ตอนที่ 14 : ความเจ็บปวดที่ยากจะลบเลือน

2779 คำ
  เปลวเพลิงดวงใหญ่สีแดงฉานสว่างวาบ ลุกโชนเรือนเยว่สือแห่งจวนสกุลโจวมอดไหม้ประหนึ่งทะเลไฟกำลังโกรธเกรี้ยว ท่ามกลางควันดำที่ลอยโขมงอยู่เต็มอากาศ บ่าวรับใช้ต่างพากันวิ่งชุลมุนตักน้ำมาสาดราดกองไฟที่กำลังเดือดดาลให้ดับมอดลงด้วยความหวัง   'ท่านพ่อ!!! ...ท่านแม่!!! ' เฟิ่งเจี๋ยตะโกนเสียงเรียกบิดามารดาที่ติดอยู่ด้านในเรือนด้วยหัวใจที่แตกสลาย ในยามนี้ เขายอมสละทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตของตัวเอง ขอเพียงบิดามารดารอดมีชีวิตออกมาเท่านั้นก็เพียงพอ เขาใช้มือถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก และตั้งท่าเตรียมจะวิ่งเข้าไปช่วย แต่ก็มีมือ มือหนึ่งยื่นมารั้งแขนเอาไว้ก่อน 'คุณชายอย่าเข้าไปเลยนะเจ้าคะ ข้างในนั้นอันตรายมากเลยนะเจ้าคะ' จวงมามาคว้าแขนของเฟิ่งเจี๋ยดึงรั้งเอาไว้ หยาดน้ำใสไหลทะลักออกมาจากเบ้าตา ในใจหวาดกลัวว่า หากคุณชายเข้าไปในกองไฟที่สูงชันเช่นนั้น อาจจะไม่มีชีวิตรอดออกมาก็เป็นได้ 'จวงมามาปล่อยข้า! ' เฟิ่งเจี๋ยหันไปตะคอกใส่ 'ท่านจะปล่อยให้ท่านพ่อ ท่านแม่ข้าตายไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ' เอ่ยจบ ชายหนุ่มก็สะบัดตัวออก หันหน้า รีบสาวเท้าก้าวเดินเข้าไปในดงไฟที่ร้อนระอุด้วยแววตามุ่งมั่นไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ครั้นเมื่อไปถึงด้านใน ดวงตาสีดำเข้มก็กวาดมองหาฮูหยินและนายใหญ่ทั่วทั้งบริเวณ ท่ามกลางเปลวเพลิงที่พร้อมจะแผดเผาทุกอย่างให้สลายกลายเป็นจุณ ควันไหม้ดำรบกวนระบบประสาทสัมผัสทำให้แสบตาและเคืองจมูก เป็นอุปสรรคต่อการค้นหายิ่งนัก แต่ทว่าในใจยังคงไม่สิ้นหวัง เฟิ่งเจี๋ยยกมืออันแข็งแกร่งปิดจมูกแน่น ในขณะที่ปากยังคงส่งเสียงร้องตะโกนตามหาบิดามารดาไม่หยุด 'ท่านพ่อ...ท่านแม่ พวกท่านอยู่ที่ไหน'   ทันใดนั้นเอง สายตาอันคมกริบของเฟิ่งเจี๋ยก็พลันมองไปเห็นร่างของฮูหยินและนายใหญ่โจวกำลังนอนสลบแน่นิ่งอยู่บนพื้นพร้อมกับเปลวไฟที่กำลังลุกโชนแผดเผาร่างพวกเขาอยู่ 'ท่านพ่อ!!! ' 'ท่านแม่!!! ' . . . เฮือกกก ก !!! เฟิ่งเจี๋ยหลุดออกจากห้วงแห่งความฝันสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยอาการหอบเหนื่อย เหงื่อกาฬผุดซึมไปทั้งดวงหน้า นี่ข้า...ฝันอีกแล้วงั้นหรือ? ภาพในความฝันเปรียบเสมือนรอยแผลที่ฝังอยู่ในเบื้องลึกของจิตใจ หากต้องเมื่อไหร่ ใจพลันปวดร้าวและทุกข์ระทมในยามนั้น เป็นเพราะข้าที่เข้าไปช่วยไม่ทัน พวกท่านถึงต้องมาจากข้าไปเช่นนี้ ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอโทษ...   "คุณชาย...คุณชายฝันร้ายหรือเจ้าคะ” มี่อิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าวิตกกังวล มือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นว่าคุณชายโจวนอนหายใจเหนื่อยหอบอยู่ครู่หนึ่งแล้ว เฟิ่งเจี๋ยหลุดจากภวังค์ ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง มี่อิงเห็นเช่นนั้นก็ไม่รีรอที่จะเข้าไปประคองตัวช่วยทันที "เจ้าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วตอนนี้ยามไหนแล้ว ข้าตื่นมาตอนยังไม่รุ่งสางใช่หรือไม่" "ผิดเจ้าค่ะ ยามนี้เป็นยามซื่อ เป็นเวลาที่คุณชายจะต้องตื่นมาทานอาหารแล้วเจ้าค่ะ” "งั้นหรือ…" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยเสียงแผ่ว ในขณะนั้นเอง สายตาของมี่อิงก็พลันเหลือบไปเห็นโลหิตสีแดงผุดซึมทะลุออกมาจากเสื้อคลุมสีขาวตัวนอกของเฟิ่งเจี๋ย ด้วยความสงสัย นางจึงเผลอไผลเลื่อนมือเข้าไปเปิดเสื้อคลุมของเขาแหวกกว้างออกเพื่อให้เห็นชัดขึ้น เฟิ่งเจี๋ยเมื่อรู้ตัวว่าเสื้อกำลังจะถูกเปิดออก เขาจึงรีบโพล่งเอ่ยถามขึ้นทันใด "เจ้ากำลังจะทำอะไร! " น้ำเสียงเข้มดุของเฟิ่งเจี๋ยทำให้มี่อิงสะดุ้งโหยงและชักมือกลับโดยไว "มี่อิงเห็นคราบเลือดติดอยู่ตรงเสื้อของคุณชายเจ้าค่ะ มี่อิงก็เลย…." "จะถอดเสื้อลวนลามข้า" มี่อิงเบิกตาหันมองเฟิ่งเจี๋ยด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ คุณชายมีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร ข้านะหรือ...จะลวนลามท่าน? “ยามนี้เจ้าคงทำหน้าไม่ถูกอยู่ใช่หรือไม่ คงแปลกใจ...ว่าเหตุใดข้าถึงรู้ความคิดเจ้า” มี่อิงยื่นปากเอ่ย “โธ่...คุณชาย มี่อิงจะไปลวนลามคุณชายทำไมกันเจ้าคะ" เฟิ่งเจี๋ยระบายยิ้มเบาบาง เขาเลื่อนมือไปสัมผัสที่แผลตรงแผงอกเบา ๆ ความรู้สึกเจ็บทำใบหน้าอันคมคายยับย่นเล็กน้อย "ช่างเถิด! เจ้าเอายามาทาให้ข้าหน่อยก็แล้วกัน" "เจ้าค่ะคุณชาย" มี่อิงค้อมศรีษะรับคำ หันตัวออกไปหยิบล่วมยาและเดินเข้ามาในเรือนภายในเวลาไม่นาน... เมื่อมี่อิงกลับมาในเรือน ก็เห็นว่าเฟิ่งเจี๋ยในยามนี้ ย้ายกายจากบนเตียงนอนมานั่งอยู่บนตั่งนุ่มสีทองเรียบร้อยแล้ว มี่อิงเดินเข้าไปนั่งทับส้นเท้าข้าง ๆ เฟิ่งเจี๋ยและใช้มือถอดชุดคลุมของเขาออกช้า ๆ ทว่าผ้ายังไม่ทันหลุดออกจากกาย เฟิ่งเจี๋ยก็จับมือของนางยั้งเอาไว้ก่อน มี่อิงจ้องมองด้วยความแปลกใจ พลางเอ่ยถาม "มีอะไรหรือเจ้าคะคุณชาย" "แผลข้าบอบบางนัก เจ้าใส่ยาที่แผลของข้าเบา ๆ เข้าใจหรือไม่" “ขะ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะคุณชาย” แต่ถึงกระนั้น ฝ่ามืออันแข็งแกร่งของเฟิ่งเจี๋ยก็ยังคงจับมือขาวนุ่มของนางอยู่ไม่ปล่อย “มี่อิงเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ คุณชายปล่อยมือมี่อิงก่อนนะเจ้าคะ” ทันทีที่มี่อิงเอ่ยย้ำ เฟิ่งเจี๋ยก็เม้มปากแน่นด้วยท่าทางประหม่าและผละมือปล่อยออก หลังจากนั้น มี่อิงก็รีบใช้มือถอดเสื้อคลุมของคุณชายโจวลงมากองกับพื้นและเพ่งสายตามองไปที่บาดแผลบนเรือนกายของเขาอย่างใจจดใจจ่อ บนแผงอกอันขาวนวลของคุณชายโจว มีรอยบากลึกลากยาวมาจนถึงกลางอก ขอบแผลถึงแม้จะแห้งกรัง ทว่าตรงกลางรอยแผลนั้นยังคงมีโลหิตสีสดไหลซึมอยู่ แวบแรกที่มี่อิงเห็น นางก็รู้ได้ในทันทีว่า แผลนั้นเป็นแผลที่เกิดจากการบาดของสิ่งแหลมคมและคงจะเป็นแผลที่เกิดขึ้นภายในสิบสองชั่วยามเป็นแน่ แต่จะเป็นไปได้อย่างไร? ในเมื่อคุณชายก็ไม่ได้ออกไปไหน อยู่แต่ในเรือนแห่งนี้แทบจะทั้งวัน มิหนำซ้ำในเรือนแห่งนี้...จวงมามาก็เอาของแหลมคมออกไปทิ้งเสียจนหมด เพราะเกรงว่าวันหนึ่งคุณชายอาจจะคิดสั้นขึ้นมา หรือว่า...คุณชายจะแอบเดินออกไปข้างนอกกันนะ? ยิ่งเป็นคนที่คาดไม่ถึงเสียด้วย แต่หากคุณชายทำเช่นนั้น ก็คงไม่รอดพ้นสายตาของจวงมามาเป็นแน่! คำถามยุ่งเหยิงที่อยู่ในจิตใจมากมายเสียจนอยากที่จะเอ่ยถามออกไป แต่สุดท้ายก็จำต้องกลืนกินมันลงคอไปดังเดิม เพราะเกรงว่าจะไม่สมควร มี่อิงหยิบยาออกมาจากล่วมยา เปิดฝาและเทผงยาลงไปบนแผลอย่างเบามือ พลางเอ่ยถาม "ไฉนคุณชายถึงไม่รีบมาทำแผลเจ้าคะ" "ข้าลืม" เฟิ่งเจี๋ยตอบเรียบ ๆ มี่อิงขมวดคิ้วแน่นพลางคิดในใจ ลืม? ลืมได้อย่างไรกัน! "แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ถามข้า...ว่าข้าเป็นแผลเช่นนี้ได้อย่างไร" มี่อิงช้อนตามองใบหน้าเฟิ่งเจี๋ยอย่างช้า ๆ พลางเอ่ยตอบ "ไม่ถามเจ้าค่ะ" "เพราะเหตุใด...ข้าเห็นเจ้าอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง" มี่อิงเพ่งสายตานึกคิดและเอ่ยช้าๆ "ก็...มี่อิงไม่รู้ว่ายามนี้คุณชายกำลังคิดเช่นไรอยู่ คุณชายอาจจะอยากบอก รอให้ถาม หรือไม่ก็ไม่อยากบอก หากเป็นคนทั่วไป มี่อิงก็จะมองแล้ววิเคราะห์ได้จากแววตา แต่กับคุณชายแล้ว มี่อิงมองเท่าไหร่ก็อาจไม่รับรู้ความคิดได้ อย่างไรเสีย..หากคุณชายเคร่งเครียดเรื่องใด อย่าเก็บไว้เพียงผู้เดียวเลยนะเจ้าคะ จะได้สบายใจขึ้น มี่อิงไม่เอาไปบอกใครหรอกเจ้าค่ะ" เฟิ่งเจี๋ยกระตุกมุมปากยิ้มเล็กน้อย ถ้อยคำของมี่อิงทำให้เขาแปลกประหลาดใจ ความคิดความอ่านของนางแตกต่างจากสตรีที่เขาเคยพบเจอมาก่อน เป็นความลึกลับที่มีเสน่ห์ น่าค้นหาเหมือนดั่งเช่นชื่อของนาง มี่อิงเห็นเฟิ่งเจี๋ยนิ่งเงียบไป จึงโพล่งเอ่ยขึ้นแก้ตัว "มี่อิงไม่ได้ตั้งใจจะใช้คำพูดล่วงเกินคุณชายนะเจ้าคะ มี่อิงแค่พูดไปตามที่คิดเท่านั้น ถึงแม้...จะอยากรู้อยู่บ้างก็ตาม" เฟิ่งเจี๋ยหลุดหัวเราะออกมา กับคำพูดไร้เดียงสาเช่นนั้น "ข้าก็ยังไม่ได้ว่าอะไร เจ้าดูร้อนรนไปหรือไม่" "นั่นสินะเจ้าคะ" มี่อิงส่งยิ้มแก้อาการเคอะเขินให้เฟิ่งเจี๋ย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขามองไม่เห็น พอรู้ว่าคุณชายโจวอารมณ์ดีขึ้น ก็รู้สึกดีไปด้วยเสียอย่างนั้น หากคุณชายหัวเราะบ่อย ๆ แบบนี้ก็ดีสินะ... . . . ทางด้านทิศพายัพของจวน มีกลุ่มควันสีดำกลุ่มหนึ่งกำลังลอยขโมงพวยพุ่งเป็นเส้นตรงสู่ท้องฟ้า ในขณะที่มี่อิงกำลังเดินออกมาจากเรือนจ้วนสือ สายตาอันแหลมคมของนางก็พลันมองไปเห็นกลุ่มควันเหล่านั้นและเกิดสงสัยในใจ น่าแปลก! ใครมาเผาอะไรยามนี้ หรือว่า...จะเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้น?! เมื่อคิดได้เช่นนั้น ดวงตากลมสวยของมี่อิงก็ขยายเบิกกว้าง นางรีบวิ่งไปตามทิศทางของกลุ่มควันเหล่านั้นเพื่อตามหาสาเหตุที่แท้จริง แล้วนางก็พบว่า สิ่งที่นางกังวลอยู่นั้น เป็นเพียงเรื่องที่คิดมากไปเอง เพราะภาพที่นางเห็นอยู่เบื้องหน้าคือภาพของเจียวซือกำลังเผากระดาษบางอย่างอยู่ "อ้าว…มี่อิง" เจียวซือหันมาส่งยิ้มโบกไม้โบกมือด้วยสีหน้าร่าเริง มี่อิงใช้มือปาดหยาดเหงื่อบนหน้าผาก คลายสีหน้ากังวลลง ก่อนที่จะเดินเข้าไปเอ่ยถามด้วยความสงสัย "เจียวซือ...เจ้าทำอะไรอยู่หรือ" "ข้ากำลังเผากระดาษจดหมายพวกนี้อยู่" เจืยวซือตอบพลางยกกระดาษปึกหนาที่อยู่ในมือชูขึ้น "จดหมาย...จดหมายของผู้ใดกัน" มี่อิงขมวดคิ้วถาม "ข้าก็ไม่รู้ ข้าก็รับมาจากจวงมามาอีกที แต่พอเจ้าทักเช่นนี้...ข้าก็อยากรู้ขึ้นมาเสียแล้วสิ" เอ่ยจบ เจียวซือก็เผยรอยยิ้มที่มุมปาก หรี่สายตาเป็นประกายแวววับ เชิญชวนมี่อิงให้คล้อยตามนาง "เจ้าว่า...ในจดหมายพวกนี้ จะเขียนอะไรเอาไว้บ้างนะ" "มันจะดีหรือเจียวซือ จวงมามาไม่ได้กำชับเจ้าหรือ" มี่อิงเอ่ยด้วยสีหน้าลังเล "กำชับสิ นางไม่ให้ข้าเปิดอ่าน แต่ข้าว่าก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร อย่างไรเสีย...กระดาษจดหมายพวกนี้ก็ต้องถูกเผาทิ้งอยู่ดี" เจียวซือยังคงส่งสายตาอ้อนวอนไม่หยุด หากจะอ่านเองผู้เดียวก็ย่อมได้ แต่หากมีสหายร่วมแบ่งครึ่งความรู้สึกผิดนั้นไปด้วย ย่อมดีกว่าเป็นไหน ๆ "เช่นนั้นก็…แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียวซือก็ฉีกยิ้มกว้าง ไม่รีรอที่จะดึงกระดาษแผ่นบนสุดขึ้นมาฉีกซองออก ก่อนที่คลี่รีดให้เรียบและอ่านออกมาเสียงดัง "กิ่งหลิวโอนอ่อนแม้ต้องลม แต่ใจข้ายังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง" อ่านจบ พวกนางทั้งสองก็หันสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย "จดหมายรักงั้นหรือ" เจียวซือทอดสายตานิ่งเอ่ย "ถ้อยคำรำพึงรำพันเสียขนาดนั้นจะเป็นจดหมายอื่นไปได้อย่างไร ว่าแต่...จดหมายนี้เป็นของผู้ใดกันนะ เจ้าอ่านต่ออีกเสียหน่อยสิเจียวซือ" เจียวซือพยักหน้าเบา ๆ และเปล่งเสียงอ่านต่ออย่างเนิบช้า "เฟิ่งเจี๋ยข้าขอโทษ ที่ข้าไม่อาจดูแลท่านในยามนี้ได้ แต่ข้าอยากให้ท่านรู้ไว้...ว่าข้ายังรักท่านเสมอ เพราะท่านคือดวงจันทร์ของข้า" "คุณชายโจว!! " บ่าวสาวเอ่ยพร้อมกัน และแล้ววรรคที่สองของจดหมายก็คลายปมคำถามที่ค้างคาใจของทั้งสองได้อย่างกระจ่างแจ้ง "นั่นก็หมายความว่า...จดหมายนี้ส่งมาเพื่อให้คุณชายโจวอย่างนั้นสินะ" มี่อิงเอ่ย "คงใช่ แต่ว่า...ใครกันล่ะ ที่ส่งจดหมายมาให้คุณชายเช่นนี้" มี่อิงวิเคราะห์อย่างช้า ๆ "จดหมายนี้ไม่มีนัยแฝง มีเพียงถ้อยคำหวาน ๆ ปนเศร้า คงจะเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ฉันท์คนรักกับคุณชายโจว ไม่เช่นนั้นคงไม่เขียนจดหมายออกมาเช่นนี้" "ก็จริงของเจ้า...ข้าว่าจะต้องเป็นคุณหนูสวี่เป็นแน่" "คุณหนูสวี่...คือใครกันหรือ" มี่อิงถามด้วยแววตาสงสัย "คุณหนูสวี่คือคนรักของคุณชายนะสิ คุณหนูสวี่น่ะนะ...มีใบหน้างดงามยิ่ง มีฉายาว่าเป็นหญิงงามที่สุดในแคว้นต้าหมิงเลยล่ะ" "ขนาดนั้นเชียวหรือ" "อื้ม ข้าเคยเห็นนางคราหนึ่ง งดงามเหมือนดั่งที่เขาร่ำลือเอาไว้จริง ๆ ยามที่คุณหนูสวี่อยู่กับคุณชายโจวนั้น ช่างเหมาะสมยิ่งนัก" มี่อิงพยักหน้าเบา ๆ คิดตามและเอ่ย "อย่างนี้นี่เอง...แต่เพราะเหตุใดกันล่ะคุณหนูสวี่ถึงส่งจดหมายมาเช่นนี้ มาบอกต่อหน้าไม่ง่ายกว่าหรือ" "มีข่าวลือมาว่า คุณหนูสวี่ทิ้งคุณชายไปตอนที่คุณชายตาบอด ไม่มาไยดีเหมือนแต่ก่อน ข้าไม่เข้าใจ...หากเลิกแล้วต่อกัน จะส่งจดหมายมาหากันทำไมอีก เป็นข้าก็คงเอาไปเผาทิ้งเหมือนกัน" พอเจียวซือเล่าให้ฟังเช่นนั้น ในใจก็พูดคำเดิมซ้ำ ๆ หลายร้อยหลายพันครั้งว่า 'คุณชายโจวช่างน่าสงสารยิ่งนัก' "คุณชายโจวมีเรื่องราวอะไรที่น่าเห็นใจมากกว่านี้อีกหรือไม่ บิดามารดาสิ้นใจ ตาบอด คนรักเปลี่ยนเป็นอื่น ข้าไม่อยากคิดเลยว่าคุณชายจะต้องเจ็บปวดใจปานใด" เจียวซือยิ้มฝืดเฝื่อน เอ่ยตอบสั้น ๆ "ไม่มีแล้วล่ะ" ในขณะนั้นเอง จู่ ๆ ภาพบาดแผลของคุณชายก็ฉายขึ้นมาในหัวสมองของมี่อิงอีกครั้ง จนไม่อาจเก็บงำเอาไว้ในใจแต่เพียงผู้เดียว ไหน ๆ ก็พูดคุยเรื่องคุณชายโจวแล้ว ลองถามเจียวซือเกี่ยวกับเรื่องคุณชายเสียหน่อยก็แล้วกัน "เจียวซือ...มีเหตุการณ์ใดที่คุณชายโจวจะเลือดตกยางออกได้บ้างหรือ" เจียวซือกลอกตาครุ่นคิด ก่อนที่เอ่ยตอบ "อืม...คงเป็นการต่อสู้กระมัง" "การต่อสู้" "ใช่! เจ้ารู้หรือไม่ ว่าคุณชายน่ะ เก่งกาจเรื่องวรยุทธ์ที่สุดหาใครมาเปรียบได้ จึงได้รับความชื่นชอบจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันให้คุณชายดำรงตำแหน่งโหวและแม่ทัพยังไงล่ะ" "คุณชายต้องเก่งมากเป็นแน่" เจียวซือส่งเสียงอืมและพยักหน้า "ถึงแม้คุณชายโจวจะตาบอด แต่วรยุทธ์ของคุณชายยังคงแกร่งกล้าอยู่ ขนาดมีโจรแอบเข้ามาหวังจะขโมยทรัพย์สิน คุณชายโจวที่มองไม่เห็นยังสามารถเล่นงานโจรผู้นั้นเสียจนอ่วมไปเลยล่ะ" หากเป็นอย่างที่เจียวซือพูดจริง แผลที่หน้าอกของคุณชายก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคุณชายโจวอาจจะแอบไปซ้อมวรยุทธ์หรือต่อสู้กับโจรมาก็เป็นได้ เมื่อหลุดจากภวังค์แห่งความคิด มี่อิงก็ถือวิสาสะดึงกระดาษในมือของเจียวซือออกมาหนึ่งหยิบมือแล้วหย่อนลงไปในกองไฟ ก่อนที่จะหันหน้ามายกยิ้มอ่อน ๆ “มาเถิด...ข้าจะช่วยเจ้าเผาเอง จะได้เสร็จไวไว” เจียวซือคลี่ยิ้ม ผงกศีรษะตอบรับ หลังจากนั้นกระดาษจดหมายแผ่นบางก็กลายเป็นเถ้าถ่านมอดไหม้สลายไปพร้อมกับความลับในกองไฟ ไร้ซึ่งประโยชน์บนโลกใบนี้อีกต่อไป...   . . .   อยากบอกว่า...คุณชายโจวถึงแม้จะดูน่าสงสารในยามนี้ แต่ไม่อ่อนแอและฟาดทุกคนแน่นอนค่ะ คุณชายโจวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามกันต่อนะคะรี้ดดด    
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม