"ท่านย่า ๆ หนีเร็ว! " มี่อิงวิ่งหน้าตั้งพลางฉุดแขนของจางเยาเยาวิ่งหนีไปกับนางด้วย
"ดะ เดี๋ยวก่อน" เหตุการณ์ทุกอย่างรวดเร็วฉับพลัน จางเยาเยามึนงงและสงสัยในใจว่า เหตุใดหลานของนางถึงฉุดนางวิ่งออกมาเช่นนี้ แต่ยังคงสาวเท้าวิ่งไปต่ออย่างทุลักทุเล
วิ่งไปได้ครู่หนึ่ง จางเยาเยาก็เหนื่อยหอบ รู้สึกเหมือนสังขารจะไม่ไหว "ขะ ข้าไม่ไหวแล้ว....นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่"
"อดทนอีกนิดนะท่านย่า ตรงข้างหน้านั้นมีที่ซ่อนตัวอยู่ มันตามตัวเราไม่ทันแน่ ๆ " มี่อิงเอ่ยพลางเร่งฝีเท้าก้าวฉับให้เร็วขึ้น โดยไม่หันหน้ากลับไปมองด้านหลังเลยแม้แต่น้อย
จนในที่สุด สายตาอันคมกริบของนางก็มองไปเห็นถังไม้ขนาดใหญ่ตั้งวางเรียงรายอยู่ในซอกมุมหนึ่งของตลาด
"ท่านย่าเราไปหลบตรงนั้นกันเถิด" มี่อิงไม่รีรอที่จะดึงแขนของหญิงชราเข้าไปหลบด้านหลังถังไม้เหล่านั้น
จางเยาเยาทิ้งก้นลงพื้น พิงหลังกับถังไม้ นั่งหอบหายใจถี่ อ้าปากพะงาบพยายามสูดอากาศภายนอกเข้าไปเต็มปอดให้มากที่สุด
มี่อิงนั่งลงข้าง ๆ ใช้มือบีบนวดแขนและของหญิงชราสลับกันไปให้คลายความปวดเมื่อน "ท่านย่า...ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือไม่"
"เจ้าจะเล่าให้ข้าฟังได้หรือยัง...ว่าไฉนถึงฉุดกระชากลากข้าวิ่งพามาหลบซ่อนอยู่ที่นี่"
"ก็ท่านย่านั่นแหละ เราทั้งคู่เกือบจะโดนจับขังคุกกันอยู่แล้วไหมล่ะ"
"เจ้าหมายความว่าอย่างไร" จางเยาขมวดคิ้วถาม
"จะหมายความว่าอย่างไรได้ ก็คนที่เข้ามาดูดวงกับข้า เป็นเจ้าหน้าที่ทางการปลอมตัวมาจับพวกเราน่ะสิ"
"เจ้าว่าอย่างไรนะ! " จางเยาเยาตะลึงงัน เผยอปากขึ้นด้วยความตกใจ นางรู้สึกเสียวสันหลังวาบ จนขนอ่อนตั้งชันไปทั่วแขน เกือบไปแล้ว...เกือบไปแล้วจริง ๆ
"ชายผู้นั้นบอกข้าว่า มีชาวบ้านไปฟ้องร้องต่อศาลว่าโดนพวกเราหลอกลวงเงิน"
"ไอหยา...ไม่ได้แล้ว อยู่ไม่ได้แล้ว" จางเยาเยามีท่าทีลนลาน กระวนกระวายอยู่ไม่เป็นสุข
"ท่านย่าใจเย็นลงก่อนเถิด ตอนนี้อยู่ที่นั่นไม่ได้ หากกลับไปอีกมีหวังโดนจับตัวเป็นแน่ แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะย่ำแย่ไปเสียหมด" มี่อิงเชิดหน้าชูคอ นัยน์ตาสีอำพันเปล่งประกายแวววับ
"เจ้ามีหนทางอะไรกันแน่"
"ท่านย่า...เบี้ยที่ข้าฝากท่านย่าไว้ มากพอที่จะพาเราไปอยู่ในที่ใหม่ ๆ ที่ดีกว่านี้ ท่านย่าลืมไปแล้วหรือ"
"จริงด้วย" จางเยาเยายิ้มกว้างอย่างมีความหวัง ก่อนที่จะใช้มือล้วงเข้าไปหยิบถุงเงินที่เก็บซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อชั้นในออกมาเชยชม
แต่…ถุงเงินเจ้ากรรมไม่อยู่ในกระเป๋านางแล้วน่ะสิ!
หญิงชราน่าฝืดเฝื่อน นิ่งเงียบไปชั่วขณะ นางยังคงควานหาถุงเงินอยู่ แต่ก็ต้องผิดหวังอีกครา เพราะในกระเป๋าเสื้อของนางยามนี้มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีถุงเงินที่หลานสาวได้มอบให้อยู่แล้วจริง ๆ
มี่อิงเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของจางเยาเยาที่เปลี่ยนไป นางจึงเอ่ยถามขึ้น "ท่านย่า...เป็นอะไรไปอย่างนั้นหรือ"
"เอ่อ...คือ...ข้า"
"มีอะไรหรือท่านย่า" มี่อิงเอ่ยคาดคั้น ในใจนั้นหวาดหวั่น เกิดความรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีแปลกประหลาด
จางเยาเยาเม้มปากแน่น เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลท่วมศีรษะ
"ถุงเงิน! เกิดอะไรกับถุงเงินใช่หรือไม่"
หญิงชราปิดตาแน่นสนิท ผงกศีรษะเนิบช้า ยอมรับความจริงด้วยความรู้สึกเสียใจ นางพยายามจับต้นชนปลายหาสาเหตุว่าถุงเงินนั้นหายไปตั้งแต่เมื่อใด แต่ด้วยอายุและร่างกายที่ชรามากแล้ว ทำให้ในหัวสมองนางจดจำสิ่งใดไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
มี่อิงถอนหายใจเฮือกยาว เผยสีหน้าเศร้าสร้อย อยากให้สิ่งที่รับรู้เป็นแค่ฝันไปเท่านั้น
ใจที่ห่อเหี่ยวก่อเกิดความรู้สึกโศกเศร้าเสียมากกว่าความโกรธ นางใช้เวลาหลายปีในการเก็บเบี้ยจำนวนนี้มาอย่างทรหด หลังเสร็จงานที่สำนักดูดวงแล้ว นางมักจะออกไปทำงานอื่นเสริม ค่อย ๆ เก็บเล็กผสมน้อยอย่างเงียบ ๆ เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งนางจะพาย่าของนางออกจากวังวนนี้และได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่นั่นมันก็จบลงแล้ว...
ยามนี้ไม่มีที่พักอาศัย ไม่มีแม้กระทั่งเบี้ยติดตัว สมควรแล้วหรือที่ชีวิตของหญิงสาวกับอีกหนึ่งหญิงชราต้องมาตกระกำลำบากเช่นนี้ นี่ข้ากับท่านย่าทำอะไรผิดร้ายแรงอันใดกัน? ไฉนสวรรค์ถึงดลบันดาลให้ข้าต้องมามีโชคชะตาอันน่าเลวร้ายเช่นนี้
"มี่อิง...ข้าขอโทษ ข้าจำไม่ได้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับถุงเงินของเจ้า" จางเยาเยาเอ่ยเสียงสลด
มี่อิงจ้องมองใบหน้าของจางเยาเยา พลางเอ่ยเสียงอ่อนนุ่ม "ท่านย่าอย่าขอโทษข้าเลย ยามนี้แค่ท่านย่าปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว เรามีกันอยู่แค่สองคนเท่านั้น ข้าไม่ได้โกรธท่านย่าเลย"
ม่านตาของจางเยาเยาน้ำตารื้นชื้น จุกแน่นในอกเมื่อได้ยินเช่นนั้น "เจ้าไม่โกรธข้าจริง ๆ งั้นหรือ"
"ท่านย่าจำความรู้สึกตอนที่เราเปิดสำนักดูดวงได้หรือไม่ แม้ว่าชีวิตจะมืดมนไร้หนทางเพียงใด เราทั้งสองก็เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ" มี่อิงเอ่ยปลอบประโลมไม่ให้ย่าของนางต้องเสียใจ แต่ดวงตาของนางนั้นกลับหยุดยั้งน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
มี่อิงแหงนใบหน้านวลกระจ่างดุจหยกมองท้องฟ้าสีคราม บนดวงหน้านั้นเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่ไหลหลากออกมาดุจไข่มุกที่ไหลหลุดออกจากเส้น ร่างอันบอบบางเอนพิงถังไม้ร่ำไห้ออกมาด้วยความหดหู่
ที่ศาลากลางน้ำ คฤหาสน์สกุลโจว ยามเซิน
แสงอาทิตย์อ่อนจาง เหมยฮวาสีชมพูอ่อนผลัดดอก ปลิวว่อนท่ามกลางลมบูรพาที่พัดเอื่อยเฉื่อย
เสียงสวรรค์จากกู่ฉินใสก้อง บุรุษรูปงามผู้มีดวงหน้าดุจสวรรค์ประทาน เรือนผมสีดำขลับปลิวสยาย นั่งบรรจงใช้นิ้วเรียวยาวดีดสายพิณร่ายเพลงรักเจือความเศร้าหมอง
บุรุษผู้นั้นคือ โจวเฟิ่งเจี๋ย คุณชายใหญ่แห่งสกุลโจว ผู้มีใบหน้าคมคายรับกับคิ้วหนาเข้ม ทว่าดวงตาของเขากลับถูกคาดปิดด้วยผ้าฝ้ายสีขาวผืนบาง หาใช่เป็นการทดสอบความเก่งกาจทางด้านดนตรี ทว่าดวงตาของเขาไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้ต่างหาก
เฟิ่งเจี๋ยได้รับการแต่งตั้งเป็นเลี่ยโหว เป็นชายหนุ่มผู้มีความสามารถทางทหารเป็นที่ประจักษ์ นำทัพกองทหารม้าออกไปสู้รบจนได้รับชัยชนะหลายครั้ง จนได้รับความดีความชอบจากองค์จักรพรรดิคนปัจจุบันแห่งแคว้นต้าหมิงเป็นอย่างมาก
แต่ด้วยดวงชะตาฟ้าลิขิตให้ชายหนุ่มมีชะตากรรมอันน่าโหดร้ายเหมือนดั่งตายทั้งเป็น ยามนี้เขาไม่อาจนำทัพออกไปต่อสู้ได้อีกแล้ว เพราะดวงตาของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง แต่กระนั้นจักรพรรดิต้าหมิงยังคงยศเลี่ยโหวให้แก่เฟิ่งเจี๋ยอยู่
"นี่ ๆ เจ้าดูคุณชายตาบอดสิ! ไฉนถึงได้เก่งกาจนัก ดีดพิณได้แม้กระทั่งมองไม่เห็น คุณชายเป็นเทพมาจุติหรือไร" สาวใช้หน้าเล็ก..ยั่วถง เอ่ยขึ้นพลางจ้องมองเฟิ่งเจี้ยตาไม่กะพริบจากมุมหนึ่งของทางเดินยาวหน้าเรือนจ้วนสือ
"จริงด้วย แต่มานึก ๆ ดูแล้ว คุณชายน่าสงสารนัก จู่ ๆ ก็มากลายเป็นคนตาบอดไปเสียอย่างนั้น" สาวใช้..อิ้งหง เอ่ยตอบพลางส่ายศีรษะเบา ๆ
"ก่อนหน้านี้คุณชายคงใบหน้าหล่อเหลามากกระมัง ขนาดมีผ้าปิดตาเอาไว้อยู่ ยังน่าหลงใหลเช่นนี้"
อิ้งหงนึกคิดตาม พลางเอ่ย "ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด ในแคว้นต้าหมิง ข้าไม่เคยเห็นบุรุษผู้ใดรูปงามและเก่งกาจเท่าคุณชายอีกแล้ว"
"คุณชายเกิดมาร่ำรวย ถึงจะตาบอด หูหนวก เป็นใบ้หรือต่อให้หน้าตาอัปลักษณ์ก็ยังดูน่าสนใจกว่าคนยากจนมีที่ใบหล่อเหลากว่าอยู่ดี"
"เจ้าพูดอะไรน่ะ! ระวังคำพูดของเจ้าเอาไว้ด้วย เจ้าพูดจาล่วงล้ำคุณชายเกินไปแล้ว"
"ข้าพูดความจริงทั้งสิ้น เจ้าน่ะ! หัดอยู่บนโลกแห่งความจริงเสียบ้าง ไม่ใช่เอาแต่เพ้อฝันไปวัน ๆ "
อิ้งหงมีสีหน้าบูดบึ้งที่อยู่ดี ๆ ก็มาโดนต่อว่าเสียอย่างนั้น นางถอนหายใจฮึดฮัด เอ่ยทิ้งท้าย ก่อนที่จะเดินจากไป "ข้าไม่อยากคุยกับเจ้าแล้ว"
ยั่วถงหรี่ตามองอิ้งหงอย่างไม่แยแส หันกลับมามองเฟิ่งเจี๋ยด้วยแววตาเป็นประกาย ใช้มือจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง ไม่รีรอที่จะเดินถือถาดขนมหวานมุ่งหน้าเข้าไปหาชายหนุ่มที่ศาลากลางน้ำ
ประสาทสัมผัสทางการได้ยินของเฟิ่งเจี๋ยเปิดตั้งรับ ไม่ว่าผู้ใดที่เข้าใกล้เขาย่อมรู้ได้โดยสัญชาตญาณ มือขาวกระจ่างที่ดีดพิณอยู่หยุดชะงักและเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "เจ้าเป็นใคร"
บ่าวสาวสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเอ่ยตอบกลับไปด้วยเสียงอ่อนหวาน "ยั่วถงเองเจ้าค่ะคุณชาย"
"ยั่วถง…" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยย้ำพลางครุ่นคิดตาม แต่ก็ยังนึกใบหน้าไม่ออก
"ยั่วถงเป็นบ่าวรับใช้อยู่เรือนตะวันออก ก่อนหน้านี้เคยติดตามรับใช้ฮูหยินเจ้าค่ะ"
"เจ้ามีอะไรกับข้า ไฉนถึงเข้ามาหาข้าไม่ให้ซุ่มให้เสียง"
"ยั่วถงแค่จะเอาขนมเล่าปิ่งมาให้คุณชายเจ้าค่ะ"
เฟิ่งเจี๋ยนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยเสียงสั้นห้วน "วางเอาไว้"
"เจ้าค่ะ" ยั่วถงเอ่ยตอบรับเสียงนุ่มนวล
สุ้มเสียงของนางใสกระจ่างอ่อนหวานชวนให้จินตนาการถึงหญิงสาวผู้มีรูปโฉมงามกิริยาอ่อนช้อย ทว่าสีหน้าจริง ๆ ของนางยามนี้กลับแฝงไปด้วยความโกรธเคืองฉายออกมาผ่านทางแววตาที่จ้องเขม็ง ในใจเอาแต่กร่นด่าไม่อยู่
น่าหงุดหงิดนัก! คิดว่าเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์หรืออย่างไร ดวงตาก็มืดบอดน่าเวทนา เหตุใดถึงได้ทะนงตัวนัก เพียงเพราะมองไม่เห็นใบหน้าจริง ๆ ของข้า ก็เลยตัดสินตัวข้าไปแล้วงั้นหรือ?
สิ้นสุดความคิด บ่าวสาวก็แสร้งทำเป็นแข้งขาอ่อนระทวย ล้มทับลงบนร่างของเฟิ่งเจี๋ยที่นั่งอยู่อย่างตั้งใจ "ยะ ยั่วถงขอโทษเจ้าค่ะ"
ไร้ปฏิกิริยาใดตอบกลับจากเฟิ่งเจี๋ย
ยั่วถงแสยะยิ้มออกมาด้วยความลำพองใจ สุดท้ายแล้วบุรุษผู้ใด ย่อมพ่ายต่อมารยาของสตรีงามเสียทั้งสิ้น
"น่ารังเกียจ! " เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยเสียงเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งที่ทิ่มแทงทะลุหัวใจ พลันใช้มืออันแข็งแกร่งทั้งสองข้างผลักร่างบอบบางของยั่วถงพุ่งถลาไปข้างหน้าล้มลงกับพื้นไม้อย่างน่าอนาถ "เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำตัวน่ารังเกียจใส่ข้า! "
เมื่อรู้ว่าเฟิ่งเจี๋ยไม่คล้อยตาม บ่าวสาวก็รีบคลานเข่ากล่าวขอโทษอย่างร้อนรนใจ "ยั่วถงผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ให้อภัยยั่วถงด้วยนะเจ้าคะ"
"จวงมามา!! " เฟิ่งเจี๋ยตะโกนเรียกหาบ่าวใช้อาวุโสเสียงลั่นสะท้อนทั่วทั้งบริเวณ
เพียงไม่นาน จวงมามา ก็วิ่งกุลีกุจอเข้ามาหาเฟิ่งเจี๋ยเร็วไว เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก "มีอะไรหรือเจ้าคะคุณชาย เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ"
"บ่าวใช้ผู้นี้เป็นใคร" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยถามเสียงเข้มทุ้มแฝงโทสะ
สิ้นเสียง จวงมามาก็หันศีรษะไปมอง แล้วก็พบกับ ยั่วถง บ่าวใช้ในจวนที่กำลังนั่งเก็บส้นเท้า ส่งสายตาเป็นประกายวิงวอนขอความช่วยเหลืออยู่
ยั่งถงเป็นสาวใช้ที่จวงมามารับเข้ามาเองกับมือ กว่าที่จะรับคนเข้ามาดูแลปรนนิบัติรับใช้นายท่านในจวนสกุลโจวไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องมองให้ทะลุปรุโปร่ง รู้พื้นเพและภูมิหลังว่าขาวสะอาดจริงหรือไม่ แต่เหตุใดคุณชายถึงโกรธเช่นนี้ สัญชาตญาณของข้าใช้การไม่ได้แล้วงั้นหรือ?
"นางชื่อยั่วถงเจ้าค่ะ" จวงมามาเอ่ยตอบเสียงตะกุกตะกัก
"นางมีหน้าที่อันใดในจวน"
เหงื่อเม็ดใหญ่ค่อย ๆ ไหลลงมาตามแนวแก้ม เสียงเข้มดุของคุณชายโจว ทำเอาจวงมามารู้สึกเหมือนกับว่านางกำลังโดนสืบสวนอย่างไรอย่างนั้น
"ตะ ตอนนี้นางดูแลทำความสะอาดเรือนตะวันออกเจ้าค่ะ แต่นางเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่วันเอง อาจทำสิ่งใดพลาดพลั้งไปโดยไม่ระวัง ขอคุณชายได้โปรดเมตตานางด้วยเจ้าค่ะ"
"มาทำงานได้ไม่กี่วัน แล้วจะเคยดูแลท่านพ่อ ท่านแม่ได้อย่างไร"
จวงมามาก็หันไปมองสาวใช้ด้วยแววตาสงสัย เริ่มรู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลก ๆ "นี่เจ้าพูดกับคุณชายไปอย่างนั้นหรือ"
ยั่วถงก้มศีรษะหลุบตามองต่ำ นางไม่อาจหาข้ออ้างอันใดได้เลย ยามนี้แม้แต่จวงมามาก็ช่วยนางไม่ได้
"ยั่วถงผิดไปแล้วเจ้าค่ะ คุณชายได้โปรดเมตตายั่วถงด้วย" ยั่วถงน้ำตาคลอหน่วย ม่านตาเรื่อแดง เอ่ยอ้อนวอนเสียงสะอื้น
แต่กระนั้นก็ไม่อาจลดโทสะในจิตใจของเฟิ่งเจี๋ยได้เลยแม้แต่น้อย "จวงมามา…"
"เจ้าคะคุณชาย"
"ไล่นางออกไปจากจวนข้า" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยเสียงเรียบนิ่งดุจสายน้ำ แต่ทว่าความหมายร้ายแรงดุจอาวุธพิฆาต
จวงมามาตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยตอบรับและหันไปสั่งการเรียกบ่าวชายบริเวณนั้นให้จับตัวยั่วถงโยนออกไปจากจวน
บ่าวชายสองคนก้มหน้ารับคำสั่ง เดินไปลากตัวของยั่วถงออกไปนอกจวนตามคำสั่ง
ยั่วถงกรีดร้องเสียงลั่น สะบัดตัวดิ้นให้หลุดจากการควบคุม "ปล่อยข้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! คุณชายเจ้าคะ ไฉนถึงลงโทษบ่าวรุนแรงเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ...คุณชาย! คุณชายย ย! "
เสียงเล็กแหลมโวยวายก้องสะท้อนดังและค่อย ๆ ห่างหายไป จวงมามามองยั่วถงถูกลากตัวออกไปจนลับตา ก่อนที่จะดึงสายตากลับมาเอ่ยขอโทษเฟิ่งเจี๋ยที่ยืนนิ่งสนิทอีกครั้ง "ขอโทษเจ้าค่ะคุณชาย ต่อไปบ่าวจะไม่ให้เกิดเรื่องนี้อีกเจ้าค่ะ"
"จวนแห่งนี้มีกฎที่เคร่งครัดประพฤติปฏิบัติมาอย่างยาวนาน การกระทำของบ่าวใช้ผู้นี้ไม่บริสุทธิ์ ท่านไม่สังเกตเห็นบ้างเลยหรือ"
คำพูดของเฟิ่งเจี๋ยเสมือนเข็มแหลมทิ่มแทงจิตใจจนร้าวระบม นางรู้ดีว่า...การทำให้คุณชายโจวโกรธเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ แม้ว่าก่อนหน้านี้คุณชายจะเป็นคนจิตใจอ่อนโยน ไม่เคยเอ่ยลงโทษผู้ใด ทว่ายามนี้คุณชายได้เปลี่ยนเป็นคนละคนไปเสียแล้ว " เรื่องนี้บ่าวผิดอย่างไม่มีข้อกังขา ให้ชดใช้อย่างไร บ่าวก็ยอมเจ้าค่ะ"
"ขอเพียงจวงมามาเป็นหูเป็นตาให้ข้าก็เพียงพอ ขอจงอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกเลย"
"เจ้าค่ะคุณชาย" จวงมามาตอบรับคำ ด้วยใบหน้าสลด
คำศัพท์เพิ่มเติมเพื่ออรรถรสในการอ่าน:
มามา: คือคำที่ใช้เรียกบ่าวใช้อาวุโส
กู่ฉิน: พิณจีนโบราณ 7 สาย
ยามเซิน: ช่วงเวลา 15.00-16.59 น.