เจียวซินกับ “หึงหวงท่านอ๋องหรือเพคะ”

2797 คำ
“ทูลท่านอ๋องให้ที ว่าข้าขอเข้าพบ” เจียวซินเอ่ยกับทหารที่เฝ้าหน้าประตูห้องตำราของท่านอ๋อง “เอ่อ…ท่านอ๋องสั่งมิให้ผู้ใดรบกวนพ่ะย่ะค่ะ” ทหารทั้งสองนายต่างทำหน้ากระอักกระอ่วน “เป็นอันใดของพวกเจ้า เหตุใดทำหน้าตาเช่นนั้น มีสิ่งใดที่ข้าสมควรรู้หรือไม่” “มิได้พ่ะย่ะค่ะ คือ…” ยังไม่ทันที่ทหารหนุ่มจะเอ่ยตอบ ขันทีจิ้นหนาน ก็ออกมาพอดี “เสียงดังอันใดกัน ท่านอ๋องและอนุถังกำลัง…พะ พระชายา” ขันทีจิ้นหนานถึงกับหน้าซีด “อนุถังอยู่ด้านในอย่างนั้นหรือ หึ! ถึงว่าเหตุใดจึงมิให้ผู้ใดรบกวน” แม้ใจจะ วูบโหวงไปไม่น้อยแต่เจียวซินก็ยังรักษาสีหน้าให้นิ่งเฉยได้ นี่นางลืมคิดไปได้อย่างไร แม้จะไม่ติดใจเรื่องราวของคุณหนูจางแล้ว แต่ท่านอ๋องก็มีหญิงอื่นอีกมากมาย แล้วนางยังจะฝากใจไว้กับชายผู้นี้ได้อีกหรือ “มิได้เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ อนุถังเพียงมาพูดคุยกับท่านอ๋องเท่านั้น ท่านห่าวซวนและกระหม่อมเองก็อยู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีจิ้นหนานกล่าวอธิบายยาวเหยียดหวังให้พระชายามิโกรธเคืองท่านอ๋อง เขารับใช้ท่านอ๋องมานานเหตุใดจะไม่รู้ว่าผู้เป็นนายมีใจให้พระชายาเอก “ช่างเถิด อาหลงเราไปวาดภาพกันสองคนดีหรือไม่” เจียวซินมิได้ใส่ใจ คำกล่าวของขันทีจิ้นหนานแม้แต่น้อย หันไปพูดชักชวนองค์ชายน้อยแทน “แล้วพี่สามเล่า พี่สามบอกจะมาวาดภาพกับเรามิใช่หยือ” “เขาคงมิว่างแล้ว ครานี้เราวาดกันสองคนก่อน คราวหลังค่อยมาชวนเขาอีกทีดีหรือไม่” องค์ชายน้อยพยักหน้าหงึกหงัก เขาเข้าใจดีว่าเหล่าพี่ชายมีกิจสำคัญมากมายจึงมีบางครั้งที่ผิดคำพูดกับเขา เจียวซินเห็นว่าเด็กน้อยตอบรับจึงอุ้มร่างเล็กไปยังศาลาริมสระทันที เจียวซินและองค์ชายน้อยที่กำลังนั่งวาดรูปอยู่ในศาลาริมสระต่างใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่วาด สองจิตกรนั่งวาดภาพอยู่เป็นนานสองนาน เจียวซินพยายามปรับอารมณ์ของตนเองให้ตั้งมั่นอยู่กับการวาดภาพ มิให้คิดวอกแวกไปหาผู้อื่น แม้จะมีบ้างที่แอบคิดว่าทั้งสองคนนั้นจะทำอันใดกันอยู่ในห้องตำราแต่ก็พยายามไม่คิดและจดจ่อกับภาพวาดของตนแทน เจียวซินลงมือวาดจนเกือบเสร็จสิ้นก็ได้ยินเสียงเล็กเอ่ยขึ้น “น้องเสร็จแล้ว งามหยือไม่” องค์ชายน้อยวางพู่กันแล้วจึงชี้ให้เจียวซินดูภาพของตนเอง “อาหลงวาดอันใด ภูเขางั้นหรือ งดงามยิ่ง” เจียวซินถึงกับอึ้งกับภาพที่เด็กน้อยวัยสามหนาวเป็นผู้วาด แม้จะมิได้ประณีตงดงาม แต่สำหรับวัยเพียงเท่านี้ถือว่าเป็นอัจฉริยะด้านการวาดภาพแล้วกระมัง “ใช่หยือไม่ แต่หากอาจารย์ของน้องมาเห็นจะต้องบอกว่า…องค์ชายต้องพัฒนาอีกมาก คิกๆ” เจ้าตัวน้อยเลียนแบบเสียงแก่ๆ ของอาจารย์ตนเองเสียเหมือนจนเจียวซินและธารกำนัลอดขำออกมาไม่ได้ “แล้วเจียวซินเล่า วาดเสร็จหยือยัง” องค์ชายน้อยเดินไปดูภาพวาดของ เจียวซิน “เป็นอย่างไรงามหรือไม่ เจียวซินวาด-” พูดไม่ทันจดบประโยคคนตัวน้อยก็ ยกมือขึ้น “วาดเป็ดใช่หยือไม่ งดงามๆ น้องว่าคงจะเป็นเป็ดที่งดงามที่สุดแล้ว” องค์ชายน้อยตบมือเปาะแปะ เอ่ยชมไม่ขาดปาก แต่เจียวซินกลับทำหน้างอเหมือนจะร้องไห้ “เจียวซินเป็นอันใดหยือ” มือน้อยประคองใบหน้าสวยของเจียวซินไว้ “อาหลง เจียวซินวาดหงส์ต่างหากเล่า มิใช่เป็ดเสียหน่อย ฮื่อออ” เจียวซิน ได้แต่คิดตัดพ้อในใจ ตั้งแต่สมัยเรียน ศิลปะเป็นวิชาเดียวที่นางตก ขนาดเกิดใหม่มาในโลกนี้ฝีมือนางยังไม่พัฒนาขึ้นเลย ฮื่ออออ! “หึๆ จะให้หนิงหลงมองเป็นหงส์ก็กระไรอยู่ เป็นเป็ดนั่นแลสมควรแล้ว” เฟยเทียนที่พึ่งก้าวเข้ามาทันได้ยินคำพูดและสถานการณ์ดังกล่าวจึงได้เอ่ยเย้า เจียวซิน แต่เสียงทุ่มของเฟยเทียนกลับทำให้เจียวซินที่หยอกเย้าอยู่กับองค์ชายน้อยชะงักและปรายตาไปมองต้นเสียง ไม่นานก็หันไปสนใจองค์ชายน้อยต่อ ด้านเฟยเทียนที่ได้รับท่าทางเย็นชาของชายาตนเองถึงกับทำตัวไม่ถูก หากเป็นปกติเขากล่าวเย้าเช่นนี้มีหรือนางจะไม่ตอบกลับ แต่นี่… “…” นางกลับเงียบและนิ่งเฉย “มิเป็นไยๆ หากเป็นหงส์คงจะเป็นหงส์ที่เหมือนเป็ดที่สุด เจียวซินของน้องเก่งกาจยิ่งนัก” องค์ชายน้อยที่คิดว่าเจียวซินกำลังเศร้าเรื่องภาพวาดจึงสรรหาคำมาปลอบขวัญเจียวซิน แม้ว่าใจความมันแปลกๆ ก็เถอะนะ เอ่อออ ตกลงแล้วมันดีใช่หรือไม่อาหลง “อาหลงว่าอย่างไรเจียวซินก็ว่าอย่างนั้น เรามาวาดกันต่อดีหรือไม่” เจียวซินหันไปยิ้มให้เด็กน้อยและชวนวาดภาพต่อ “ต่อไปน้องจะวาดหงส์ให้เหมือนเป็ดบ้าง คิกๆ” สองคนสนทนากันจนลืมไปว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังกระวนกระวายทำอันใดไม่ถูกยืนอยู่ตรงนั้นด้วย “หนิงหลงให้พี่ช่วยดีหรือไม่” เฟยเทียนเอ่ยถามน้องชาย “มิเป็นไยพะย่ะค่า” องค์ชายน้อยกล่าวตอบทั้งที่สายตายังจดจ้องอยู่กับภาพวาด “เจ้าโกรธพี่หรือ” “น้องมิได้โกรธที่พี่สามไม่มาวาดภาพด้วย น้องเข้าใจดีว่าพี่สามมีกิจสำคัญ” ปากพูดกับพี่ชาย มือก็วาดภาพไปด้วย มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่ ด้านเฟยเทียนเมื่อไตร่ตรองดูแล้วว่าไม่สามารถเข้าทางน้องชายได้ จึงหันไปหาเจียวซินด้วยตนเองแทน “หากจะวาดภูเขาเจ้าจะต้องลงสีให้เข้มกว่านี้ ให้ข้าช่วยดีหรือไม่” เฟยเทียนเสนอตัวเข้าไปช่วย แต่… “มิเป็นไรเพคะ ขอบพระทัยท่านอ๋องที่กรุณา” กล่าวเพียงเท่านั้นเจียวซินก็ กลับไปวาดภาพของตนต่อ เมื่อน้องชายก็มิสนใจ ชายาก็มิสนใจ เฟยเทียนจึงหันไปหนาหนิงเออร์ที่นั่งฝนหมึกอยู่บนพื้นแทน “หนิงเออร์ เจ้าหลีกไป ข้าจะทำเอง” “พะ เพคะ?” จู่ๆ เฟยเทียนก็เอ่ยปากไล่หนิงเออร์ ทำเอานางงุนงงอยู่ไม่น้อย “ข้าสั่งให้เจ้าหลีกไป” เมื่อเฟยเทียนเอ่ยย้ำหนิงเออร์จึงรีบย้ายตนเองลงไปนั่งกับนางกำนัลด้านนอกศาลาแทน เฟยเทียนจึงเริ่มทำหน้าที่ของตนนั่นคือการฝนหมึกนั่นเอง เขานั่งฝนหมึกไปเงียบๆ เหลือบมองหนิงหลงที มองเจียวซินทีอยู่ อย่างนั้น ยามเห็นทั้งสองคนหยอกล้อกันไปมาก็ทำได้เพียงนั่งมองตาละห้อย น้องชายมิเท่าไหร่เพราะยังพูดคุยกับเฟยเทียนบ้างแต่กับเจียวซินนี่สิ แทบจะไม่มองหน้ากันเสียด้วยซ้ำ และแล้วในช่วงปลายยามเว่ย (13:00-14.59 น.) คนจากในวังก็มารับองค์ชายหนิงหลงกลับวัง ทั้งเฟยเทียน เจียวซิน รวมถึงชายารองและเหล่าอนุต่างมายืนรอเพื่อส่งองค์ชายน้อยกลับวัง ร่ำลากันไม่นานองค์ชายหนิงหลงก็กลับไปพร้อมกับเหล่าพี่เลี้ยง ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับตำหนักของตนเอง “พระชายาเป็นอันใดหรือเพคะ เหตุใดวันนี้ทำเย็นชาต่อท่านอ๋องเช่นนั้นเล่า เพคะ” หนิงเออร์ที่เห็นท่าทีของพระชายาที่มีต่อท่านอ๋องจึงกล่าวถามไปตามตรง ปากถามไปมือก็จัดเตียงให้ผู้เป็นนายได้ขึ้นมานอน “ข้าก็มิเข้าใจตนเองเช่นกัน อาจเป็นเพราะข้า…” “หึงหวงท่านอ๋องต่ออนุถังหรือเพคะ” หนิงเออ์ที่เห็นนายตนไม่พูดต่อ จึงคาดเดาเหตุการณ์ต่อ “อืม…แย่เสียจริง เป็นข้าที่บอกว่าอีกสองหนาวจะหย่าขาด แต่ข้ากับหวั่นไหวเองเสียนี่” เจียวซินเอ่ยความรู้สึกออกมาให้คนสนิทฟัง เพราะบางคราการที่ได้ระบายออกมาอาจดีกว่าการเก็บงำเอาไว้เพียงผู้เดียว แต่เจียวซินมิรู้เลยว่าคำพูดของตนกลับทำให้คนที่แอบฟังอยู่ถึงกับใจชื้นขึ้นมา เป็นเพราะนางหึงหวงข้าเช่นนั้นหรือ “มิเห็นเป็นอันใดเลยเพคะ” “เป็นสิ เพราะข้าคงมิอาจทนกับความรู้สึกหึงหวงไปตลอดชีวิต” “แต่ไหนแต่ไร สามีย่อมมีภรรยามากเป็นปกติอยู่แล้วนะเพคะ ผู้เป็นภรรยาอย่างไรก็ต้องใจกว้างในเรื่องนี้” “ข้ารู้ธรรมเนียมปฏิบัติของคนเป็นภรรยาดี แต่มันมิเท่าเทียม สามีสามารถ มีภรรยาหลายคนได้ แต่ภรรยากลับมีเพียงสามีผู้เดียวทั้งยังต้องมาอดทนมิให้ หึงหวงสามีอีก มันจะเกินไปหรือไม่” เจียวซินบ่นเสียยาวเหยียด “โถ่ พระชายาเพคะ หากจะหาชายที่รักมั่นเพียงหนึ่งในใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนกันเพคะ” “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าท่านพ่อข้ามีท่านแม่เพียงคนเดียว…ข้าว่าจะต้องมีสักคนที่รักมั่นดังเช่นท่านพ่อของข้า” หนิงเออร์คิดตามก็อดสงสารผู้เป็นนายมิได้ พระชายามีครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียว หนึ่งพ่อ หนึ่งแม่ หนึ่งพี่ชาย พระชายาได้รับความรักจากคนทุกผู้อย่างล้นหลาม มิเคยต้องยื้อแย่งความรักของครอบครัวจากผู้ใด การที่พระชายาจะคิดเช่นนี้คงมิผิดอันใด “เช่นนั้นจะทำอย่างไรต่อไปเพคะ…” หนิงเออร์กล่าวถามผู้เป็นนาย ไม่ว่า พระชายาจะตัดสินใจอย่างไร นางก็จะทำตามโดยมิปริปากบ่นแม้แต่น้อย “นั่นน่ะสิ…หรือข้าหย่าแล้วหาสามีใหม่ดี เอาที่เขารักข้าเพียงคน-” ปัง!!! เสียงดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงที่ทำหน้าถมึงทึงอยู่หน้าประตู “เจ้าออกไปหนิงเออร์” เสียงทุ้มดุดันกล่าวขึ้นทำให้หนิงเออร์ร้อนรนรีบออกไปทันที โดยมิลืมปิดประตูให้นายทั้งสองเป็นอย่างดี หนิงเออร์!! นี่เจ้าจะทิ้งข้าตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือ “ว๊ายยย ท่านอ๋องจะทำอันใดเพคะ” จู่ๆ ท่านอ๋องก็เดินมาอุ้มนางไปนั่งคร่อมตักหันหน้าเข้าหากัน ไม่ทันให้เจียวซินตั้งตัวเฟยเทียนก็ประกบปากลงไปบนริมฝีปากนางทันที จุ๊บ!!! “อื้ออออ ท่านอ๋องง” เจียวซินเอามือปิดปากของตนเองแน่น “เจ้าพูดอันใดของเจ้า จะหาสามีใหม่งั้นหรือ!” เฟยเทียนเอ่ยขึ้นเสียงดุ “ใช่!! ข้าจะหย่า แล้วสามีใหม่ที่เขาจะมีเพียงข้า!” เจียวซินตะคอกกลับไป โดยมิสนใจแม้แต่คำราชาศัพท์ที่ควรใช้พูดกับท่านอ๋อง จะมิให้นางโมโหได้อย่างไร นอกจากจะหึง จะน้อยใจแล้ว ท่านอ๋องยังทำเสียงดุใส่กันอีก จุ๊บ!!! กึก! “อื้ออออ โอ๊ยยย ข้าเจ็บนะ” เจียวซินใช้มือทุบตีอกแกร่ง “เจ็บแล้วจะได้จำ หากเจ้าพูดว่าจะหาสามีใหม่อีกข้าก็จะกัดปากเจ้าอีก เอาให้มันบวมจนเจ้ามิมีหน้าออกไปพบผู้ใดได้อีก” เฟยเทียนจับมือทั้งสองของนางไว้ “ฮึก ใจร้าย ท่านยังมีภรรยามากมายได้เหตุใดจึงห้ามข้า ฮึก หากหย่ากันไปแล้วท่านก็มิมีสิทธิ์มาสั่งข้าได้อีก” ใบหน้าสวยเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา เจียวซินเองก็บอกมิได้ว่านางร้องไห้ด้วยเหตุใด จะเป็นเพราะโกรธ โมโห หรือน้อยใจ นางก็มิแน่ใจในความรู้สึกเหล่านั้นเช่นกัน รู้เพียงว่าอยากจะร้องออกมาก็เท่านั้น เฟยเทียนเห็นดังนั้นจึงได้สติฉุกคิดสิ่งที่ตนทำ “ร้องไห้ด้วยเหตุใด เจ็บปากหรือ…ข้าขอโทษ ขอโทษนะ” เฟยเทียนใช้มือเช็ดน้ำตาให้เจียวซิน มองสำรวจบาดแผลตรงปากที่เขากัดไปเมื่อครู่ นี่เขาขาดสติถึงขั้นทำร้ายชายาของตนเลยหรือ “ฮึก ฮึก ฮึ ฮือ” เจียวซินยังสะอึกสะอื้นไม่หยุดจนเฟยเทียนมิรู้จะทำเช่นใดดี “ชู่ว ข้าขอโทษ อย่าร้องอีกเลย ขอโทษนะ” ปลุกปลอบกันอยู่นาน กว่าเจียวซินจะหยุดร้องไห้ “ข้าไม่หย่า อย่างไรก็ไม่หย่า ข้ามิเคยจุดโคมตำหนักใดเลยเรื่องนี้คนทั้งจวนต่างรู้ ข้ามิได้มีใจให้พวกนางและมิคิดจะมีใจให้ พวกนางแต่งเข้าจวนข้า ย่อมมีเป้าหมายบางอย่าง เช่นนี้จะให้ข้าไปมีใจให้พวกนางได้อย่างไร ส่วนเรื่องอนุถัง เมื่อเช้าข้าเพียงพูดกิจธุระกับนางเท่านั้น ขันทีจิ้นหนานก็อยู่ด้วย ทั้งยังมีห่าวซวนอีก ข้ามิได้อยู่ใกล้นางแม้แต่น้อย” เฟยเทียนร่ายเรื่องราวยาวเหยียดเพื่ออธิบายให้คนที่อยู่ในอ้อมแขนฟัง หลังจากที่ส่งหนิงหลงเสร็จเขาก็กลับปนั่งคิดอยู่นานว่าจะทำเช่นไรให้เจียวซินหายโกรธเคืองเขา คิดอยู่นานก็ไม่คิดไม่ออกจึงต้องขอคำปรึกษาจากห่าวซวนดังเช่นเคย “ข้าจะทำเช่นไรดีห่าวซวน นางมิยอมพูดคุยกับข้าแม้แต่น้อย เพียงปรายตามองยังนับครั้งได้” “เหตุใดท่านอ๋องมิบอกพระชายาไปตามจริงพ่ะย่ะค่ะ” “เจ้าก็รู้ว่าเหตุใดข้ายังบอกนางมิได้” “เช่นนั้นท่านอ๋องคงต้องบอกให้พระชายารู้ว่าท่านมิได้มีสัมพันธ์อันใดกับ ทั้งชายารองและเหล่าอนุ” และนี่ก็คือคำแนะนำของห่าวซวน “คืนนี้ท่านก็มิได้จุดโคมตำหนักข้า เหตุใดจึงมาอยู่นี่ได้เล่า” เจียวซินที่ได้ฟังความจากปากเฟยเทียนก็ยอมรับว่าเหมือนกับที่นางได้ฟังจากหนิงเออร์ นางจะลองเชื่อเขาดูแล้วกัน แต่!!! อย่าให้รู้นะว่าหลังจากนี้ทำเจ้าชู้ประตูดินไปทั่ว “เช่นนั้น…คืนนี้ข้าจุดโคมตำหนักนี้ได้หรือไม่ ขอข้านอนด้วยคนนะ เจ้ากับหนิงหลงทำข้านอนคนเดียวมิได้แล้ว” เฟยเทียนมิรอคำตอบแต่กลับอุ้มเจียวซินไปนอนลงบนเตียง ยกผ้าขึ้นมาห่มกายให้นางจากนั้นจึงตามไปกกกอด “ท่านอ๋อง ข้ายังไม่ได้อนุ-” “ชู่วๆ นอนได้แล้วๆ” เฟยเทียนไม่ฟังคำของเจียวซินแม้แต่น้อย เจียวซินเองก็จนปัญญาจะเอ่ยปฏิเสธ เห้ออออ ปล่อยเลยตามเลยก็คงมิเป็นไรกระมัง แค่คืนเดียว แต่!!! เจียวซินคิดผิด นับตั้งแต่ที่ท่านอ๋องบุกมาตำหนักนางวันนั้น ท่านอ๋องก็แอบย่องเข้าตำหนักนางทุกคืนหากนับนิ้วดูคืนนี้คงเป็นคืนที่แปดแล้วกระมังที่ท่านอ๋องแอบเข้ามา ทำตัวเป็นโจรลักบุบผา แอบเข้ามากินเต้าหู้นาง ทุกคืน ปฏิเสธก็แล้ว ด่าก็แล้ว เห้อออออ “เหตุใดไม่นอนที่ตำหนักตนเองเพคะ” “ก็ข้านอนไม่หลับหากมิได้กอดเจ้า เพราะฉะนั้นเป็นความผิดเจ้า” “จะใช่ความผิดหม่อมฉันได้อย่างไรกันเล่า” เจียวซินทำหน้ากระเง้ากระงอด “หึๆ รู้หรือไม่ว่าเจ้าทำหน้าตาเช่นนี้ ช่างน่าเอ็นดูนัก…เจ้ามิอยากมีบุตรหน้าตาน่าเอ็นดูเช่นเจ้าหรือ” เฟยเทียนดึงเจียวซินเข้ามากกกอด มือหนาลูบไล้ไปตามแผ่นหลังบาง “ทะ ท่านอ๋อง” “หืม ว่าอย่างไร” แม้ปากจะเอ่ยถามแต่มือหนาก็ไม่หยุดลูบไล้ร่างบาง ใบหน้าคมคายเลื่อนเข้าไปใกล้จนปลายจมูกคลอเคลียกัน ตากลมของเจียวซินสั่นระริกเมื่อร่างหนาค่อยๆ พลิกกายขึ้นคร่อมร่างบางอย่างเชื่องช้า มือหนาคลายปมเสื้อแล้วสอดเข้าไปในสาบเสื้อของคนใต้ร่าง “ขอข้า-” “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ เกิดเรื่องขึ้นในวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ…”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม