องค์กร

3562 คำ
[อานนท์] เขาคลุกคลีอยู่ในวงการมาเฟียนี้ไม่ต่ำกว่าสิบห้าปีเข้าแล้ว ชีวิตของเขาก็เหมือนแขวนไว้กับเส้นตายบางๆเส้นหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะพาร่างของเขาตกลงสู่ความตายเมื่อไร อานนท์เป็นลูกครึ่งไทยอิตาลี ดูได้จากผิวที่ขาวซีดและดวงตาสีครามมรกต ส่วนใบหน้าออกมาทางเอเชียผสมตะวันออกอย่างลงตัวเรียกได้ว่าเป็นใบหน้าที่ใครเห็นก็ชวนมอง เขาชอบการซุ่มยิงเป็นหลัก อาวุธถนัดที่คนในวงการรู้จักกันดีคือไรเฟิล พวกเขาให้ฉายาเขาว่า 'สไนเปอร์มือหนึ่งของวงการ' ที่หาตัวจับยากยิ่งกว่าใคร และยังเป็นตัวอัตรายของวงการที่ต้องค่อยระวัง เขาคิดว่าการยิงให้ตายในนัดเดียวคือความเมตตาที่สุดแล้ว มันไม่ทรามาณ หรือเจ็บปวดอะไรมากนัก แล้วอีกอย่างคือเวลาฆ่าเสื้อสีขาวตัวโปรดของเขาก็จะไม่เปื่อาคราบเลือดสีแดงพวกนั้นด้วย "นนท์....." เสียงทุ่มต่ำดูดุดันนั้นทำให้อานนท์หันไปตามเสียงเรียกของคนข้างกาย นัตน์ตาสีนิลสวยที่จับจ้องมองเขาด้วยสายตาแพรวพราวและรอยยิ้มเล็กน้อยอยู่เสมอนั้นทำเขาใจอ่อนลงทุกครั้งไป และทุกครั้งที่ตอบกลับไปเสียงมักจากอ่อนลงสามส่วนให้คนตรงหน้าเสมอ "ครับนาย..." "คุยงานวันนี้เสร็จ มึงพากูไปเที่ยวรอบเมืองนะ กูอยากไปผ่อนคลายบ้าง" "นายครับ...มันอันตราย" "มีมึงอยู่กับกูทั้งคน กูไม่ตายหรอก มึงจะให้กูอูดอู้ทำแต่งานเป็นเดือนเป็นปีไม่ให้พักเลยหรอว่ะ กูประสาทแดกตายกันพอดี" "...."อานนท์เงียบไม่พูดอะไร มองดูท่าทีอีกฝ่ายเล็กน้อย เจ้าตัวดูจะอารมณ์ขึ้นลงบ่อยมากเหลือเกิน "หรือมึงว่าไม่จริง?...."เจ้าตัวตอกย้ำกลับมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ".....ตามนั้นครับ" ยังไงเขาก็พูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้อยู่แล้ว อีกฝ่ายอยากจะทำอะไร เขามีหน้าที่เพียงอำนวยความสะดวกให้ทุกวิถีทาง ถึงจะพูดห้ามบ้างแต่ก็อยู่ในโหมดที่ไม่จริงจังเลยสักครั้ง ช่วงนี้นายเองก็คงเหนื่อยทั้งงานเอกสารและงานพบปะสัมพันธ์ทางธุระกิจรวมถึงการเดินทางที่เดือนนี้ทั้งเดือนยังต้องบินไปกลับต่างประเทศเป็นว่าเล่น เขาเองก็รับงานหนัก เพราะนายเล่นส่งคนไปให้นายน้อยกันหมด แม้แต่ภูเมฆยังถูกส่งไปเลย ตอนนี้คนข้างกายนายที่ทำงานแทนได้หมดทุกหน้าที่ก็คงจะมีแค่เขาแล้ว "เชิญครับคุณวี...."เมื่อเราเดินมาถึงห้องชุดที่จองไว้กับทางโรงแรมเพื่อพบปะพูดคุยกันงานสำคัญในครั้งนี้ ก็มีชายชุดสูทดำยืนขนานประตูรอพวกเราอยู่ นั้นหมายความว่าฝ่ายนั้นมารอก่อนแล้ว พอเปิดประตูห้องชุดเข้าไป สิ่งแรกที่ได้ยินทำให้เขาหยุดชะงักฝีเท้าไป "ไง...ลูซี่" สำเนียงภาษาที่แปลกหูมาพร้อมร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีขาวดำ ใบหน้าดูหล่อเหล่าและอ่อนเยาว์เหมือนเด็กหนุ่มที่พึ่งจะเข้าช่วงอายุยี่สิบมาไม่นาน "..."อานนท์เงียบมองหน้าคนทักก่อนจะนิ่งไป การตามมาคุยงานครั้งนี้เล่นเขาปวดหัวขึ้นมาทันทีที่ได้เจอหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้ ผู้มีสัญชาติสเปนแท้ ที่มาพร้อมดวงตาสีมรกตตรงหน้าเขา รอยยิ้มที่ส่งมาให้เหมือนไม่ได้ดูมีเจตนาดีเลยสักนิด มันทำให้เขานิ่งค้างไปชั่วขนาดที่ได้เจอเข้ากับคนตรงหน้า อย่าบอกนะคนที่มาคุยงานด้วยในครั้งนี้ไม่ใช่มิสเตอร์จอร์คนพ่อแต่กลับส่งลูกชายตัวดีของเขามาคุยงานแทน ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเขาว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดไว้สักเท่าไร "พี่สบายดีใช่มั้ย?" "...." "ไม่เอาสิพี่อย่าทำหน้าแบบนั้น พอผมได้ยินว่าพี่จะมาคุยงานในครั้งนี้ด้วย ผมรีบขอพ่อมาคุยแทนเลยนะ พี่ควรดีใจสิที่ได้เห็นหน้าผมหน่ะ" "...." "นนท์...." อานนท์หันไปตามเสียงเรียกของนายที่ขมวดคิ้วมองมาทางเขาเหมือนอยากจะถามถึงสถานการณ์ "นายครับ...นี้คือ'คาเตอร์ ฟลอเรส' ลูกชายคนเล็กของ มิสเตอร์จอร์ " "เดียวนี้เขาส่งเด็กมาคุยงานแทนแล้วหรอ ถ้าไม่ว่างก็ควรจะติดต่อมาบอกกัน ไม่ใช่จะส่งใครมาแทนมั่วสั่วแบบนี้สิ" อานนท์มองเข้าไปในสายตาของพิภพ รับรู้ถึงประโยคในใจที่เจ้าตัวไม่ได้พูดมันออกมา อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีกว่าเมื่อก่อนมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะด่ากราดไปสักประโยคสองประโยคแล้ว ส่วนตัวเขาก็ต้องเป็นคนตามเคลียร์ให้ด้วยลูกกระสุนอีกตามเคย ถึงว่านายให้เกียรติทางนั้นมากพอควรเพราะ อาวุธในครั้งนี้จะเป็นคลังอาวุธที่สำคัญของเรา ถ้าของถึงฝั่งก็จะสำเร็จไปด้วยดี มันจะดีกว่าถ้าเรามีอาวุธพวกนี้ไว้ในมือเพื่อใช้ในยามจำเป็น "หืม~ นี้เจ้านายพี่หรอ" คาเตอร์ยืนลวงกระเป๋ากางเกงแบบไร้มารยาท มองสำรวจนายของเขาด้วยแววตาประหลาดใจ พิภพเองเมื่อเห็นเด็กมันทำท่าทางไร้ความเครพแบบนั้นใส่ก็เหยียดยิ้มเย็นส่งกลับให้ ทั้งคู่จ้องตากันเหมือนมีประกายไฟแลบผ่าน "เรื่องจริงสินะที่เขาบอกว่า พี่เป็นคนเดียวใน เจ็ดบาป ที่รับใช้คนอื่นเป็นนายอะ" "....." "อย่างพี่เนี่ย...สร้างแก๊งเองก็ยังได้เลย ทำไมถึงมาจมปลดอะไรกับ...." คาเตอร์ปราดตามองพิภพเล็กน้อยให้รู้ถึงคำที่ไม่ได้พูดออกมา อานนท์ทำหน้านิ่งๆไม่พูดตอบอะไร แต่กับคนข้างตัวนั้นไม่ใช่ "นนท์ มึงยิงเด็กนี่ทิ้งให้กูได้มั้ยวะ" "ไม่ได้ครับนาย...ผมยังไม่อยากวิ่งฝ่ากระสุนตอนนี้หรอกนะครับ เห็นใจผมด้วย"นั้นลูกชายนักค้าอาวุธรายใหญ่เลยนะ จะมีเรื่องด้วยก็เตรียมปืนให้ได้มากว่าเขาละกัน "เหอะ!...." "อย่าคุยภาษาประเทศตัวเองกันสิครับ มันเสียมารยาทกับแขกแบบผมนะ"คาเตอร์เอ่ยออกมาเสียงขุ่นเมื่อทั้งคู่สทนากันเองโดยไม่หันมาสนใจเขาเลย "มันมีกับเขาด้วยหรอมารยาท" "นายครับ..." อานนท์พูดห้ามออกไปเบาๆ มองสบตานายตัวเองเพื่อสื่อความหมายผ่านดวงตา พิภพสะบัดหน้าหนีทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็ไม่พูดกระทบอะไรออกมาอีก ก่อนที่อานนท์จะหันไปมองคาเตอร์ที่ยังคงยืนจกกระเป๋ากางเกงยิ้มหน้าระรืนส่งมาให้เขา นี้ก็อีกคน... "อย่าเสียมารยาท..." อานนท์พูดบอกคาเตอร์ด้วยภาษาสเปน น้ำเสียงออกไปทางเย็นชา ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะระบายยิ้มอ่อนๆส่งไปให้แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ถึงดวงตา แน่นอนที่เขาต้องพูดประโยคนี้ด้วยภาษาเของอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้นายฟังออก เพราะดูเหมือนการเจรจาในครั้งนี้ ผู้มาเจรจาไม่ได้อยากจะคุยงานกับเข้านายของเขาในครั้งนี้แม้แต่น้อย แต่มาเพื่อคุยกับตัวเขามากกว่า คาเตอร์เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำเพียงยักไหล่รับคำ พร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหมือนยอมจำนนท์ "ok ผมไม่กวนแล้วก็ได้ แต่พี่ต้องหาเวลามาคุยกับผมนะ ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกพี่" "ก่อนจะคุยกัน...มาเคลียร์งานกันก่อนดีมั้ย?" เมื่อเจ้าตัวเล่นพวงงานพ่อตัวเองมาด้วยก็ต้องรีบตกลงให้มันจบไป เขาเองก็ไม่อยากให้เรื่องงานปนกับเรื่องส่วนตัวอย่างอื่น มันยุ่งยาก "ไม่จำเป็นหรอก...ผมเซ็นให้เลย" คาเตอร์กลับไปเอาเอกสารบนโต๊ะแล้วยื่นมันส่งมาให้เขา ดูเหมือนจะเซ็นไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องนี้พวกเขาไม่แม้แต่จะได้นั่งกันเลย เพราะต่างฝ่ายต่างสำรวจกันไปมา พอจะได้คุยงานหน่อย การเจรจาก็จบไปเรียบร้อยโดยแทบจะไม่ได้ทำอะไร มีเพียงแค่กระดาษสัญญาใบเดียวเท่านั้นที่ทุกยืนส่งมาให้ "......" "อาวุธพวกนั้นแค่ถึงฝั่ง มันจะเป็นของพี่ทันที ผมแถมเพิ่มให้ด้วยนะ ที่เหลือพี่จะทำยังไงกับมันก็สุดแล้วแต่พี่เลย" " ค่าของก็ส่งบิลมาทางอีเมลแล้วกัน" "ไม่มี....ครั้งนี้ผมให้พี่" "หึ เด็กน้อยนี้ไม่ใช่ที่เล่นขายของ ก่อนจะพูดอะไร นึกถึงหน้าพ่อนายด้วย" พิภกพูดดักขึ้น เมื่อได้ยินเด็กตรงหน้าทำตัวอวดดีเหมือนคนไม่รู้ความ นี้คือการค้าขายที่มีมูลค่าและความเสี่ยงที่สูง เล่นแจกจ่ายของไปทั่วจนลืมคิดไปแล้วมั้งว่ามันคือปืนสงครามไม่ใช่ขนม "ไม่จำเป็นมั้ง...จริงมั้ยพี่ ค่อยๆอธิบายให้เขาเข้าใจหน่อยสิ " "....."อานนท์ทำได้เพียงนิ่งมองเด็กหนุ่งตรงหน้านิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรออกไป เราต่างรู้ดีว่าตรงไหนควรพอ "แล้วเรื่องที่ผมจะคุยละ..." คาเตอร์ถามขึ้นด้วยภาษาสเปน นั้นทำให้เขารู้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่อยากให้คนข้างๆรับรู้ เขาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยภาษาเดียวกันกับที่ถาม "ตอนนี้...พูดมาสิ" "พี่รู้ตัวมั้ย...ว่าตอนนี้ตัวเองมีค่าหัวแล้วนะ" "....." "ในวงการดูจะครึกครื้นไม่น้อยเลย ตามข่าวหน่อยนะพี่" "เข้าเรื่องเถอะ..." "องค์กรเรียกรวมตัววันที่สิบห้าเดือนนี้ เห็นบอกกันว่าถึงช่วงรับภารกิจแล้ว พี่ก็มาด้วยล่ะ" คาเตอร์ตบไหล่เขาเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้เล็กน้อยส่วนเขานั้นทำเพียงปราดตามองอีกฝ่ายด้วยแววตาซับซ้อนกลับไปเท่านั้น "เอาเถอะ จริงๆผมไม่มีอะไรแล้ว แค่มาเตือนพี่เฉยๆ เห็นช่วงนี้เงียบหายไป ไม่ค่อยได้ติดต่อกลับมาหากันบ้าง เลยเป็นห่วง" คาเตอร์พูดมันออกมาด้วยรอยยิ้ม ในขนาดที่อานนท์ทำเพียงนิ่งฟังสิ่งที่เอีกฝ่ายพูด และแปลความหมายในน้ำเสียงและท่าทางที่ได้เห็นนั้นอย่างเฉยชา ".....'' "พี่ก็รู้ว่าผมน่ะ ช่างเถอะ" พอเจ้าตัวเห็นท่าทางของเขาที่นิ่งสนิทไร้การโต้เถียงแบบนั้นก็ยักไหล่ เงียบเสียงลงไป "เดียว..." อานนท์พูดเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ก่อนที่คาเตอร์จะหันกลับมามองด้วยความสงสัย เขายื่นของในมือที่ลวงออกมาจากกระเป๋ากางเกงมาก่อนหน้านั้นส่งออกไปให้อีกฝ่าย " คอนโด shade rags ชั้นบนสุด โซนเลี่ยงเมือง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ไปที่นั้นได้ " คาเตอร์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นของในมือที่ถูกยื่นมาให้ เจ้าตัวมองเขาด้วยความลังเลและสับสน ยืนมองของในมืออยู่นานก่อนจะรับมันไปใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ "ผมคิดว่าพี่จะให้อะไรที่น่าตื่นเต้นกว่านี้มาสักอีก...."ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ลึกๆแล้วคาเตอร์เองก็แอบสนใจของที่ได้รับมาอยู่ไม่น้อย "มันจะมีประโยชน์เมื่อถึงเวลาของมัน" "งั้นเหรอ ผมจะเชื่อละกัน.." เพราะเขาว่ากันว่าเชื่อผู้ใหญ่มักจะได้ดีจริงมั้ย? "ฉันก็ขอแก้ความเข้าใจผิดสักหน่อย..." "หืม?..." "ที่ฉันอยู่คือครอบครัวไม่ใช่แก๊ง" คำว่า'แฟเมอรี่'สำหรับวงค์การมาเฟียแล้วมันคือกลุ่มมาเฟียที่ตั้งขึ้นจากชื่อเสียงวงค์ตะกูล เป็นขนาดที่ใหญ่กว่าแก๊งมาก มีแบบแผนขึ้นตรงต่อหัวหน้าตระกุลและเคารพสมาชิกในสายเลือดเดียวกัน อาจจะแปลกที่เขาพูดไปแบบนั้น แต่ก็จริงที่เขาสามารถจะสร้างกลุ่มแก๊งออกมาซะกี่แก๊งก็ได้ในชีวิตนี้ แต่ทำไมเขาถึงยังเลือกที่จะอยู่ตรงนี้ เพราะไม่ว่าตัวเขาจะอยู่ที่ไหนก็คงจะเหมือนกัน หรือมันเป็นเพราะคนข้างๆกายในตอนนี้หรือเปล่าที่ทำให้มันแตกต่างไป อานนท์เหลือบไปมองคนข้างกายเล็กน้อย ตัวเขาเองก็กำลังมองมาทางผมอยู่ด้วยแววตาที่อ่านยาก ก่อนที่จะระบายรอยยิ้มส่งกลับมาให้ "มาเฟียไม่ใช่นักเลง" เสียงทุ้มต่ำข้างกายเขาพูดต่อประโยคของอานนท์ด้วยภาษาสเปน ทำเอาอานนท์ที่มองอีกฝ่ายอยู่ต้องนิ่งชะงักไป เรามองสบตากันนานอยู่หลายวิ คาเตอร์มองภาพตรงหน้านั้นด้วยความสับสนแล้วเหมือนจะจุดประกายความเข้าใจบางอย่างในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้ แบบนี้มันก็.... "ครับ....ผมมันก็เป็นแค่พ่อค้าอาวุธเถื่อน ไม่ใช่มาเฟียแบบพวกคุณหรอกนะ ไม่เข้าใจหรอกความหมายแบบนั้นหรอก งั้นผมของตัวก่อน" เมื่อลับสายตาจากเด็กหนุ่มที่เดินออกไปทั้งแบบนั้น พูดบอกลากันเพียงสั้นๆได้ใจความ บทจะไปก็ไปง่ายๆจนต้องประหลาดใจ ทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบไปอย่างกระทันหัน "ไอ้เด็กนี่...แม่งมารยาทเสีย"เขาสบดด่าคาเตอร์เสียงเข้ม หลังจากที่เจ้าตัวได้ออกจากห้องไปแล้วสักพัก นี่มันส่งเด็กมาเล่นขายของชัดๆ! "ผมก็พึ่งรู้ว่านายพูดภาษาสเปนได้" "ไม่ใช่แค่พูดได้นะ กูฟังออกด้วย" เขาพูดพร้อมยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่ดูสนุกและพอใจเป็นอย่างมาก นั้นหมายความว่าเขาเข้าใจและรับรู้ทุกอย่างที่เขาพูดกับคาเตอร์ไป ทำเอาหน้าร้อนแผ่วขึ้นมา จึงหันหน้าหนีดวงตาสีนิลคู่นั้นของอีกฝ่ายอย่าเผลอตัว "มีความสุขมากหรอครับ..." อานนท์พูดเสียงประชดตอกกลับเจ้าตัวไป รู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อยกับรอยยิ้มยี่ยั่วกวนอารมณ์นั้นของอีกฝ่ายที่ส่งมาให้ "...มาก" คนตรงหน้าไม่เคยเปลี่ยนเลย ไม่ว่าจะรู้สึกยังไงก็ตอบกลับมาตามตรงเสมอ แต่มันทำให้คนฟังแบบเขาไปไม่ถูกทุกครั้งไป "แล้วมึงละ ไปรู้จักกับเด็กนั้นตอนไหน?" "ก็เขาเป็นคนในองค์กร แล้วยังเป็นหนึ่งในเจ็ดที่ถูกเลือก" " ไอ้เด็กนั้นอ่ะนะ"พิภพขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน " องค์กรของมึงเอามาตรฐานอะไรมารับคนเข้ากัน นั้นเด็กกะโลกกะลาเลยนะ "ท่าทางอวดดี ไม่สนแม้แต่ผลประโยชน์หรือกำไรที่จะได้จากการค้าขายในครั้งนี้ด้วยซ้ำ คิดว่ามาเที่ยวเล่นหรือยังไงกัน? "ก็คงจะคล้ายกับผมละมั้งครับ"พอพูดไปแบบนั้น พิภพก็มีท่าทางเงียบลง ก่อนเจ้าตัวจะมองเขาที่มีทางทีเปลี่ยนไปกระทันหันด้วยความรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยที่พูดไปแบบลืมตัว "อืม ก็ใครมันจะไปรู้ละว่าแค่ให้มึงไปยิงคนทิ้งจะทำให้มึงต้องกลายเป็นสมาชิกองค์กรอะไรนั้นด้วย ไร้สาระ จริงๆมึงไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวก็ยังได้" ครั้งหนึ่งช่วงที่ทั้งเขาและนาย เข้าวงการมาเฟียแรกๆ ไม่ค่อยรู้ตื้นลึกอะไรในวงการมากนัก มีปัญหากับใครเข้าก็ถือคติฆ่าให้ตายก็สิ้นเรื่อง ไม่ว่าจะใหญ่มาจากไหน เคยมีอำนาจบารมีมากแค่ไหน แค่ไร้ลมหายใจสิ่งเหล่านั้นก็ไร้ค่าอยู่ดี แต่นั่นกลับกลายเป็นว่า เขาเองต้องเข้าไปพัวพันกับกฎขององค์กรลับที่คัดคนเข้าองค์กรอย่างแปลกประหลาด เพียงเพราะได้ไปฆ่าหนึ่งในสมาชิกขององค์กรเข้า สำหรับเขาข้อดีของการเป็นสมาชิกในองค์กรนี้มีเพียงอย่างเดียวคือ ข้อมูลข่าวสารและผลประโยชน์จากสมาชิกคนอื่นในองค์กรที่แต่ละคนก็ไม่ต่างจากตัวบักในวงการที่หาตัวจับได้ยาก อานนท์มองว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเราไปอีกนาน จึงได้เข้าร่วมแบบที่ไม่ขัดขื่นใจอะไรมากนั้น แต่พอเอาเข้าจริงเขากลับรู้สึกว่ามันดูจะยุ่งยากขึ้นทุกที...ยิ่งองค์กรมีประโยชน์กับเขาเท่าไร ก็เรียกร้องผลประโยชน์จากสมาชิกอย่างพวกเขามากขึ้นเท่านั้น ถึงจะคิดได้เอาตอนนี้ก็คงบ่นอะไรมากไม่ได้ แต่การไม่ถูกผูกมัดก็ย้อมดีกว่าอยู่แล้วจริงมั้ย? "แล้วไอ้เด็กนั้น ไปฆ่าโดนใครในองค์กรเข้าหรือไง?"พิภพทำหน้าไม่เชื่อว่า เด็กคนนั้นจะยิงใครโดนด้วย ท่าทางอวดเป้งถือดีปานนั้น.. "กรณีของคาเตอร์ คือเขาได้รับสืบต่อจากปู่เขาอีกทีนะครับ"พิภพทำขมวดคิ้วขึ้นอย่าประหลาดใจเมื่อได้ยินแบบนั้น " หือ? มีการส่งต่อผ่านลูกหลานด้วยหรอ ก็ว่าท่าทางอย่างนั้นจะไปยิงใครได้" "อย่าดูคนแบบนั้นสิครับนาย...ตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้วแท้ๆ" อานนท์ส่ายหัวให้ความคิดอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้ ความประมาทเลินเล่อของเจ้าตัวยังคงทำเขาวางใจไม่ได้สักที เป็นถึงมาเฟียใหญ่ที่ปกครองคนหลักร้อยแล้วแท้ๆ "หึ...ท่าทางกวนประสาทแบบนั้นของเด็กนั้นเหมือนมึงเมื่อก่อนไม่มีผิด" อานนท์ยิ้มรับเบาๆ ยอมรับว่าตัวเขาเองก็เอ็นดูคาเตอร์ไม่น้อย อาจจะด้วยความถูกชะตาอย่างหน้าประหลาดหรือความรู้สึกคล้ายคลึงกันในบ้างเรื่อง "เขามีพี่ชายอีกสองคนนะครับ นายไม่คิดว่ามันแปลกหรือที่เขาได้รับสืบทอดโดยที่ปู่ของเขาไม่แม้แต่จะแลพี่ชายอีกสองคนของเขาเลย" "หืม?" "ผมเคยร่วมงานกับปู่ของเขาก็หลายครั้ง คนแบบนั้นไม่เลือกผู้สืบทอดแบบขอไปทีหรอกครับ" "....." "อย่างน้อยก็ต้องมีดีอะไรในตัวบ้างแหละ" "งั้นเหรอ..."พิภพตอบรับเบาๆ ก่อนจะมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มเฉยชา ''กูแปลกใจมากกว่า ที่เลือกทายาทข้ามรุ่นกันแล้ว"อานนท์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพิภพพูดประโยคนั้นจบ ยอมรับว่าอดที่จะคิดตามเขาไม่ได้ แต่ถึงจะคิดไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี เรื่องในครอบครัวคนอื่นมีหรือคนนอกจะเข้าใจ นายเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง เขาคงจะไม่ชอบหน้าคาเตอร์จริงๆ ดูจากน้ำเสียงที่ตอบรับหรือท่าทางเวลาพูดถึงเด็กคนนั้น ก่อนที่อยู่ๆ นายจะทำหน้าครุ่คิดอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีเลย มันมีทั้งความโกรธแล้วความกลัว? ในเวลาเดียวกัน แววตาสีนิจคู่นั้นหันมองมาทางเขา "แล้วถ้ามีคนฆ่ามึงได้?" อานนท์ขมวดคิ้วมองคนพูดเล็กน้อย อยู่ๆก็มายิงประโยคนี้ใส่กันเลยหรอ? ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร แต่โดนพูดแบบนี้ใส่ก็สร้างความหวาดระแวงให้ได้เช่นกัน "เขาก็อาจจะได้เป็นต่อจากผม" อานนท์พูดตอบกลับไปเสียงเบา ยืนจ้องมองสบตาสีนิลของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบาง "แต่คนละรุ่น...เหมือนที่ผมต้องร่วมงานกับสมาชิกรุ่นก่อนเพื่อรอครบจำนวนคนในรุ่นของผมจึงจะรับทำภารกิจได้" "หึ...เอาไปทำไรได้กัน ก็แค่ฉายางี่เง่าในวงการสีเทา"ประโยชน์ที่ทางตระกูลของเขาพอจะได้รับจากองค์กรบ้านั้นก็มีแค่ชื่อเสียงของคนตรงหน้าที่ทำให้ไม่มีกลุ่มแก๊งไหนกล้าลงมือหรือพวกข้อมูลข่าวสารที่ไวกว่าและเป็นจริงเท่านั้น " ผมว่าที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ ดูมันมืดสนิดแทบจะหาแสงเล็ดลอดเข้ามาไม่เจอด้วยซ้ำ" อานนท์ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย มือข้างนี้ฆ่าไปแล้วตั้งกี่ศพ....ชี้เป็นชี้ตายคนมาแล้วกี่หน ตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้ดี พิภพเงียบมองคนข้างกายด้วยแววตาสั่นไหวใบหน้าคมคายของเจ้าตัวไม่เหมาะที่จะทำหน้าแบบนี้ใส่กันเลยจริงๆ "กูขอโทษ..."อานนท์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำขอโทษนั้น "..มันไม่ได้หนักหนาอะไรขนาดนั้นครับนาย ผมเพียงแค่บ่นไปเท่านั้น" "กูยังอยู่ตรงนี้"พิภพพูดเสียงหนักแน่น มองสบสายตาสีครามสวยของคนตรงหน้าอย่าจริงจัง "....." "กูไม่ให้มึงตายหรอก" "ครับ...นาย" คำพูดไม่กี่คำนี้ ทำให้อานนท์รู้ว่าอย่างน้อยต่อให้ต้องตายไปจริงๆ ก็ไม่เป็นไรเลย เพราะมั่นใจได้ว่าศพของเขาจะไม่ไปเน่าอึดที่ไหนให้ใครเดือดร้อนแน่นอน ผู้ชายตรงหน้าเขาตอนนี้ ตัวเขาจำแทบไม่ได้แล้วว่าเราอยู่ด้วยกันมาตั้งกี่ปี รู้เพียงว่าไม่มีช่วงไหนในชีวิตนี้ที่ไม่มีเขาข้างกาย ไม่มีเลยจริงๆ....
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม