรับ” เสี่ยวเอ้อ (พนักงาน) ของร้านเข้ามาต้อนรับลูกค้า
“ขอห้องรับรองใหญ่ให้นายของข้าด้วย”
“ได้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อเดินนำไปยังห้องรับรอง เจียวซินที่กำลังจะเดินตาม ท่านอ๋องเข้าไปภายในห้องรับรองก็ชะงัก
“พวกเจ้าก็รีบตามมาเถิด” เจียวซินหันไปบอกกับข้ารับใช้ที่ตามมาปรนนิบัติ ได้ยินดังนั้นเฟยเทียนจึงหยุดและหันมามอง นี่นางลืมกระทั่งว่านายและบ่าวมิควรรับสำรับร่วมกันเลยหรือ
“ฮูหยินเจ้าคะ พวกบ่าวรออยู่หน้าห้องเพคะ”
“แล้วพวกเจ้าไม่ทานมื้อเย็นหรือ ไม่หิวกันหรือ” เจียวซินทำหน้าไม่เข้าใจ
“เอ่อ…คือ” หนิงเออร์อึกอัก เห็นดังนั้นเจียวซินจึงหันไปขอความเห็นจาก ท่านอ๋อง เฟยเทียนถึงกับถอนหายใจในความเอาอกเอาใจบ่าวไพร่ของเจียวซิน มิใช่ว่าเขาไม่เห็นว่าตลอดทางนางแบ่งของกินให้เสมอ คอยถามตลอดทางว่าถือของหนักหรือไม่
“ห้องด้านข้างว่างหรือไม่” เฟยเทียนสอบถามเสี่ยวเอ้อ
“ว่างขอรับ ให้ข้าน้อยจัดอีกห้องหรือไม่ขอรับ”
“อืม พวกเจ้าก็ไปทานกันเสียให้อิ่ม ฮูหยินข้าจะได้สบายใจเสียที”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะนายท่าน ฮูหยิน”
“ขอบพระคุณขอรับนายท่าน ฮูหยิน”
จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปทานมื้อเย็น ภายในห้องจึงมีเพียงเฟยเทียนและเจียวซินที่กำลังนั่งทานมื้อเย็นกันอยู่ ด้วยความที่เจียวซินเพลิดเพลินไปกับ การทานอาหาร จึงใช้ตะเกียบคีบอาหารจานที่อร่อยให้ท่านอ๋อง แต่เมื่อย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า มือที่ยื่นไปกลับชะงักค้าง แล้วรีบดึงกลับทันที
“ขออภัยเจ้าค่ะ”
“มิเป็นไร ข้าอยากทานจานนั้นเช่นกัน แต่คงคีบมิถึง” เฟยเทียนที่เห็น เจียวซินแสดงท่าทีอึดอัด นางคงนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาตำหนินาง เฟยเทียนมิอยากให้เสียบรรยากาศจึงเอ่ยเช่นนั้นออกไป
“เช่นนั้นให้ข้าคีบให้ดีหรือไม่เจ้าคะ” เจียวซินรีบเสนอความช่วยเหลือ อย่างน้อยท่านอ๋องเองก็คงรู้สึกผิดที่ตำหนินางแรงเช่นนั้นเหมือนกัน แม้จะไม่ได้กล่าวคำว่าขอโทษ แต่การที่ยอมตามใจนางวันนี้ก็ถือว่าขอโทษด้วยการกระทำ แล้วกัน
นอกจากจะเป็นเด็กเอาแต่ใจแล้ว ยังปากหนักด้วยหรือนี่
“ข้าผ่านการทดสอบหรือไม่เจ้าคะ”
“อืม จากที่เห็นเจ้าก็พูดสื่อสารได้คล่องแคล่วดี ถือว่าใช้ได้”
“ถ้าเช่นนั้น…”
“ข้าจะให้เจ้าเป็นล่ามในวันที่คณะราชทูตมาเยือน”
“ได้เจ้าค่ะ แล้ว…ข้าจะได้รางวัลหรือไม่เจ้าคะ”
“ได้ หากทำดีเสด็จพ่อจะทรงพระราชทานรางวัลให้เป็นแน่”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นช่วงนี้เจ้าก็ไปอ่านตำราเกี่ยวกับการปฏิบัติตนต่อหน้าเชื้อพระวงศ์ ไว้บ้าง”
“ได้เจ้าค่ะ ข้าเองก็มิรู้วิธีปฏิบัติมากเช่นกัน”
“หาก…หากที่ตำหนักเจ้าไม่มีตำรา ก็มาใช้ห้องตำราที่ตำหนักข้าได้” เฟยเทียนเอ่ยปากบอก เขาไม่ได้อยากใกล้ชิดนางหรอกนะ เพียงแต่…เพียงแต่นางจำเป็นต้องศึกษาให้มากก็เท่านั่น
“ได้หรือเจ้าคะ เช่นนั้นท่านพี่ให้คนมาสอนการปฏิบัติตนด้วยได้หรือไม่ เจ้าคะ”
“อืม ได้ ข้าจะไปขอคนจากเสด็จแม่มาสอนให้” นี่เขามิได้ตามใจนางหรอกนะ ไม่ได้ตามใจเลยจริงๆ