บทที่ 4.2 ท่านอาจารย์ประหลาดเกินไป

4622 คำ
บทที่ 4.2 ท่านอาจารย์ประหลาดเกินไป พื้นที่รอบเมืองเหยียนเป็นหุบเขามีภูเขาและเทือกเขาสูงใหญ่มากมาย การจะสร้างบ้านบนภูเขาสักลูกเป็นเรื่องยากลำบาก แต่เพราะฟางเซียนอยากมีบ้านบนภูเขาอันเงียบสงบนางจึงยอมจ่ายเงินให้ผู้รับเหมาก่อสร้างไม่อั้น เพราะอย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่เงินของนางอยู่แล้ว ทางด้านผู้รับเหมาก่อสร้างยินดีให้บริการอย่างยิ่งเมื่อได้รับเงินมากมาย พวกเขาสัญญาว่าจะเร่งมือแต่คาดว่าการก่อสร้างคงต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ในขณะที่รอให้บ้านสร้างเสร็จฟางเซียนและลู่เหลียนจึงอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมชั่วคราวและในระหว่างนั้นลู่เหลียนก็ได้เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับการอ่านและเขียนยันต์ สำหรับมารหรือเซียนมือใหม่จำเป็นต้องรู้จักการเขียนยันต์เพราะการจะใช้คาถาจำเป็นต้องใช้ยันต์เป็นสื่อกลาง นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมลู่เหลียนจำเป็นต้องอ่านและเขียนตัวอักษรให้ได้ทุกตัว แน่นอนว่าคนที่จะสอนลู่เหลียนอ่านเขียนจะต้องเป็นฟางเซียน แม้ว่าลายมือของฟางเซียนจะแย่สักหน่อยเพราะนางไม่คุ้นเคยกับการใช้พู่กัน แต่อย่างน้อยลู่เหลียนก็สามารถเขียนออกมาได้สวยงามตามตำราเพราะหากเขามีลายมือเหมือนฟางเซียนภาพพจน์ของตัวร้ายผู้สมบูรณ์แบบคงดูไม่ดีนัก แต่เพื่อให้ลายมือสมบูรณ์แบบมากขึ้นลู่เหลียนจึงได้ใช้เวลาทั้งวันในการจดจำและฝึกเขียนตัวอักษร หากเทียบกับฟางเซียนจอมขี้เกียจลู่เหลียนขยันขันแข็งมากกว่านางเป็นร้อยเท่า [ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเถอะครับ นอนขี้เกียจทั้งวันแบบนั้นไม่คิดจะอายเด็กเลยรึไงครับ] ระบบบ่นอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะตั้งแต่มาถึงเมืองเหยียนเมื่อหลายยี่สิบวันก่อนฟางเซียนก็ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย [นอนทั้งปีก็ไม่ทำให้คุณตายหรอกนะครับเพราะตอนนี้คุณเป็นอมตะแล้ว] “หุบปากเน่าๆ ของแกซะระบบ” ฟางเซียนพึมพำอย่างหัวเสีย [ระบบเป็นเหมือนจิตวิญญาณ น่าเสียดายที่ผมไม่มีปากให้เน่า] ฟางเซียน “...” บางครั้งฟางเซียนก็รู้สึกว่าระบบมันตั้งใจกวนโมโห บางทีมันอาจจะอยากถูกฆ่า แต่น่าเศร้าที่นางทำตามที่มันต้องการไม่ได้ ฟางเซียนรู้สึกเสียใจจากใจจริงเลยล่ะ “ลู่เหลียน! เจ้าคงหิวแล้วออกไปหาอะไรกินข้างนอกกัน” เพื่อตัดรำคาญฟางเซียนจึงตัดสินใจออกไปข้างนอกตามที่ระบบต้องการ ลู่เหลียนที่กำลังจับพู่กันเขียนตัวอักษรชะงักมือ เขาหันไปถามฟางเซียนว่า “หิวหรือขอรับ?” “ข้าไม่หิว ข้าหมายถึงเจ้าต่างหากล่ะที่หิว” ลู่เหลียนได้ยินฟางเซียนกล่าวดังนั้นถึงกับเงียบและมองฟางเซียนอย่างสงสัย เขาเพิ่งทานอาหารไปเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนไยนางถึงได้ลืมได้เร็วนัก? ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่ลู่เหลียนก็เก็บพู่กันและกระดาษโดยไม่พูดอะไรก่อนจะเดินตามฟางเซียนไปยังร้านน้ำชาแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คนบางตามากกว่าปกติ โต๊ะว่างมีมากแต่ฟางเซียนก็เลือกนั่งโต๊ะกลางร้านน้ำชาด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบ ฟางเซียนนั่งลงแล้วสั่งน้ำชาและขนมหลายอย่างพลางพึมพำว่า “กินให้เยอะจะได้ติดคอตายไปซะ” “...” สีหน้าของลู่เหลียนแลดูว่างเปล่า ลู่เหลียนได้ยินวิธีฆ่าตัวตายหลายรูปแบบจากฟางเซียนบ่อยครั้งจนเขาแน่ใจแล้วจริงๆ ว่าฟางเซียนต้องการความตาย คำขอของฟางเซียนไม่โกหก... ลู่เหลียนก้มหน้าลง ในแววตาของเขามีความรู้สึกสับสนเมื่อนึกถึงคำขอของผู้มีพระคุณของเขา นางช่วยเหลือเขาและในชีวิตที่ดี ทว่าเขาจะต้องสังหารนางเพื่อตอบแทนบุญคุณงั้นหรือ? มันไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือ? “เจอกันอีกแล้วนะลู่เหลียนแล้วก็...นางยักษ์!” เสียงสดใสของใครบางคนได้กล่าวทักทายลู่เหลียน ส่วนนางยักษ์ที่ถูกกล่าวถึงคงไม่พ้นฟางเซียน ซึ่งคนที่เรียกฟางเซียนว่านางยักษ์ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเจ้าลูกหมาจรจัดที่ฟางเซียนบังเอิญพกติดมาด้วยระหว่างเดินทางผ่านหมู่บ้านร้างแห่งหนึ่ง เขาเป็นเด็กผู้ชายจอมซนคนหนึ่งที่ไร้บ้าน หลังจากเดินทางมาถึงเมืองเหยียนด้วยกันเขาก็หายตัวไปพร้อมกับเงินถุงหนึ่งของฟางเซียน ถึงฟางเซียนจะไม่โกรธเคืองแต่ก็แอบไม่พอใจอยู่เล็กน้อย “เจ้าลูกหมาข้างถนน เจ้ายังกล้าทักทายข้าอีกนะทั้งที่ขโมยถุงเงินข้าไป” นางเหลือบสายตามองเจ้าลูกหมาที่ส่งยิ้มกว้างมาให้อย่างเย็นชา ลู่เหลียนรู้ว่าเขาขโมยเงินของฟางเซียนเช่นกันจึงมองเขาด้วยสายตาเคลือบแคลงและแข็งกร้าว “อย่ามองข้าอย่างนั้นสิ ข้าแค่จะขอยืมเท่านั้นเอง” เจ้าลูกหมายิ้มกว้างพลางวางจานขนมลงบนโต๊ะตรงหน้าฟางเซียน “ข้าหางานทำได้แล้วเพราะงั้นรออีกหน่อยนะข้าสัญญาว่าจะหาเงินมาใช้คืน” คำพูดที่จริงใจทำให้ลู่เหลียนลดท่าทีที่เป็นศัตรูลง ฟางเซียนเลิกคิ้วแปลกใจไม่นึกว่าเจ้าลูกหมาจะเป็นคนดีมีศีลธรรม ดูเหมือนว่าเขาจะใช้เงินที่ขโมยไปจากนางเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่และเริ่มทำงานในร้านน้ำชาเพื่อหาเงินเพิ่ม นางกระตุกยิ้มอย่างถูกใจ “ไม่จำเป็นต้องใช้คืน เงินพวกนั้นน้อยนิดมากสำหรับข้า” ฟางเซียนยื่นถุงที่เต็มไปด้วยเงินให้กับเจ้าลูกหมา “ใช้จ่ายให้เป็นล่ะ” “ทะ เทพธิดาผู้งดงาม ข้าขอขอบพระคุณอย่างยิ่ง งั้นข้าขอรับเงินไปนะขอรับ” เขารีบประจบประแจงฟางเซียนทันที จากที่เรียกนางว่านางยักษ์ก็ได้เปลี่ยนเป็นเทพธิดาในพริบตาเดียว “ข้าเรียกท่านว่าเทพธิดาผู้งดงามได้รึไม่?” ลูกหมาถามด้วยดวงตาที่เป็นประกาย “แน่นอน” ฟางเซียนตอบพลางกระตุกยิ้มพอใจ ในขณะนั้นลู่เหลียนก็ได้มองทั้งสองด้วยสายตาว่างเปล่า ท่านอาจารย์ ท่านคือผู้บำเพ็ญเพียรสายมารมิใช่หรือ? ถึงจะคิดอย่างนั้นลู่เหลียนก็ไม่ได้พูดแย้งออกไป เพราะดูเหมือนว่าฟางเซียนจะพอใจกับสีหน้าชื่นชมของเจ้าลูกหมาตัวนั้นมาก “จริงสิท่านเทพธิดาผู้งดงาม ข้ามีเรื่องอยากจะเตือนท่าน” เขาทำสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างกะทันหัน ฟางเซียนเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเขาจึงพูดต่อ “ช่วงนี้มีข่าวออกมาว่าชาวบ้านเมืองใกล้เคียงหายตัวไปมากมายจนเกิดความโกลาหลขึ้น ข้าคิดว่ามันจะต้องเป็นฝีมือปีศาจกินคนตัวเดียวกับตัวที่แวะไปหมู่บ้านที่ข้าเคยอาศัยอยู่อย่างแน่นอน ท่านก็ควรระวังตัวด้วยนะขอรับ” เขาเอ่ยเตือนด้วยสีหน้าจริงจังปนเคร่งเครียด ทว่าฟางเซียนกลับมีสีหน้าสนอกสนใจ คิ้วของลู่เหลียนขมวดเป็นปม เขาพอคาดเดาได้ว่าฟางเซียนคิดอะไรอยู่ นั่นทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด ปีศาจกินคนเก่งกาจมากใช่หรือไม่? นั่นหมายความว่ามันอาจจะสามารถทำตามความปรารถนาของนางได้สำเร็จ แต่เขากลับไม่สามารถทำได้ทั้งที่เขารับปากนางไว้แล้วว่าจะทำความปรารถนาของนางให้เป็นจริง... “ข้าอยากเจอสักครั้งเสียจริง” ฟางเซียนกล่าวด้วยรอยยิ้มเป็นประกาย ทว่าในใจของลู่เหลียนกลับรู้สึกว้าวุ่น “ท่านเทพธิดามั่นใจว่าจะสามารถจัดการมันได้สินะขอรับ!” เขาตีความไปอีกทางเพราะความไม่รู้ ฟางเซียนหัวเราะก่อนจะหันไปสนใจขนมบนโต๊ะ สั่งมาทั้งทีก็ต้องกินล่ะนะ ซึ่งในขณะที่ฟางเซียนหันไปสนใจขนมตรงหน้าทุกคนในร้านน้ำชาก็ได้พร้อมใจกันหันไปสนใจสตรีนางหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาในร้านน้ำชา เนื่องจากว่าสตรีนางนั้นให้ความรู้สึกโดดเด่นเป็นพิเศษพวกเขาจึงทำเป็นเมินเฉยไม่ได้ การแต่งกายโดดเด่นด้วยเสื้อผ้าสีเขียนสดราวกับใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิและบนศีรษะถูกประดับด้วยหมวกขนาดใหญ่โต บนหมวกถูกประดับด้วยหยกและไข่มุกจนดูอลังการเกินพอดี ไม่ว่าสตรีผู้นี้จะเดินไปไหนก็จะได้รับความสนใจอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่แค่การแต่งตัวเท่านั้นที่โดดเด่น ใบหน้าของนางยังโดดเด่นมากด้วย เมื่อฟางเซียนหันไปเห็นนางก็ถึงกับสำลักขนมอย่างที่หวังไว้เลยทีเดียว ใบหน้าของสตรีคนนั้นถูกทาด้วยแป้งสีขาว คิ้วได้ถูกเขียนใหม่ด้วยหมึกสีดำจนมีรูปโก่งราวกับคันศร และรอบดวงตารวมถึงแก้มและริมฝีปากได้ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงเข้ม ฟางเซียนเห็นแล้วก็นึกว่าผู้หญิงคนนั้นมาเพื่อแสดงงิ้วอะไรสักอย่าง “นางงดงามยิ่งนัก...” ลูกหมาข้างกายนางพึมพำ ฟางเซียนถึงกับหันไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าประหลาด สายตาของเจ้าลูกหมาผิดปกติรึไง? ไม่มีคนปกติที่ไหนหรอกที่แต่งตัวแบบนั้นออกมาเดินเล่นข้างนอก ดูยังไงมันก็ดูน่าขบขัน แต่จากปฏิกิริยาของคนรอบข้างดูเหมือนว่าพวกเขาจะคิดว่าผู้หญิงคนนั้นสวย แม้แต่ลู่เหลียนก็ยังหันไปมองอย่างสนใจ ทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์จนฟางเซียนรู้สึกหมั่นไส้อย่างห้ามไม่ได้ [มนต์เสน่ห์ครับ] เพียงคำสั้นๆ ของระบบฟางเซียนก็เข้าใจทันทีว่าทำไมทุกคนถึงคิดว่าผู้หญิงคนนั้นสวย [เป็นมนต์เสน่ห์ค่อนข้างแรงทีเดียว น่าตกใจที่มันไม่ได้ผลกับคุณ] “เพราะฉันมั่นใจว่าฉันมีเสน่ห์มากกว่ายังไงล่ะ” ฟางเซียนมีรอยยิ้มมั่นใจ นางมั่นใจว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องใช้มนต์เสน่ห์ก็สามารถดึงดูดความสนใจของคนอื่นได้ [...ช่างเป็นจิตใจที่มั่นคงยิ่งนัก] ระบบกล่าว นางเคยยืนอยู่บนเวทีที่มีคนดูมากกว่าหมื่นคน หากไม่มีความมั่นใจในตัวเองนางคงทำงานไม่ได้ “สงสัยผู้หญิงคนนั้นจะหน้าตาแย่เลยแต่งหน้าซะหนา” ฟางเซียนพูดพลางบังคับให้ลู่เหลียนหันหน้ามามองหน้าตัวเอง “อย่ามองให้มากนักลู่เหลียน มันไม่มีอะไรน่ามองเลยสักนิด หากเจ้าอยากมองสาวสวยเจ้าควรไปส่องกระจกดูหน้าตัวเองจะดีกว่า เจ้าจะได้รู้ว่าตัวเองสวยและน่ามองกว่าผู้หญิงคนนั้นเยอะ” ลู่เหลียน “...” ทำไมเขารู้สึกเหมือนโดนหยามกัน? ฟางเซียนจับใบหน้าของลู่เหลียนให้หันไปหันมา นางไม่อยากจะยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับในท้ายที่สุดว่าตัวเองแอบอิจฉาใบหน้าของเด็กผู้ชาย เขาดูน่ารักเกินไปและเหมาะที่จะเป็นเด็กผู้หญิงมากกว่า... ในขณะนั้นคนที่ฟางเซียนดูถูกว่าหน้าตาแย่และแต่งตัวมาเพื่อเล่นงิ้วก็ได้เดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะของฟางเซียนและยืนจ้องหน้าฟางเซียนอย่างไร้มารยาทก่อนจะกล่าวว่า “ช่างมั่นคงในความงามของตัวเองเสียจริง” “แน่นอน” ฟางเซียนตอบกลับ ทั้งสองจ้องหน้ากันราวกับว่าเคยเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน “ข้ายอมรับ...ใบหน้าเจ้าสวย” ผู้หญิงคนนั้นกล่าวพลางยื่นมือออกมาสัมผัสใบหน้าของฟางเซียน ฟางเซียนเอียงคอหลบและส่งสายตาไม่พอใจไปให้อีกฝ่าย “ต้องการอะไร” นางคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงประหลาด คนทั่วไปไม่มีทางมายืนจ้องคนอื่นแล้วยื่นมือมาจับหน้าของคนอื่นอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้แน่ “เจ้ามีของที่น่าสนใจอยู่กับตัวใช่หรือไม่? ข้างในนี้...น่าสนใจอย่างมาก” นางพูดเรื่องที่ไม่มีใครเข้าใจขึ้นมาพลางชี้ปลายนิ้วไปที่หัวของตัวเอง ฟางเซียนโคลงศีรษะและพูดว่า “พูดถึงมนต์เสน่ห์เหรอ? ถ้าเป็นมันข้าไม่มี” อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปทันทีและไม่พูดอะไรอีก พอเห็นว่าไม่มีอะไรอีกฟางเซียนก็รู้สึกเบื่อหน่ายและชวนลู่เหลียนออกไปเดินซื้อของเข้าบ้านเพราะอีกไม่กี่วันบ้านบนภูเขาก็จะเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งก่อนไปนางก็ไม่ลืมบอกลาเจ้าลูกหมาที่ดูเหมือนว่าจะถูกมนต์เสน่ห์จนเอ๋อไปแล้ว “เจ้าลูกหมาหน้าโง่” ฟางเซียนพึมพำก่อนจากไป เมื่อฟางเซียนเดินจากไปแล้วใครบางคนก็ได้แสยะยิ้มออกมาอย่างเงียบเชียบ และแล้วบ้านก็เสร็จสิ้นในสามวันถัดมา ฟางเซียนย้ายไปอยู่ทันทีแม้บ้านใหม่จะสกปรกนางก็สามารถใช้คาถาทำความสะอาดได้สบาย ส่วนเรื่องเครื่องเรือนนางสามารถเคลื่อนย้ายได้ในพริบตาเพราะใช้ยันต์เก็บของที่เรียนรู้มาจากสามพี่น้องฮุ่ย ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามบ้านก็ถูกตบแต่งจนเสร็จสิ้น แต่ลู่เหลียนรู้สึกว่ามันขาดไปอย่างหนึ่ง “ท่านอาจารย์...บ้านหลังนี้ควรมีชื่อนะขอรับ” “ชื่อเหรอ?” ฟางเซียนเงยหน้ามองป้ายอันว่างเปล่าเหนือประตู การตั้งชื่อบ้านไม่ค่อยเป็นที่นิยมในโลกของนาง นางจึงไม่เคยนึกไว้เลย “ภูเขาลูกนี้มีชื่อว่า เฮยอั้น งั้นให้มันชื่อเฮยอั้นไปเลยแล้วกัน” “...” สีหน้าของลู่เหลียนเหมือนกำลังจะบอกว่า สิ้นคิด! สรุปแล้วก็ได้ชื่อบ้านว่า เฮยอั้น ซึ่งมีความหมายว่ามืดมน หากมีใครรู้คงคิดว่าฟางเซียนบ้าเป็นแน่เพราะมันเป็นชื่อที่พร้อมจะดึงโชคร้ายเข้าหาบ้านมากกว่าดึงโชคดีอย่างที่มันควรเป็น แต่หากมันเป็นไปตามความเชื่อได้ฟางเซียนคงดีใจมากกว่าจะเสียใจ และหลังจากมีบ้านบนภูเขาอันเงียบสงบไร้เสียงรบกวนฟางเซียนก็นอนและนอน จะตื่นมาก็แค่ตอนที่ทำอาหารให้กับลู่เหลียนเท่านั้นเพราะลู่เหลียนทำอาหารไม่เป็นและเกือบทำครัวไหม้ไปครั้งหนึ่ง แต่ระบบห้ามฆ่าตัวตายน่ารำคาญกลับไม่ยอมให้ฟางเซียนได้ทำแค่นั้น มันบังคับให้ฟางเซียนพาลู่เหลียนเข้าไปในป่าเพื่อฝึกฝนและพัฒนาฝีมือการใช้คาถา ฟางเซียนไม่มีทางเลือกมากนักเพื่อหลีกเลี่ยงความรำคาญนางจึงต้องฝืนสังขารพาลู่เหลียนเดินขึ้นภูเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรจนกระทั่งมาถึงหน้าผาแห่งหนึ่ง “เอาล่ะถึงแล้ว เจ้าเตรียมตัวเตรียมยันต์พร้อมแล้วใช่ไหม?” ฟางเซียนเอ่ยถามลู่เหลียนก็ได้พยักหน้าตอบรับ “งั้นพยายามเอาตัวรอดและกลับมาหาข้าให้ได้ล่ะ” เมื่อเอ่ยจบฟางเซียนก็จัดการผลักลู่เหลียนตกหน้าผาเหมือนครั้งก่อนไม่มีผิดเพี้ยน ทว่าครั้งนี้หน้าผามีความสูงชันและมีสัตว์อสูรระดับสูงกว่าครั้งก่อนมาก ลู่เหลียนไม่คิดว่าจะถูกผลักตกหน้าผาอีกรอบ แต่ถึงจะตื่นตระหนกเขาก็เคยโดนแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งจึงพอจะตั้งตัวได้ทัน เขากางหางนกยูงของตนเองและใช้ปราณธาตุลมห่อหุ้มตัวเพื่อให้ตัวเองสามารถชะลอตัวลงจากการตกที่สูง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถถึงพื้นได้อย่างปลอดภัย เขาก็ได้ถูกสัตว์อสูรฝูงใหญ่ล้อมตัวไว้เสียแล้ว ดวงตาแดงก่ำใต้เงาผาสร้างความหวาดหวั่นให้กับลู่เหลียนอย่างมาก ลู่เหลียนพยายามรวบรวมความเยือกเย็นและนำยันต์ออกมาใช้เพื่อเพิ่มความรุนแรงของการโจมตี ในขณะเดียวกันระบบห้ามฆ่าตัวตายก็ได้โวยวายในหัวของฟางเซียน [ใจร้าย! ทำไมคุณผลักลู่เหลียนตกหน้าผาอีกแล้ว!] “การสอนของฉันเป็นแบบนี้และอีกอย่างฉันอยากทำให้เขาแค้นฉันมากขึ้น!” [คุณฟางเซียน!] ระบบส่งเสียงโอดครวญ ฟางเซียนแสร้งทำเป็นเมินและไปนั่งขอบหน้าผาโดยแอบหวังว่าตัวเองจะพลาดตกลงไปข้างล่างและตาย แต่อุบัติเหตุนั่นก็ไม่เคยจะเกิดขึ้นแม้ว่านางจะนั่งทั้งวัน นางจึงก้มลงไปมองข้างล่างที่เต็มไปด้วยหมอกหนาเหมือนหมอกในใจของนาง มันทำให้นางอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออกอยู่ทุกวัน พอคิดแล้วนางก็มีความรู้สึกอยากจะกระโดดลงไปข้างล่าง... [คุณฟางเซียน คุณช่วยลืมเรื่องฆ่าตัวตายไปสักพักได้ไหมครับ] ระบบพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฟางเซียนเหม่อมองลงไปยังตีนหน้าผา แค่ดูสายตาก็รู้แล้วว่าฟางเซียนอยากจะกระโดดลงไปมาก “ระบบเวร ทำไมถึงชอบขัดกันนัก” ฟางเซียนทำหน้ายักษ์ใส่อากาศด้วยอารมณ์หงุดหงิด [หน้าที่ของระบบห้ามฆ่าตัวตายก็คือห้ามไม่ให้คุณฆ่าตัวตายยังไงล่ะครับ] “ฉันเกลียดแก” [รู้แล้วครับ คุณบอกผมมา 125 รอบแล้ว] “นับด้วยเรอะ?” ฟางเซียนมีสีหน้าว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไหร่ที่นางนั่งทะเลาะกับอากาศจนในที่สุดลู่เหลียนก็สามารถคืบคลานกลับขึ้นมาหาฟางเซียนได้สำเร็จ ร่างของลู่เหลียนในสภาพเละเทะได้ล้มฟุบลงตรงหน้าฟางเซียน ตามร่างกายของเขาไม่ได้มีบาดแผลร้ายแรงอะไร สาเหตุที่เขาล้มฟุบลงไปคงเป็นเพราะเขาเหนื่อยจากการใช้พลังปราณมากเกินไปมากกว่า แต่เพื่อความแน่ใจว่าลู่เหลียนยังมีชีวิตอยู่ฟางเซียนจึงลองใช้เท้าเขี่ย [คุณช่วยอ่อนโยนกับเด็กน้อยน่ารักมากกว่านี้ได้ไหมครับ!] ระบบส่งเสียงประท้วงการกระทำของฟางเซียนที่ไม่ยอมทะนุถนอมตัวร้ายในอนาคตเลยสักนิด [ดูแลลู่เหลียนให้ดีเลยนะ! รักษาแผลให้เขาด้วย ถ้าเขาตายผมจะให้แต้มบวก!] “น่ารำคาญ” ฟางเซียนบ่น แผนการทำให้ลู่เหลียนรู้สึกโกรธแค้นคงต้องหยุดพักไว้ก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงแต้มบวก นางอุ้มลู่เหลียนขึ้นมาจากพื้นและวางเขาไว้บนตักของตัวเอง จากนั้นก็เริ่มใช้คาถาทำความสะอาดและคาถารักษาแผลตามตัวของเขา ซึ่งการกระทำเหล่านั้นของฟางเซียนมันดูอ่อนโยนอย่างมาก ลู่เหลียนที่ไม่ได้หมดสติไปอย่างสิ้นเชิงรู้สึกตัวอย่างชัดเจนว่าฟางเซียนปฏิบัติกับตัวเองอย่างไร เมื่อได้อยู่ในอ้อมแขนของฟางเซียนเขารู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นมาก แม้ว่าการถูกผลักตกหน้าผาจะน่าโกรธเคืองแต่เขาก็เข้าใจว่าฟางเซียนความหวังดีต้องการให้เขาแข็งแกร่งมากขึ้นและรู้จักการเอาตัวรอด เขาจึงไม่นึกโกรธฟางเซียนมากนัก และเมื่อถูกกระทำอย่างอ่อนโยนเช่นนี้เขาจึงไร้ความโกรธแค้นต่อฟางเซียนอย่างสิ้นเชิง [ผมขอแนะนำให้คุณลูบหัวลู่เหลียนครับ] ระบบพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสุดแสนจะจริงจัง ฟางเซียนขมวดคิ้วมึนงงกับคำสั่งประหลาดของระบบ [ผมจะให้แต้มลบโชครอดตายจากอุบัติเหตุ 100 แต้ม] เมื่อได้ยินว่าจะได้รางวัลฟางเซียนก็ยอมลูบหัวของลู่เหลียนแต่โดยดี ซึ่งการกระทำของฟางเซียนที่ถูกระบบบังคับทำนั้นมันก็ได้ทำให้หัวใจของลู่เหลียนเต้นรัวและอ่อนยวบ ความอบอุ่นและสัมผัสอ่อนโยนที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนมันทำให้เขารู้สึกมีความสุขมาก... ในขณะที่ฟางเซียนตั้งใจลูบหัวลู่เหลียน ระบบห้ามฆ่าตัวตายก็ได้แอบหัวเราะคิกคักอย่างพอใจที่มันสามารถทำลายแผนการสร้างความแค้นของฟางเซียนสำเร็จ ตอนนี้ตัวร้ายในอนาคตคงแทบไม่มีความแค้นให้กับฟางเซียนแล้ว! ฟางเซียนที่ไม่รับรู้ถึงแผนการของระบบก็แอบเล่นหงอนนกยูงบนหัวของลู่เหลียนอย่างเพลินมือ ในใจแอบรู้สึกอยากจะถอนขนนกยูงไปทำพัดสักอัน... สองสามวันถัดมาฟางเซียนก็ยังคงพาลู่เหลียนขึ้นมาบนภูเขาเพื่อฝึกฝนและยังคงผลักลู่เหลียนตกหน้าผาเช่นเคย เมื่อฟางเซียนพาขึ้นภูเขาลู่เหลียนจึงได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะตัวเองจะต้องถูกผลักตกหน้าผาแน่นอนครั้งนี้เขาจึงไม่ได้ตกใจนัก แม้วิธีการสอนของฟางเซียนจะผิดแปลกไปเสียหน่อยแต่เขาก็ไม่ได้ขัดขืน เขารู้ดีว่าสุดท้ายแล้วฟางเซียนก็จะรักษาบาดแผลให้กับเขา อีกทั้งการสอนแบบนี้มันทำให้เขาพัฒนามากขึ้นจริง ซึ่งก็เป็นเวลาหลายวันแล้วที่ลู่เหลียนฝึกฝนการใช้คาถาอย่างหนักโดยไม่หยุดพัก ลู่เหลียนพัฒนาไปในทางที่ดีฟางเซียนจึงอนุญาตให้เขาหยุดพักและลงเขาไปท่องเที่ยวในเมืองใกล้เคียง ซึ่งก็มีเพียงแค่เมืองเหยียนเมืองเดียวเท่านั้นล่ะ ทว่าฟางเซียนไม่คาดคิดเลยว่าการเข้ามาในเมืองครั้งนี้จะเกิดปัญหา เพียงแค่ได้ก้าวเข้าไปในเมืองฟางเซียนก็รู้สึกเอะใจทันทีว่าทำไมจำนวนผู้คนในเมืองถึงบางตาจนผิดปกติและต่อมานางก็พบปัญหา “ปะ ปีศาจ! นางปีศาจงู! ข้าเห็นนางกินคนไปต่อหน้าต่อตา!” ชายแก่ที่ดูคล้ายกับคนสติฟั่นเฟือนตะโกนออกมาพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ฟางเซียน ชาวบ้านต่างหันมามองตามทันที สายตาที่พวกเขามองฟางเซียนคือสายตาหวาดกลัว รังเกียจ และหวาดระแวง พวกเขาชี้นิ้วไปที่ฟางเซียนและพูดคุย “ตาเฒ่าหงบอกว่านางคือปีศาจกินคนด้วยล่ะ” “จะว่าไปแล้วตาเฒ่าหงกลายเป็นบ้าก็เพราะการหายตัวไปของภรรยาและลูกหลานไม่ใช่หรือ? หรือว่าสาเหตุจะเกิดจากปีศาจกินคน?” “ก็มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นแหละ ตาเฒ่าหงรอดจากการถูกกินมาได้คงเป็นเพราะแก่เกินไป” “ปีศาจพวกนั้นโหดร้ายและน่ากลัวเสียจริง ก่อนจะถูกกินข้าคงต้องรีบย้ายบ้านตามคนอื่นบ้างแล้ว” บทสนทนาของชาวบ้านทำให้ฟางเซียนพอจะจับใจความได้บ้าง แต่นางก็ไม่เข้าใจว่าทำไมชายแก่คนนั้นถึงหาว่านางเป็นปีศาจกินคน? ฟางเซียนตั้งใจจะเข้าไปถามให้แน่ใจ แต่เมื่อนางเข้าใกล้ชายแก่คนนั้นก็ร้องโหยหวนออกมาด้วยหวาดกลัว “ช่วยด้วยปีศาจจะกินข้าแล้ว!” เขาตะโกนออกมาอย่างนั้น นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟางเซียนถูกมองด้วยสายตาเกลียดชัง เคลือบแคลงใจ รังเกียจ และไม่ไว้ใจ ในโลกก่อนฟางเซียนเคยเป็นนักร้องชื่อดังในช่วงเวลาหนึ่ง การกลายเป็นจุดสนใจมันควรไม่เป็นปัญหาสำหรับนาง แต่เนื่องจากว่าจุดจบอาชีพนักร้องของนางมันค่อนข้างแย่ ทั้งถูกเกลียดชัง ถูกเหยียดหยาม ถูกด่าทอ และถูกตามก่อกวนทั้งในโลกอินเทอร์เน็ตและในโลกจริงจนแทบประสาทเสีย น้องสาวของนางต้องล้มป่วยอีกครั้งเพราะถูกก่อกวนเช่นนี้ ลองนึกดูสิว่าหากมีของที่น่าขนลุกมาวางไว้ที่หน้าบ้านแทบทุกวันและพอออกไปข้างนอกก็จะถูกนินทาระยะเผาขน หากไม่ปลอมตัวก็คงไม่มีที่สงบสุขให้นางอยู่อีกต่อไป นางต้องพบเจอเรื่องเช่นนั้นหลายเดือน ในช่วงเวลานั้นมันเป็นฝันร้ายของฟางเซียน นางจึงรู้สึกเข็ดขยาดที่จะต้องกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนและในท้ายที่สุดมันก็ได้กลายเป็นปมในใจของนาง เมื่อถูกชาวบ้านรายล้อมฟางเซียนจึงรีบออกจากที่นั่นทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงผู้คน แต่นางก็ยังต้องการรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในเมื่อถามชาวบ้านแถวนี้ไม่ได้นางจึงตัดสินใจไปหาคนที่สามารถให้ข้อมูลกับนางได้ นั่นก็คือเจ้าลูกหมา เขาคือคนที่รอดมาจากปีศาจกินคน เขาไม่มีทางเมินข่าวสารสำคัญนี้อย่างแน่นอน “ท่านอาจารย์?” ลู่เหลียนซึ่งเดินตามฟางเซียนมาติดๆ เอ่ยเรียกนางเสียงเบา เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขามองมือที่สั่นเทาของฟางเซียนด้วยความสงสัยและเป็นกังวล “ไปร้านน้ำชา” ฟางเซียนกำมือแน่นและเดินนำหน้าไป ไม่นานนางก็มาถึงร้านน้ำชาที่เจ้าลูกหมาทำงานอยู่และตะโกนลั่นร้าน “เจ้าลูกหมาอยู่ไหน!” “ข้าชื่อตงตงต่างหากขอรับ!” ไม่นานเจ้าลูกหมาก็วิ่งออกมาจากหลังร้านและบอกชื่อของตัวเอง แต่ฟางเซียนไม่ได้สนใจ นางจัดการลากคอเขาไปในที่ลับตาผู้คน “ข้าอยากรู้เรื่องปีศาจกินคน” ฟางเซียนเกริ่นเข้าเรื่องทันที เจ้าลูกหมามองซ้ายมองขวาและเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฟังอย่างกระตือรือร้น “เมื่อเจ็ดวันก่อนเริ่มมีคนหายตัวไปเหมือนกับที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเดิมของข้าเลยขอรับ แต่ก็มีส่วนที่ไม่เหมือนเช่นกัน อย่างเช่นคนในเมืองไม่ได้หายไปภายในคืนเดียวเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านอื่นๆ อีกทั้งยังมีข่าวลือมาว่ามีคนเห็นปีศาจกินคนด้วยทั้งที่แม้แต่ข้าก็ไม่เคยเห็น ว่ากันว่ามันมีรูปลักษณ์ดั่งหญิงสาวแต่มีเกล็ดและลำตัวดั่งงูพิษด้วยขอรับ” เจ้าลูกหมาเล่า มันน่าแปลก ฟางเซียนคิดอย่างนั้น จากที่ได้ฟังเรื่องเจ้าลูกหมาเล่ามาปีศาจกินคนมันมีพฤติกรรมที่แตกต่างจากครั้งก่อน แม้มันจะมีทางเป็นไปได้ว่าจะไม่ได้เป็นปีศาจตัวเดียวกันแต่ฟางเซียนก็มีลางสังหรณ์ว่าปีศาจกินคนตัวนั้นจะต้องเป็นตัวเดียวกันและจงใจทำเช่นนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นชายแก่คนนั้นคงไม่หาว่านางเป็นปีศาจทั้งที่มันไม่น่าจะมีเรื่องเกี่ยวข้องกับนางเลย “อ๋อ และมีอีกเรื่องที่ข้าเพิ่งได้ยินมาด้วยขอรับ มันเป็นเรื่องของลัทธิประหลาดขอรับ!” เจ้าลูกหมากล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ลัทธิ?” “ใช่ขอรับ ข้าได้ยินมาว่าลัทธินี้ได้ทำให้คนในเมืองฆ่าตัวตายกันเป็นว่าเล่นเลยขอรับ รู้สึกมันจะชื่อว่าลัทธิฆ่าตัวตายขอรับ” ฟางเซียนและลู่เหลียนที่เพิ่งได้ยินเรื่องนี้ถึงกับทำหน้าไม่เชื่อหูของตัวเอง ลัทธิประหลาดแบบนั้นมีในโลกด้วยงั้นเหรอ? [ในระบบไม่เห็นมีบันทึกเกี่ยวกับลัทธิประหลาดนั่นเลยนะ! หรือเพราะความอยากฆ่าตัวตายของคุณมันกลายเป็นโรคติดต่อได้ด้วย!?] ฟางเซียนกลอกตามองบนเพราะคำพูดไร้สาระของระบบ ก่อนที่นางจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของนางสดใสขึ้นมาทันที “หากข้าอยากเข้าร่วมลัทธิฆ่าตัวตายจะต้องทำยังไง?” รูปกากบาทเด้งขึ้นมากระแทกของฟางเซียนทันที [ผมขอห้ามครับ! คุณจะเข้าร่วมลัทธิน่าสงสัยแบบนั้นไม่ได้นะครับ!]
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม