“แม่ค่ะ!!แม่!”
“สการ์เล็ตต์!”
สการ์เล็ตต์ผวาลืมตาตื่นอย่างตกใจสิ่งแรกที่ดวงตาสีน้ำตาลเห็นคือใบหน้าของเพื่อนสาวชาวญี่ปุ่นที่ยิ้มออกมาอย่างโล่งอก
หญิงสาวดวงตาเรียวเล็กสีดำสนิท ช่วยพยุงเพื่อนสาวให้นั่งบนเตียงนอนพลางใช้แขนเสื้อซับเหงื่อบนใบหน้าหวานของเพื่อนรัก
“ฝันร้ายอีกแล้วซินะ”
“อายะกลับมาเมื่อไหร่จ๊ะ” สการ์เล็ตต์ลืมตากว้างอย่างตกใจ
“นี่ถ้าฉันเป็นขโมยละเธอแย่ไปแล้วนะยัยสการ์เล็ตต์” อายะยิ้มจนตาหยี “มาถึงเมื่อเช้ามืดนี่เองจ๊ะ ตั้งใจจะย่องเข้าบ้านเงียบๆ แต่ได้ยินเสียงเธอนอนละเมอฉันเลยเข้ามาดู เธอนี่ลืมล็อกประตูอีกแล้วนะ”
“ขอโทษจ๊ะ” สการ์เล็ตต์ยิ้มบางๆ รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้างที่ไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว
“ฉันมีขนมมาฝากด้วย” หญิงสาวร่างเล็กพูดอย่างร่าเริงก่อนเปิดกระเป๋าเดินทางหยิบกล่องขนมที่ซุกในเสื้อผ้าออกมา แล้วหยิบกล่องชาออกมาด้วย “ที่นี่เราก็มีชาเขียวกินกับคุ้กกี้อร่อยๆ แล้ว”
“เธอเอาของพวกนี้ขึ้นเครื่องบินมาด้วยเหรอเนี่ย” สการ์เล็ตต์หัวเราะออกมา
“ก็ช่วยไม่ได้นี่จ๊ะ ฉันไม่ได้เป็นลูกสาวเศรษฐีนี่” หญิงสาวยิ้มทะเล้น “นี่เจ็ดโมงกว่าแล้ว ฉันว่าเธอลุกขึ้นมาเตรียมตัวเปิดร้านดีกว่า ฉันเอากระเป๋าเสื้อผ้าไปเหวี่ยงทิ้งในห้อง แล้วจะชงชาเขียวหอมๆ มาให้นะ”
“ขอบใจจ๊ะ”
สการ์เล็ตต์มองร่างเล็กๆ ของหญิงสาวชาวญี่ปุ่นเดินออกไปจากห้องนอนของเธอ เธอลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วยิ้มบางๆ ออกมา ซากุระอิ อายะเป็นผู้เช่าห้องว่างในตึกเก่าๆ หลังนี้ เมื่อสองปีก่อนหลังจากที่สูญเสียแม่ของตนไปนั้น เธอก็จมอยู่กับความสิ้นหวังจนลุงคูเป้ต้องพยายามเตือนสติให้เธอลุกขึ้นใช้ชีวิตต่อไป เธอเกือบจะต้องเข้ารับบำบัดทางจิตอยู่แล้ว แต่เพราะมองเห็นร้าน ‘Once’ ที่แม่สร้างขึ้นทิ้งไว้ให้พร้อมตึกหลังนี้ ซึ่งเป็นสมบัติที่มีค่าชิ้นที่สองของเธอ แม่รักร้านนี้มาก แม้ว่ามันเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย แต่ก็ยืนหยัดประกาศความเข้มแข็งมาได้ตลอดแปดปีที่แม่เปิดร้านนี้ขึ้นมา เธอสัญญากับแม่ว่าจะรักษาร้านนี้ให้ดีที่สุด จะไม่ให้สูญหายไปเหมือน ‘แหวนของพ่อ’ ที่เธอทำหายไปในคืนนั้น...
หญิงสาวถอนหายใจแรงๆ เธอไม่อยากจะคิดถึง “คืนนั้น” อีกแล้ว การคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้ยิ่งนำพามาซึ่งความเจ็บปวดหัวใจ
เธอลุกจากเตียงแล้วเดินเข้าไปชำระล้างทำความสะอาดร่างกาย รีบลงไปชั้นล่างซึ่งเป็นร้านขายสินค้าแฮนด์เมด มือเรียวหยิบไม้ปัดฝุ่นมาจัดการไล่ความสกปรกออกจากชั้นวางของและจัดแจงเรียงสินค้าให้เข้าที่ สองปีแล้วที่สการ์เล็ตต์เป็นเจ้าของร้าน ‘Once’ อย่างเต็มตัว ราวหนึ่งปีที่ผ่านมาเธอปรับปรุงจัดการร้านใหม่แม้ว่าจะเป็นตึกเก่าๆ สองชั้นซึ่งชั้นบนเป็นที่พักของเธอนั้น เธอทำความสะอาดห้องนอนของตนใหม่เอี่ยมย้ายข้าวของของเธอเองไปอยู่ในห้องของแม่
และข้าวของเครื่องใช้ของแม่ก็จัดการบริจาคไปเสียเกลี้ยงมีอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นที่มีไว้เพื่อระลึกถึง เธอแปะประกาศมีห้องว่างให้เช่าอยู่ราวเดือนเศษ แม้ว่าตลอดระยะเวลาจะมีผู้คนมาติดต่อขอเช่ามากมายนับสิบราย ทว่าเธอกลับไม่รู้สึกถูกชะตาต้องปฏิเสธไปหลายรายจนลุงคูเป้แอบแซวเข้าให้ว่าเธอนั้นแสนจะเรื่องมาก ทว่าในเย็นวันนั้นเองที่หญิงสาวร่างเล็กเจ้าของดวงตาเรียวสีดำสนิทพร้อมรอยยิ้มสดใสเคาะประตูกระจกภาษาอังกฤษแปร่งๆ หูของเธอถามถึงห้องพักที่ติดประกาศให้เช่า แม้ว่าจะเป็นชาวต่างชาติ ทว่ารอยยิ้มที่แสนจริงใจของอายะก็ทำให้สการ์เล็ตต์รีบเปิดประตูต้อนรับให้เข้าพักทันที
“มาแล้วจ้าชาร้อนๆ หอมด้วยนะ!”
“หอมจริงๆ ด้วย” สการ์เล็ตต์รับถ้วยชาที่อายะยื่นมาให้
“แน่นอนชาเขียวของแท้จากญี่ปุ่น เอาไว้ถ้าสการ์เล็ตต์ไปญี่ปุ่นนะ ฉันจะพาไปเก็บใบชา” อายะพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงพลอยทำให้บรรยากาศในร้านสดชื่นไปด้วย
“ไหนว่าจะกลับบ้านเดือนหนึ่งไง นี่แค่สามอาทิตย์เองไม่ใช่เหรอ”
“ก็แหม! ฉันไม่อยากถูกจับแต่งงานนี่ ฉันก็เลยรีบหนีมาหาเธอไง” อายะทำจมูกย่นอย่างน่ารัก “อีกอย่างฉันตั้งใจแล้วว่าจะต้องทำปริญญาโทให้สำเร็จในสามปี เพราะฉะนั้นฉันเกเรไม่ได้หรอก”
“คนเรียนเก่งอย่างอายะจังต้องทำได้อยู่แล้ว”
“เพราะมีเพื่อนดีอย่างเธอด้วยต่างหากละจ๊ะ ถ้าฉันไม่ได้ที่พักดีๆ ราคาถูกแถมเจ้าของบ้านใจดีอย่างเธอฉันต้องแย่แน่ๆ”
“ลอนดอนไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอกจ๊ะ”
“ก็แหม! เอาเป็นว่าเธอคือคนสำคัญที่สุดของฉันในลอนดอนนี่ก็แล้วกัน”
อายะหัวเราะร่า เธอช่วยสการ์เล็ตต์เปิดร้านเช่นทุกครั้ง เมื่อไหร่ก็ตามที่หญิงสาวว่างจะต้องมาช่วยเจ้าของร้านคนนี้เสมอ โดยไม่เคยเรียกร้องขอค่าแรงแต่อย่างใด ความจริงทั้งคู่กลับรู้สึกว่าความสัมพันธ์ที่เกิดจากความจริงใจนี้ เหมือนเพื่อนสนิทมากกว่ าผู้เช่าห้องและเจ้าของบ้านมากกว่า บ่อยครั้งที่สการ์เล็ตต์อดคิดไม่ได้ว่า อายะอาจเป็นของขวัญแทนความห่วงใยที่แม่ของเธอส่งมาให้ก็เป็นได้
“อายะไม่พักหน่อยเหรอ”
“ไม่เป็นไร นั่งเครื่องบินเฉยๆ ไม่ได้ใช้แรงอะไรมากมาย” อายะยักไหล่ แล้วจัดการช่วยเพื่อนสาวเปิดร้านอย่างสนุกสนาน “หรือเธออยากให้ฉันทำอะไรหรือเปล่าละ”
“ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากให้อายะจังช่วยดูหน้าร้านให้หน่อย ฉันจะไปเช็คสต็อกตุ๊กตาในร้านจ๊ะ”
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
“ไม่มีอะไร” สการ์เล็ตต์หัวเราะคิกคักที่เห็นสีหน้าเป็นห่วงของเพื่อน “ฉันโชคดีมีหนุ่มหล่อมาสั่งซื้อตุ๊กตาตั้งหนึ่งร้อยตัว”
“หนึ่งร้อยตัว!” อายะทำตาโตอย่างตกใจ “เป็นใครกันที่สั่งตุ๊กตาทำมือมากขนาดนั้นแล้วเชื่อใจได้แค่ไหนไม่ใช่มาหลอกเธอเหรอ”
“คงไม่มั้ง” สการ์เล็ตต์ยิ้มบางๆ “เขาเป็นหนุ่มอาหรับสูงราวๆ หกฟุตเจ็ดนิ้ว ใบหน้าคมเข้มแบบที่สาวๆ ต้องกรี๊ดแน่ๆ”
“ตายแล้ว! เธอไปหาผู้ชายหล่อๆ แบบนั้นได้ที่ไหน” อายะร้องกรี๊ดออกมาราวกับเจอดาราคนโปรด
“ฉันไมได้หานะ! เดินเข้ามาในร้านเองต่างหาก”
“พระเจ้า! อยู่ดีๆ ก็มีเทพบุตรเดินเข้ามาในร้านโทรมๆ นี่นะเหรอ”
“บ้าจริง! เธอว่าฉันเล็กๆ โทรมๆ เหรอ”
“เปล่า!” อายะส่ายหน้าไปมาจนผมสั้นประบ่าของเธอสะบัด “ฉันพูดวาโทรมๆ เท่านั้น”
สองสาวประสานเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน ราวกับชีวิตของสองสาวไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใจใดๆ เลย แม้ว่าทั้งคู่จะเก็บซ่อนความร้าวระบบในหัวใจอย่างมิดชิด ทว่ามิตรภาพในคำว่าเพื่อนทำให้ทั้งคู่ยังยิ้มและหัวเราะให้โชคชะตาของตนเองได้
“แต่เรื่องงานฉันพูดจริงนะ เค้าเชื่อถือได้หรือเปล่า” คราวนี้อายทำเสียงจริงจัง
“วันนั้นเราแลกนามบัตรกันละ แล้วทางเลขาฯของเขาโทรติดต่อมาแล้วด้วย แบรดไปติดต่อให้จ๊ะ”
“แบรด! ฉันว่าอีตานี่นั้นแหละตัวอันตราย”
“โธ่!อายะเธอมองแบรดในแง่ดีหน่อยไม่ได้เหรอ”
“เธอต่างหากที่มองอีตานี่ในแง่ดีเกินไป” อายะกอดอกทำหน้าขึงขัง “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอรักหมอนั่น!”
“แต่แบรดดีกับฉันมาก” สการ์เล็ตต์ลากเสียงยาวอย่างอ่อนใจ
“เธอทำตัวไม่มีทางเลือกเองต่างหาก” อายะยักไหล่ “ความรักก็คือความรัก ไม่ใช่แค่การเห็นใจหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ”
“ฉันรู้ว่าเธอเป็นห่วงฉัน...แต่ว่า...”
“อย่าทำเหมือนตัวเองไม่มีค่าซิสการ์เล็ตต์! เธอเป็นคนสวย ฉลาดแล้วก็นิสัยดี ต่อให้โลกนี้ไม่มีผู้ชายชื่อแบรดก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้เสียหน่อย เอาเถอะ! สักวันเธอจะเจอคนที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกลายเป็นกลองรบเลยละ!”
‘คนที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกลายเป็นกลองรบ!’
ใบหน้าหวานของสการ์เล็ตต์แดงระเรื่อขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวแต่ไม่พ้นสายตาคนช่างสังเกตอย่างอายะได้เลยสักนิด อายะเดินมาจ้องหน้าเพื่อนสาวแต่สการ์เล็ตต์ก็เอี้ยวตัวหลบไปมาจนอายะใช้มือเล็กๆ ของเธอประคองหน้าของเพื่อนสาวให้อยู่นิ่งๆ
“ให้ตายเถอะ! ฉันพลาดอะไรไปหรือเปล่าเนี่ย” อายะยิ้มกว้างออกมา “ใครกันนะที่ทำให้เพื่อนสาวน้ำแข็งของฉันหน้าแดงขนาดนี้!”
“ไม่มีอะไรนี่” สการ์เล็ตต์แกะมือของอายะออก แล้วหมุนตัวเดินไปนับจำนวนตุ๊กตาที่จะนำไปส่งลูกค้ารายใหญ่ แต่เหมือนนับไปนับมาก็ไม่พ้นเลขสิบสักที!
“ไม่เป็นไร ฉันรอให้เธอมาสารภาพได้” อายะหัวเราะเสียงใส “วันนี้ฉันจะอยู่ร้านให้เอง เธอจะไปทางไหนก็ไปเถอะ”
“รู้ได้ไงว่าฉันจะออกไปไหนน่ะ” สการ์เล็ตต์หันขวับอย่างตกใจ “เธอมีกระแสจิตอ่านใจคนออกเหรอไง”
“โธ่! คนที่เก็บอะไรไม่มิดอย่างเธอนะดูยากที่ไหน” อายะหยักไหล่ “พวกงานศิลปะอย่างนี้นะเธอออกไปนั่งทำข้างนอกก็ดีแล้ว...ไปเถอะฉันจะรอเจอลูกค้าหล่อๆ ในร้านเอง”
“ขอบใจจ๊ะอายะจัง”
สการ์เล็ตต์เข้าไปกอดเพื่อนแน่นๆ แล้วยิ้มเขินออกมา เธอไม่เคยเก็บความรู้สึกของตัวเองได้มิดจริงๆ นั้นแหละ หญิงสาวจัดการนับตุ๊กตาในร้านและจดบันทึกเรียบร้อยแล้วจึงเดินไปหยิบสมุดสเกตภาพเดินไปที่ริมแม่น้ำเทมส์
แม้การเดินทางไปที่นั้นจะนำพามาซึ่งความปวดร้าวในหัวใจและอาจนำพาฝันร้ายมาให้ ทว่ามันก็คุ้มคาน่าเสี่ยงเพราะเธออาจจะได้พบสิ่งที่หัวใจตามหา
สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตที่หล่นหายไปเมื่อสองปีก่อนก็เป็นได้.