บทที่ 15: บาดแผลจากการสูญเสีย

1427 คำ
ยามเช้าภายใต้ท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ความเงียบงันปกคลุมค่ายทหารของหย่งหมิง แม้แสงอาทิตย์แรกจะเริ่มสาดส่อง แต่ไม่มีใครในค่ายรู้สึกถึงความอบอุ่น ทุกคนยังคงจมอยู่ในความเสียใจจากเหตุการณ์เมื่อคืน การสูญเสียซ่งจื้อเทียน นักรบผู้กล้าหาญและภักดีที่สุด กลายเป็นบาดแผลที่ลึกซึ้งในหัวใจของทุกคน หย่งหมิงนั่งอยู่คนเดียวหน้ากองไม้ที่เตรียมไว้สำหรับพิธีเผาศพ ร่างกายของเขานิ่ง แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกปั่นป่วน เขายังคงจำได้ถึงช่วงเวลาสุดท้ายของซ่งจื้อเทียน ภาพชายผู้กล้าที่หันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับศัตรูเพียงลำพังยังคงติดตรึงในใจ มือของหย่งหมิงกุมดาบของซ่งจื้อเทียนไว้แน่น มันเป็นดาบเล่มเดียวกับที่ซ่งจื้อเทียนเคยใช้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขามาในหลายสนามรบ น้ำหนักของดาบดูเหมือนจะหนักขึ้นกว่าปกติ หรืออาจเป็นเพราะน้ำหนักของความรู้สึกผิดที่ถ่วงหัวใจของหย่งหมิง เสียงฝีเท้าค่อย ๆ ดังขึ้นใกล้ ๆ เป็นรองแม่ทัพคนสนิทที่เดินมาหยุดอยู่ด้านหลังหย่งหมิง “องค์ชาย... ได้เวลาแล้วพะยะค่ะ” หย่งหมิงเงยหน้าขึ้น สายตาของเขายังมองตรงไปที่กองไม้ก่อนลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ เขาก้าวเดินไปข้างหน้า ท่ามกลางสายตาของเหล่าทหารที่ยืนล้อมรอบ ทุกคนยืนสงบนิ่งเพื่อแสดงความเคารพต่อชายที่พวกเขาทั้งรักและเคารพ ร่างของซ่งจื้อเทียนนอนสงบนิ่งบนกองไม้ ดวงหน้าที่แม้ไร้ลมหายใจกลับยังคงแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวและภักดี หย่งหมิงหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าร่างนั้น เขาก้มลงคุกเข่าพร้อมวางดาบเล่มนั้นไว้บนอกของซ่งจื้อเทียน “ซ่งจื้อเทียน...” เสียงของหย่งหมิงแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ข้า... ขอโทษ ข้าไม่น่าปล่อยให้เจ้าต้องอยู่ที่นั่นคนเดียว” น้ำตาไหลผ่านแก้มของหย่งหมิง เขาไม่แม้แต่จะเช็ดมันออก เพราะเขารู้ดีว่าน้ำตาเหล่านี้ไม่มีค่าพอที่จะชดเชยสิ่งที่เกิดขึ้น “เขาเสียสละชีวิตเพื่อพวกเรา” เสียงรองแม่ทัพดังขึ้นในความเงียบงัน “เขาคือนักรบผู้กล้าที่แท้จริง และการเสียสละของเขาจะไม่มีวันสูญเปล่า” หย่งหมิงสูดหายใจลึกก่อนลุกขึ้นยืน สายตาที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้ากลับแฝงด้วยความมุ่งมั่น “ใช่ การเสียสละของซ่งจื้อเทียนคือเครื่องเตือนใจเราทุกคน เราจะไม่ยอมแพ้ต่อศัตรู ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม!” เสียงร้องตอบรับจากเหล่าทหารดังสะท้อนไปทั่วค่าย พวกเขายกดาบขึ้นพร้อมเพรียงกัน เป็นการให้คำมั่นว่าจะสู้ต่อไปจนถึงที่สุด ในกระโจมรักษา หลิงฮวานอนนิ่งบนเตียง ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนล้าจากการใช้พลังเมื่อคืนที่ผ่านมา แสงที่ลอดผ่านผ้าคลุมกระโจมทำให้นางต้องหลับตาลงอีกครั้ง ทุกอย่างดูเหมือนจะเงียบสงบเกินไป “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากข้างเตียง นางค่อย ๆ หันศีรษะมองหย่งหมิงที่นั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล “ข้า...” หลิงฮวาพยายามพูด แต่เสียงของนางแผ่วเบาเหมือนแรงที่เหลืออยู่ในร่างกาย “ข้ารู้สึกว่า... พลังของข้าอาจเป็นอันตรายต่อพวกเรามากกว่าที่จะช่วยอะไรได้” หย่งหมิงขมวดคิ้ว น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนแต่หนักแน่น “เจ้าช่วยชีวิตพวกเราไว้เมื่อคืน เจ้าใช้พลังนั้นเพื่อปกป้องทุกคน” หลิงฮวาส่ายหน้าเบา ๆ นางยกมือขึ้นมาดูรอยไหม้จาง ๆ ที่เกิดจากการระเบิดของพลัง “แต่ข้ารู้สึกเหมือนข้ากำลังสูญเสียบางสิ่งไปทุกครั้งที่ข้าใช้มัน มันอาจจะเป็นคำสาป ไม่ใช่พรอย่างที่ทุกคนคิด” หย่งหมิงจับมือของนางไว้ ดวงตาของเขามองลึกเข้าไปในดวงตาของหลิงฮวา “เจ้าฟังข้าให้ดีนะ พลังนี้อาจเป็นภาระที่หนัก แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะเรียนรู้ที่จะควบคุมมัน ข้าไม่เคยเห็นใครที่แข็งแกร่งเท่าเจ้า” คำพูดของหย่งหมิงทำให้นางนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ แม้หัวใจของนางยังเต็มไปด้วยคำถามและความไม่มั่นใจ แต่คำพูดของหย่งหมิงก็เหมือนแสงสว่างเล็ก ๆ ในความมืด ทั้งสองคนเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่หลิงฮวาจะเอ่ยชื่อหนึ่งออกมา “ซ่งจื้อเทียน...” หย่งหมิงพยักหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้า “เขาเสียสละตัวเองเพื่อพวกเรา เขาคือวีรบุรุษ และข้าจะไม่มีวันลืมสิ่งที่เขาทำ” หลิงฮวาหลับตาลง ภาพของซ่งจื้อเทียนที่หันหลังกลับไปต่อสู้เพียงลำพังปรากฏขึ้นในหัวใจของนาง มันเป็นภาพที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญ แต่ก็ทำให้นางรู้สึกหนักอึ้ง “เราต้องทำให้การเสียสละของเขามีความหมาย” นางพูดเบา ๆ “ใช่” หย่งหมิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เราต้องเดินหน้าต่อ เพื่อทำให้สิ่งที่เขาปกป้องไว้ไม่สูญเปล่า” บรรยากาศภายในค่ายที่ถูกย้ายมาตั้งใกล้เชิงเขาชายแดนเต็มไปด้วยความเงียบงัน เสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้ด้านนอกฟังคล้ายเสียงคร่ำครวญของธรรมชาติ สะท้อนถึงความสูญเสียครั้งใหญ่ที่ไม่มีใครคาดคิด หย่งหมิงนั่งอยู่หน้ากองไฟ ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้าราวกับมีน้ำหนักมหาศาลกดทับ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขายังจำภาพสุดท้ายของซ่งจื้อเทียนได้ชัดเจน—ภาพที่สหายผู้ซื่อสัตย์ของเขาถูกล้อมรอบด้วยกองทัพศัตรู “ข้าควรทำได้ดีกว่านี้…” เสียงของเขาเบาราวกับกระซิบ อู๋เฟิงหลินเดินเข้ามาในกระโจม เขาไม่ได้พูดอะไรทันที แต่เลือกที่จะนั่งลงใกล้ ๆ หย่งหมิง เฝ้าดูไฟที่ลุกไหม้อยู่กลางกระโจม “ความสูญเสียของจื้อเทียนไม่ใช่ความผิดขององค์ชาย” อู๋เฟิงหลินกล่าวขึ้นในที่สุด น้ำเสียงของเขาสงบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความหนักแน่น “เขาเลือกทำสิ่งนั้นเพราะเขาเชื่อมั่นในองค์ชาย หากท่านปล่อยให้ความเสียใจนี้ฉุดรั้งไว้ เราจะสูญเสียทั้งสิ่งที่เขาเสียสละเพื่อปกป้อง” หย่งหมิงเงยหน้ามองสหายร่วมรบ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความขัดแย้ง “แต่เขาเชื่อมั่นในตัวข้า... แล้วข้าทำอะไร? ข้าไม่สามารถช่วยเขาได้” “บางครั้ง การช่วยเหลือก็ไม่ได้หมายความว่าต้องยืนหยัดเคียงข้างเสมอ” อู๋เฟิงหลินกล่าว “การเดินหน้าต่อและทำให้สิ่งที่เขาสละชีวิตเพื่อมันสำเร็จต่างหากที่สำคัญที่สุด” ห่างออกไปจากค่ายพักของหย่งหมิง ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาบนผืนป่า ลี่เหยียนยืนอยู่ริมหน้าผา นางมองเห็นแสงไฟจากกระโจมของกองทัพหย่งหมิงอยู่ลิบ ๆ แววตาของนางเต็มไปด้วยความเย็นชา แต่ลึก ๆ กลับซ่อนความรู้สึกที่ไม่อาจบอกใครได้ “หย่งหมิงยังคงอยู่...” นางพึมพำกับตัวเอง “แต่ซ่งจื้อเทียน... ไม่อยู่แล้ว” ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากเงามืด มันคือแม่ทัพของศัตรูผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นมือขวาของลี่เหยียน เขาโค้งคำนับก่อนกล่าวรายงาน “กองทัพของพวกเขาตั้งอยู่ใกล้ชายแดน และตอนนี้กำลังตกอยู่ในความระส่ำระสายหลังการเสียชีวิตของซ่งจื้อเทียน” ลี่เหยียนพยักหน้ารับ “ดีแล้ว พวกมันอ่อนแอเหมือนเสือติดกับดัก ข้าเพียงต้องการเวลาเพื่อกดดันพวกมันให้แตกสลาย” “แต่ท่านแม่ทัพ” ชายคนนั้นกล่าวเสียงแผ่ว “การที่เรายังไม่ลงมือในทันที อาจทำให้พวกมันฟื้นตัวได้” ลี่เหยียนหันขวับกลับมา แววตาของนางเต็มไปด้วยความดุดัน “เจ้าไม่ต้องสอนข้าว่าควรทำอะไร” เขารีบก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าสบตานางอีก “พวกมันจะไม่มีวันฟื้นตัว” นางกล่าวอย่างมั่นใจ “เมื่อข้าลงมือ ทุกอย่างจะจบสิ้น” แต่ในใจของลี่เหยียน ความมั่นใจนั้นไม่ได้หนักแน่นอย่างที่นางแสดงออก ความสูญเสียของซ่งจื้อเทียนไม่ได้เพียงแต่ส่งผลต่อหย่งหมิง แต่นางเองก็รู้สึกบางสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ แสงจันทร์สาดส่องลงบนดาบของลี่เหยียน ราวกับสะท้อนคำถามที่ก้องอยู่ในใจนาง ว่าเส้นทางที่นางเลือกเดินนี้คือสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม