“ริสกลับมาแล้วนะคะคุณพ่อ” ฉันแทบขาดใจ เป็นครั้งแรกที่กลับเมืองไทยลงเครื่องแล้วไม่ได้เข้าบ้านแต่ต้องตรงมาที่วัดเลย
ตอนที่รถเลี้ยวเข้ามาในวัดแขนขาฉันอ่อนแรงไปหมด รู้สึกเหมือนจะเป็นลมขึ้นมาดื้อ ๆ ทั้งที่รู้ว่าคุณพ่อไม่อยู่แล้วแต่พอจะถึงงานของท่านจริง ๆ ฉันก็รับความจริงไม่ไหว
“กินข้าวรึยัง”
“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน” ฉันไม่หันไปมองคนที่เห็นตั้งแต่ยังไม่ได้ลงจากรถแต่ฉันไม่ทักทาย เขาเป็นคนเดียวที่ฉันไม่ทัก ไม่อยากเห็นหน้า
“ผมไม่ยุ่งแต่คุณต้องกิน ไม่งั้นตอนเย็นจะรับแขกได้ยังไง แขกตั้งเยอะ”
“ก็รับแขกคนเดียวไปสิ ชอบไม่ใช่เหรองานเอาหน้า”
“เจน”
“คะคุณดิน”
“ดูแลคุณไอริสด้วย”
“ได้ค่ะ” ฉันไม่หันไปมองแต่ก็รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเดินไปแล้ว
“คุณไอริสคะ”
“ริสขออยู่ตรงนี้ก่อน อย่าเพิ่งให้ไปไหนเลยค่ะ” ฉันไม่ได้หันไปคุยกับเลขาของผู้ชายคนนั้น ฉันยังมองรูปกับ...โลงศพของคุณพ่อ แต่ก็ไม่ได้พูดจาแย่ใส่เธอ
“ถ้างั้นพี่ขอนั่งเป็นเพื่อนนะคะ”
“ค่ะ”
ฉันไม่ได้อยู่กับคุณพ่อเลย ไม่ได้คุยกับคุณพ่อสักคำเลยด้วยซ้ำ คุณพ่อยังไม่ได้เห็นฉันประสบความสำเร็จเลย
...ทำไมไม่อยู่รอดูความสำเร็จของริสคะคุณพ่อ
“ฮึก!”
“ยัยริส”
“...อานภา สวัสดีค่ะ”
“เป็นยังไงบ้างลูก แม่คุณของอา อาเป็นห่วงแทบแย่ กลัวหนูจะกลับมาไม่ไหวรู้รึเปล่า”
“ค่ะ”
“กินข้าวกินปลามารึยัง ลงเครื่องก็มาที่วัดเลยใช่ไหม ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาก่อนไหมลูกเดี๋ยวพี่เชนก็มาอาให้พี่เขาพาหนูไปอาบน้ำพักผ่อน”
“ไม่เป็นไรค่ะอานภา ริสอยากอยู่กับคุณพ่อ”
“แต่หนูต้องรับแขกตอนเย็นนะลูก รู้ไหมว่าอาโล่งใจมากที่หนูกลับมา เมื่อวานไอ้กาฝากมันทำตัวเป็นเจ้าภาพใหญ่ เชิญแขกดูแลแขกเองไม่เห็นหัวคนในตระกูลเราเลย ทำตัวอย่างกับตัวเองใหญ่ที่สุด”
“...ค่ะ”
“ต่อไปนี้หนูอย่าไปยอมให้มันมาเสนอหน้านะลูก วันนี้อาจะให้พี่เชนรับแขกช่วยหนูเอง ถ้ามันเห็นหนูอยู่กับพี่เชนมันไม่กล้ามาเสนอหน้าแน่”
“อานภาคะเดี๋ยวริสขอตัวก่อนนะคะ คุณเจนพาริสไปทานข้าวหน่อยค่ะ” ฉันตัดบทเพราะสมองฉันตอนนี้ไม่พร้อมรับรู้อะไรทั้งนั้น อยากอยู่เงียบ ๆ มากกว่า
“แต่... / ริสมาถึงเหนื่อย ๆ เสียใจเรื่องคุณพ่อด้วย ริสยังไม่อยากรับรู้อะไรค่ะอานภา”
“เอ่อ จ้ะ ๆๆ เดี๋ยวค่อยคุยกันก็ได้ลูก” ฉันเดินออกมาทั้งที่ยังอยากนั่งอยุ่ที่เดิม แต่การที่เรากำลังเสียใจมากแล้วต้องมารับฟังเรื่องอะไรก็ตามทั้งที่ไม่อยากฟังแถมเสียงอานภายังแสบหู ฉันไม่โอเคหรอกต่อให้อานภาจะกำลังพูดถึงคนที่ฉันเกลียดด้วยคำพูดแย่ ๆ ฉันก็ไม่อยากรับฟัง
-เวลาต่อมา-
“ริสคะ”
“...คะ” ฉันหันไปตามเสียงเรียกที่ดังขึ้นมา
“พี่เป็นห่วงแทบแย่ พี่รีบมาหามากรู้รึเปล่า”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่เชน” ฉันตอบคนที่เดินมานั่งข้างฉันแล้วก็ชวนฉันคุยในขณะที่พระท่านกำลังสวดอภิธรรม
“เห็นแม่บอกว่ายังไม่ได้เข้าบ้านเลย แขกกลับแล้วเดี๋ยวพี่ไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่เชน คนรถที่บ้านมารอรับแล้ว”
“ต้องกลับกับพวกแม่บ้านที่บ้านไม่สะดวกหรอกริส เดี๋ยวพี่ไปส่งดีกว่าจะได้คุยกันด้วย”
“พระกำลังสวดนะครับคุณเชน”
“มึงว่าอะไรนะ”
“พระกำลังสวด แขกผู้ใหญ่ก็เยอะ คงจะดีกว่าถ้าคุณจะคุยกันหลังจากส่งแขกเรียบร้อย”
“ไอ้ดิน!”
“พี่เชนคะ ริสขอฟังพระสวดก่อน” ฉันไม่ชอบผู้ชายคนนั้นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะแยกแยะไม่เป็นเพราะพี่เชนชวนคุยแถมยังเซ้าซี้ไม่รู้เวลาจริง ๆ
“โอเคค่ะ พี่เห็นแก่ริสนะ ไม่งั้นได้มีกาฝากบางตัวโดนต่อยปากแตกไปแล้ว”
ฉันไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่สนใครสนแค่ฟังพระท่านสวด ตั้งใจทำทุกอย่างให้เต็มที่เพราะนี่คงเป็นไม่กี่อย่างในชีวิตที่จะมีโอกาสทำให้คุณพ่อ
-เวลาต่อมา-
“พี่ไปส่งนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่เชน ริสกลับกับที่บ้านได้ค่ะ”
“ให้พี่เขาไปส่งเถอะลูก พี่เชนเป็นห่วง”
“แต่ริสอยากกลับพร้อมคนที่บ้านค่ะอานภา ริสมีเรื่องจะคุยเรื่องงานของคุณพ่อกับทุกคนที่บ้าน”
“คุยเรื่องงานศพคุณพ่อกับแม่บ้านนี่นะ คุยทำไมลูกแม่บ้านพวกนั้นจะรู้เรื่องอะไร คุยกับอากับพี่เชนสิจ้ะ อากับพี่เชนจะช่วยหนูเอง เดี๋ยวเราช่วยกันนะลูก เราเป็นครอบครัวเดียวกัน พี่เชนเองก็เต็มใจช่วยน้องมาก ๆ ด้วย”
“ขอบคุณนะคะอานภา เดี๋ยวริสขอตัวก่อนนะคะ เห็นคุณอาทนายกำลังจะกลับพอดีริสมีธุระสำคัญจะคุยกับท่านน่ะค่ะ” ฉันพูดจบก็เดินออกมาไม่สนหน้าใครทั้งนั้น
ฉันเบื่อการยัดเยียดพี่เชนของอานภาเต็มที ไม่อยากเจอสองแม่ลูกก็เพราะแบบนี้แหละ
...บอกว่าผู้ชายคนนั้นหวังจะจับฉัน แต่ก็พยายามยัดเยียดลูกชายตัวเองให้ฉันเหมือนกัน น่าเบื่อ นายนั่นกับพี่เชนฉันไม่เอาใครทั้งนั้น เอาทำไมไม่มีใครดีสักคนแถมแฟนฉันก็มี