บทที่ 5.1 ปีศาจกินคนและลัทธิฆ่าตัวตาย
ฟางเซียนต้องการค้นหาลัทธิฆ่าตัวตายและปีศาจกินคน แต่ระบบก็แย้งว่าถึงนางจะค้นพบลัทธิฆ่าตัวตายนางก็คงไม่สามารถฆ่าตัวตายได้อยู่ดีและถึงจะเจอปีศาจกินคนนางก็ไม่มีทางถูกกินเช่นกันเพราะโชคอันเหลือล้นของนางเอง แต่ฟางเซียนก็อยากลองออกไปค้นหาดูเผื่อจะโชคดีเจอคนพวกนั้นเข้า
แต่สุดท้ายนางก็ไม่พบและต้องกลับบ้านบนภูเขาเฮยอั้นพร้อมกับความผิดหวัง
“ทำไมความตายถึงได้หายากอย่างนี้!” ฟางเซียนบ่น
ลู่เหลียนวางหนังสือที่กำลังอ่านลงและแอบถอนหายใจแผ่วเบา เมื่อฟางเซียนบ่นถึงความตายมันทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนในใจจนไม่มีสมาธิในการเรียนหนังสือเลย
“ลู่เหลียน เมื่อไหร่เจ้าจะแข็งแกร่งแล้วมาสังหารข้า? ข้าเลี้ยงดูเจ้าเพราะอยากให้เจ้าแข็งแกร่งเหนือทุกคนและมาสังหารข้า หากเจ้าไม่สามารถทำได้ข้าก็คงไม่มีเหตุผลที่จะต้องเลี้ยงดูเจ้าอีกต่อไปแล้ว” ฟางเซียนกล่าวออกมาเสียงเรียบและเย็นชา
[คุณทำอย่างนั้นได้ที่ไหนกันล่ะครับ] ระบบหัวเราะ
ฟางเซียนทำหน้าบึ้งตึง นางรู้อยู่แล้วล่ะว่าทำไม่ได้ นางพูดออกไปแบบนั้นก็เพราะอยากกดดันลู่เหลียนเท่านั้นเอง หากเด็กคนนี้ไม่ได้รับการช่วยเหลือและการสนับสนุนจากนางเขาคงไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ เพราะงั้นการกดดันให้เขาพยายามมากยิ่งขึ้นเพื่อชีวิตของตัวเขาเองมันน่าจะทำให้เขาสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองเร็วยิ่งขึ้น
“มันน่าจะดีกว่าหากข้าออกไปตามหาปีศาจกินคนเพื่อให้มันสังหารข้าแทนที่จะรอให้เจ้าแข็งแกร่ง” ฟางเซียนยังคงกล่าวต่อไป
เมื่อจบสิ้นประโยคนี้ลู่เหลียนก็ไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสืออีกต่อไป เพียงแค่ได้ยินว่าจะมีคนอื่นฆ่าฟางเซียนเขาก็รู้สึกกระวนกระวายและสงบใจไม่ลงแล้ว
นางต้องการให้เขาฆ่านางไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงได้เอ่ยถึงคนอื่น?
“ข้ารับปาก...ว่าจะช่วยสังหารท่านอาจารย์เอง” เพราะงั้นอย่าพูดว่าจะให้คนอื่นทำแทนข้า... ลู่เหลียนก้มหน้าลงและซ่อนมือที่กำแน่นไว้ใต้แขนเสื้อ
นางบอกว่านางเลี้ยงดูเขาเพื่อให้เขาสังหารนาง แต่ทว่านางกลับพูดว่าจะให้คนอื่นสังหารนางแทนเขา นั่นหมายความว่าเขาจะไร้ประโยชน์ใช่หรือไม่?
“ก็หวังว่าเจ้าจะทำได้” ฟางเซียนคาดหวังไว้อย่างนั้นจริง
ลู่เหลียนยังมีความรู้สึกสับสน เขาทราบดีว่าวิธีการที่ฟางเซียนต้องการให้เขาตอบแทนมันแปลกประหลาดอย่างมาก การที่จะต้องสังหารผู้มีพระคุณมันทำให้เขารู้สึกผิดไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาสามารถตอบแทนได้เพราะฟางเซียนต้องการให้เขาทำเช่นนั้น
ทว่าการสังหารฟางเซียนมันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะแม้ว่าฟางเซียนจะอยากตายแต่นางก็ไม่ยอมฆ่าตัวตายหรือยอมให้คนอื่นฆ่าอย่างง่ายดาย แม้ว่ามันจะดูขัดแย้งแต่ความตายคือความต้องการอย่างแท้จริงของฟางเซียนแน่นอน
บางทีการที่ฟางเซียนไม่ยอมตายง่ายๆ อาจเป็นเพราะศักดิ์ศรีของผู้แข็งแกร่งที่จะไม่ยอมตายอย่างไร้ศักดิ์ศรี ลู่เหลียนคิดเช่นนั้นและเพื่อเป็นการให้เกียรติและทำตามความปรารถนาของฟางเซียนให้สำเร็จเขาจึงจำเป็นจะต้องเอาชนะฟางเซียนให้ได้ก่อนจะสังหารนางตามที่นางหวัง แน่นอนว่าการจะทำเช่นนั้นมันไม่ง่ายดายเพราะว่าฟางเซียนแข็งแกร่งมากและเขาไม่มีความสามารถเพียงพอในตอนนี้ เขาจำเป็นต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้
แต่กว่าเขาจะสามารถแข็งแกร่งได้ทัดเทียมฟางเซียน มันจำเป็นต้องใช้เวลาฝึกฝนนานมาแน่ ลู่เหลียนจึงกังวลว่าหากเขาใช้เวลานานเกินไปฟางเซียนอาจจะอดทนรอไม่ไหวและเลือกที่จะให้คนอื่นสังหารตัวเองแทนเขา เมื่อคิดเช่นนั้นลู่เหลียนก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวาย เขารู้สึกเหมือนถูกแย่งชิงบางอย่างไป...
เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แทบตลอดทั้งวันจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน แต่เขาก็ยังคงคิดมากจนนอนไม่หลับ เขาต้องกำจัดเรื่องค้างคาใจเสียก่อนถึงจะสามารถนอนหลับได้อย่างสนิทใจ
ลู่เหลียนจึงตัดสินใจลุกออกจากเตียงและเดินไปเคาะประตูห้องด้านข้างซึ่งเป็นห้องของฟางเซียนสองสามครั้ง แต่ทว่ามันก็ไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าของห้อง เขาจึงถือวิสาสะแอบเปิดประตูเข้าไปและเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงของฟางเซียนที่ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่อง และหลังจากนั้นลู่เหลียนก็เกิดความรู้สึกสับสนว่าตัวเองมาทำอะไรตรงนี้และควรทำอะไรต่อไปเพราะว่าเขาไม่ได้กลั่นกรองความคิดก่อนจะตัดสินใจเข้ามาในห้องของฟางเซียนเลยสักนิด
เขาออกอาการลนลานพลางแอบมองสตรีที่นอนอยู่บนเตียง ทั้งที่ยามตื่นมักจะเรียกหาความตายอย่างสิ้นหวังแทบตลอดเวลา แต่ทว่ายามนอนหลับกลับดูสงบสุขและดูเหมือนจะฝันดีมากเสียด้วย ทำไมมีเพียงแค่เขาที่คิดมากและยังนอนไม่หลับเลยแม้แต่น้อย เมื่อข่มตาหลับไม่ได้ลู่เหลียนจึงไม่คิดจะกลับห้องนอนในเร็วๆ นี้
เขายืนเฝ้าฟางเซียนนอนหายใจอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการหายใจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการมีชีวิต คนที่ต้องการความตายอย่างฟางเซียนคงไม่ต้องการมันเพราะคนตายไม่จำเป็นต้องหายใจ
หากเขาหยุดลมหายใจของนางมันจะถือว่าเขาได้ทำตามความปรารถนาของนางใช่หรือไม่?
ลู่เหลียนคิดดังนั้นจึงปีนขึ้นไปบนเตียงและขึ้นคร่อมร่างของฟางเซียนอย่างเงียบเชียบ เขาพยายามเคลื่อนไหวและหายใจแผ่วเบาเท่าที่จะทำได้ขณะวางมือทั้งสองข้างลงบนลำคอขาวของฟางเซียน จากนั้นลู่เหลียนก็ค่อยๆ ออกแรงบีบ
ทุกการกระทำของลู่เหลียนฟางเซียนไม่รู้ตัวเลยสักนิด มีเพียงระบบห้ามฆ่าตัวตายเท่านั้นที่เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น
[แย่แล้ว! คุณฟางเซียนได้โปรดตื่นเถอะครับ คุณจะถูกฆ่าแล้ว!] ระบบตะโกนเรียกฟางเซียนด้วยความตื่นตระหนก แต่ถึงแม้ว่าระบบจะพยายามตะโกนสุดเสียงฟางเซียนก็ยังคงนอนหลับ
ระบบกังวลมากจนลนลานเพราะถ้าฟางเซียนไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะถูกฆ่าตายเช่นนี้กฎห้ามฆ่าตัวตายก็จะไม่ทำงาน นั่นหมายความว่าฟางเซียนจะไม่ปกป้องตัวเอง! ระบบจึงได้แต่หวังพึ่งพาโชครอดตายจากการถูกฆ่าของฟางเซียนเท่านั้น
[ท่านโชครอดตายขอรับโปรดทำงานของท่านให้ดีนะขอรับ เพราะผมไม่อยากมีงานเพิ่ม!] ระบบภาวนา หากเป็นไปได้มันก็อยากจะลุกขึ้นมาเต้นระบำขอพร
ขณะนั้นลู่เหลียนก็บีบคอของฟางเซียนแน่นมากขึ้น ฟางเซียนเริ่มแสดงสีหน้าทรมานจากอาการหายใจไม่ออกและเริ่มนอนกระสับกระส่าย แต่มือของนางกลับไม่ยอมปัดป้องสิ่งที่ทำให้ตัวเองหายใจไม่ออกเพราะจิตใต้สำนึกของนางต้องการความตาย สัญชาตญาณในการดิ้นรนเอาตัวรอดของฟางเซียนจึงถูกกดต่ำจนไม่อาจเผยตัวออกมาได้
ลู่เหลียนมองสีหน้าทรมานของฟางเซียนและขมวดคิ้วของเขาด้วยความรู้สึกสับสน
ทำเช่นนี้ดีแล้วจริงงั้นหรือ? หากนางตายไปแล้วเขาจะทำอย่างไรต่อ? คนที่ดีกับเขา นอกจากนางแล้วก็ไม่มีใครอีกแล้ว หากเขาฆ่านางเพื่อตอบแทนบุญคุณ แล้วต่อจากนี้ไปใครจะมอบความใจดีให้กับเขาเหมือนที่นางทำล่ะ?
ดวงตาของลู่เหลียนสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นฟางเซียนเริ่มหายใจติดขัดและมีใบหน้าซีดขาว ในขณะที่ร่างของฟางเซียนเริ่มแน่นิ่งลู่เหลียนก็รีบปล่อยมือออกจากลำคอของฟางเซียนทันที ฟางเซียนกลับมาหายใจปกติอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นมือของลู่เหลียนก็ยังคงสั่นไม่หยุด
เขาตัดสินใจลงมือกระทำตามความคิดโดยลืมคิดทบทวนอีกแล้ว นั่นทำให้เขาเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปมาก
“ขอโทษ...ข้าทำไม่ได้ ข้าทำตามสิ่งที่ท่านปรารถนาไม่ได้ ท่านดีกับข้ามาก ไม่มีใครเลยที่ดีกับข้าเช่นนี้” ลู่เหลียนพึมพำเสียงสั่นราวกับจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ
ลู่เหลียนรู้ตัวแล้วว่าตัวเองไม่สามารถตอบแทนบุญคุณฟางเซียนด้วยวิธีนี้ได้อย่างแน่นอน เขาคิดว่ามันต้องมีวิธีอื่นที่เขาสามารถตอบแทนฟางเซียนได้ อย่างเช่น เงินทอง? ความแข็งแกร่งของเขา? หรือไม่ก็อำนาจ? หากเติบโตขึ้นเขามั่นใจว่าตัวเองจะสามารถหาสิ่งเหล่านั้นมาให้ฟางเซียนได้
หรือสิ่งที่นางต้องการจะเป็นความสุขกัน? ความสุขอาจจะทำให้นางอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป “มีชีวิตอยู่กับข้าตลอดไป...”
ลู่เหลียนปัดปอยผมบนแก้มเนียนพลางจ้องมองใบหน้างามอย่างไม่กะพริบตา ฟางเซียนมีความงามอย่างน่าเหลือเชื่อ น้อยคนนักที่จะสามารถเทียบได้ แต่ทว่าแววตากลับหม่นหมองและไร้แววตาแห่งชีวิตชีวาชวนให้รู้สึกว่าบรรยากาศมืดมน หากว่าเขาสามารถทำให้แววตาเช่นนั้นของฟางเซียนหายไปมันจะดีเพียงไหนกันนะ?
เขาจินตนาการถึงฟางเซียนในยามที่มีชีวิตชีวา เขารู้สึกดีอย่างประหลาด การทำให้ฟางเซียนมีชีวิตอย่างมีความสุขจึงกลายเป็นเป้าหมายของเขา
เมื่อได้ข้อสรุปแล้วลู่เหลียนก็หมดเรื่องกังวลและรู้สึกง่วงขึ้นมาทันที เขาจึงตัดสินใจล้มตัวลงนอนข้างตัวฟางเซียนและกอดนางเพื่อหาความอบอุ่นตลอดทั้งคืน
ทางด้านระบบห้ามฆ่าตัวตายเห็นดังนั้นก็รู้สึกโล่งอกอย่างมากที่ลู่เหลียนไม่กล้าลงมือฆ่าฟางเซียน โชคดีที่เขาสำนึกได้ว่าเขาควรตอบแทนบุญคุณฟางเซียนอย่างถูกต้องและไม่คิดจะทำตามคำขอที่โคตรจะผิดปกติของฟางเซียน และมันคงต้องขอขอบคุณโชคดีอันมากมายมหาศาลของฟางเซียนด้วยเพราะมันเชื่อว่าโชคดีมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้ฟางเซียนรอดมาได้
และเพื่อให้โชคดีช่วยเหลือต่อไประบบห้ามฆ่าตัวตายจึงขอสัญญาว่าจะให้แต้มลบกับฟางเซียนน้อยลง! แม้จะรู้ว่าฟางเซียนคงไม่ปลื้มใจสักเท่าไหร่นักก็ตาม
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟางเซียนตื่นเร็วกว่าปกติเพราะความรู้สึกร้อนและอึดอัด นางนึกสงสัยว่ามันเป็นเพราะอะไรจึงลืมตาขึ้นมาดู สิ่งแรกที่นางพบก็คือหงอนนกยูงสีขาวลวดลายสีแดง มันเป็นของลู่เหลียนอย่างไม่ต้องสงสัย พอก้มหน้าลงไปมองนางก็พบว่าแขนขาของลู่เหลียนกำลังกอดก่ายบนร่างกายของนาง
ฟางเซียนกะพริบตาปริบๆ อย่างนึกสงสัยว่าลู่เหลียนมานอนบนเตียงของนางได้อย่างไรและตั้งแต่เมื่อไหร่
[อรุณสวัสดิ์ครับคุณฟางเซียน] ระบบกล่าวทักทายและกล่าวต่อว่า [เร็วๆ นี้จะมีภารกิจค้นหากระบี่ประจำตัว เพราะงั้นผมขอมอบภารกิจให้คุณฝึกวิชากระบี่ให้กับลู่เหลียนครับ]
“เรื่องนั้นไว้ก่อน สิ่งที่ฉันสงสัยตอนนี้ก็คือทำไมลู่เหลียนถึงมานอนบนเตียงของฉันได้?” เมื่อระบบได้ยินคำถามของฟางเซียนมันก็เงียบไปครู่หนึ่ง
[เขานอนไม่หลับก็เลยแอบเข้ามานอนกับคุณน่ะ ก็แหม เขาเป็นแค่เด็กอายุ 7 ขวบเองนะครับ ไม่แปลกที่จะโหยหาอ้อมกอดจากแม่] ระบบบอกความจริงครึ่งหนึ่งและสร้างเรื่องครึ่งหนึ่ง เพราะหากบอกฟางเซียนว่าลู่เหลียนมาเพื่อฆ่านางผลลัพธ์คงออกมาไม่น่าจะดีนัก
“เป็นงั้นเหรอ?” ฟางเซียนไม่คิดเลยว่าลู่เหลียนจะมีมุมแบบนี้ นางเห็นว่าเขาเป็นคนเข้มแข็งและมีจิตใจมั่นคงกว่าเด็กทั่วไปจึงเผลอคิดไปว่าเขาไม่ใช่เด็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าเด็กยังไงก็คือเด็ก เด็กยังคงต้องการพ่อแม่
เพราะนึกเห็นใจลู่เหลียน ในเช้าวันนี้ฟางเซียนจึงทำอาหารเมนูพิเศษให้กับเขา ลู่เหลียนถึงกับแสดงท่าทีแปลกใจเมื่อเห็นอาหารเช้าเรียงรายอยู่บนโต๊ะเพราะว่าปกติแล้วฟางเซียนไม่เคยจะตื่นเช้าขึ้นมาทำอาหารเช้าเลย ส่วนมากเขาจะได้ทานผลไม้แทนอาหารเช้าเสียมากกว่า เหตุการณ์เช้าวันนี้จึงถือว่าเป็นเรื่องแปลก
แต่เมื่อเห็นว่าฟางเซียนไม่ได้มีท่าทีผิดปกติลู่เหลียนจึงไม่ได้เอ่ยถาม แม้จะแปลกใจด้วยว่าทำไมฟางเซียนถึงไม่เอ่ยถามถึงเรื่องที่เขาแอบเข้าไปนอนในห้องและเรื่องรอยช้ำบนคอ แต่ในเมื่อไม่ถามลู่เหลียนก็ไม่คิดจะกล่าวถึงเช่นกัน
และหลังจากนั้นฟางเซียนก็กระตือรือร้นที่จะเข้าไปในเมืองเหยียนเนื่องจากว่านางต้องการพบปีศาจกินคนหรือไม่ก็ลัทธิฆ่าตัวตายที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ รวมถึงตัวอะไรสักอย่างที่น่าจะใช้หน้าตาของนางไปก่อเรื่อง เพราะหากไม่ใช่อย่างนั้นชายแก่คนนั้นคงไม่หาว่านางเป็นปีศาจ
“เจ้าไปเล่นที่อื่นก่อนแล้วกัน ข้าจะไปตามรวบรวมข้อมูลเสียหน่อย” เพื่อตามหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพวกมันฟางเซียนจึงต้องแยกกับลู่เหลียนเพื่อที่นางจะได้เคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก
แต่เมื่อลู่เหลียนได้ยินดังนั้นเขากลับมีท่าทีไม่ยินยอมเชื่อฟัง เขายึดแขนเสื้อของฟางเซียนไว้เพื่อรั้งนางและกล่าวอย่างเอาแต่ใจว่า “ข้าจะไปด้วย”
“ข้าให้ถุงเงินกับเจ้าแล้ว อยากจะซื้อขนมเท่าไหร่ก็ได้ตามใจเจ้า เพราะงั้นไม่ต้องตามข้ามา” ฟางเซียนดึงแขนเสื้อของตัวเองกลับมา ลู่เหลียนมีสีหน้าไม่สบายใจ
“ทำไมท่านอาจารย์ต้องตามหาพวกนั้นด้วยล่ะขอรับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวอย่างชัดเจน
ฟางเซียนจึงตอบทันทีว่า “เพราะข้าหวังให้มันฆ่าข้ายังไงล่ะ”
“ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่ามีแค่ข้าที่สังหารท่านได้!” ลู่เหลียนพูดขึ้นเสียงจนเหมือนตะคอก ฟางเซียนค่อนข้างประหลาดใจเมื่อได้เห็นแววตาตัดพ้อของลู่เหลียน ทำไมเขาดูไม่พอใจเมื่อนางบอกว่าจะให้คนอื่นฆ่าตัวเอง? แถมเขายังพูดราวกับว่าต้องการเป็นคนเดียวที่สามารถฆ่านางได้อย่างไรอย่างนั้น
“แล้วทำไมเจ้าไม่ฆ่าข้าเสียล่ะ?” ฟางเซียนเอ่ยถามออกไป ลู่เหลียนผงะและเบนสายตาไปมองทางอื่น พฤติกรรมเช่นนั้นบ่งบอกว่าเขาต้องการปกปิดบางสิ่ง “หากเจ้าไม่ฆ่าข้า ข้าจะให้คนอื่นฆ่าข้าแทนเจ้าก็ถือว่าถูกต้องแล้วนี่”
จากนั้นฟางเซียนก็เดินจากไป ไม่สนใจลู่เหลียนอีก แต่ลู่เหลียนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาก้มหน้ามองพื้นและกำมือแน่นเพื่ออดกลั้นอารมณ์ขุ่นเคือง
หากว่าฟางเซียนถูกสังหารโดยคนอื่นหัวใจของเขาคงเต็มไปด้วยความชิงชังอย่างแน่นอน ชีวิตของฟางเซียนต้องเป็นของเขา ไม่ใช่ของใครหน้าไหนทั้งสิ้น!
ในขณะเดียวกันนั้นฟางเซียนรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา
“มันคือจิตสังหารอย่างที่ในนิยายพูดกันรึเปล่า” ฟางเซียนลูบแขนตัวเองอย่างไม่สบายตัว
[พูดถึงอะไรกันครับ?]
“ช่างเถอะ นายแค่บอกสิ่งที่นายรู้มาก็พอ ฉันอยากได้เบาะแสเกี่ยวกับปีศาจกินคนและลัทธิประหลาดนั่น”
[สิ่งที่ผมรู้ส่วนมากจะมาจากข้อมูลในระบบ แต่ระบบข้อมูลไม่ได้อัพเดตข้อมูลที่เกิดขึ้นบนโลกทุกวันเพราะงั้นผมจึงไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกทุกอย่าง]
“ที่แท้แค่ทำเป็นรู้มาก ไร้ประโยชน์จริง” ฟางเซียนบ่นพึมพำ “การรับรู้ของนายเป็นยังไงกันแน่”
[ผมสามารถรับรู้สึกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวคุณในระยะประมาณ 500 เมตรได้ครับ]
“งั้นก็ค้นหาสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นรอบตัวฉันซะ! เมืองนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตเสียหน่อย มันหาได้ไม่ยากหรอก” ฟางเซียนว่า
[คุณกำลังหาทางตาย ทำไมผมต้องช่วยด้วยล่ะครับ] ระบบไม่ยอมช่วยเหลือ ฟางเซียนก็ไม่ง้อระบบและหาเบาะแสด้วยตัวเอง นางเดินไปรอบเมืองจนกระทั่งได้ยินข่าวว่ามีคนเพิ่งฆ่าตัวตาย ฟางเซียนแสร้งเข้าไปมุงดูศพพร้อมกับชาวบ้านเพื่อฟังข่าวลือ
จากที่ได้ฟังชาวบ้านลือกัน ผู้ตายฆ่าตัวตายจริงไม่ได้ถูกฆ่าตายแต่อย่างใด แต่ทว่าพวกเขากลับหาแรงจูงใจในการฆ่าตัวตายของผู้ตายไม่ได้เพราะก่อนตายผู้ตายไม่เคยมีท่าทีว่าอยากฆ่าตัวตายเลยสักนิด และชาวบ้านยังลือกันว่ามีคนเห็นผู้ตายได้พูดคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งก่อนจะฆ่าตัวตายด้วย หญิงสาวคนนั้นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ตายฆ่าตัวตายก็เป็นได้ ถ้ามันเป็นเรื่องจริงหญิงสาวคนนั้นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนเพราะสามารถทำให้คนที่ไม่เคยมีเค้าลางคิดจะฆ่าตัวตายมาฆ่าตัวตายได้
ฟางเซียนคิดว่ามันอาจจะเป็นการสะกดจิต ไม่อย่างนั้นคนพวกนั้นคงไม่คิดจะฆ่าตัวตายกันง่ายขนาดนี้ ซึ่งในขณะที่ฟางเซียนกำลังคาดเดาถึงสาเหตุของการฆ่าตัวตายคนกลุ่มหนึ่งก็ได้เดินฝ่าฝูงชนเข้ามาจากทางด้านหลังของนาง
“ทุกท่านช่วยหลบกันหน่อยได้หรือไม่ พวกเราศิษย์จากสำนักเฉินต้องการตรวจสอบศพอย่างละเอียด”
ตัวของฟางเซียนแข็งทื่อเมื่อได้ยินชื่อของสำนักและน้ำเสียงที่คุ้นเคย ไม่ผิดแน่เจ้าของเสียงก็คือ ฮุ่ยหลิง น้องชายคนเล็กของสกุลฮุ่ย เพราะคิดว่าต้องเป็นเขาแน่ฟางเซียนจึงยืนนิ่งอยู่กับที่เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งเดินผ่านนางไปเพื่อเข้าไปดูศพ ซึ่งชายคนนั้นก็คือฮุ่ยหลิงจริงๆ และเขาก็มาพร้อมกับพี่ชายทั้งสองของเขา ฮุ่ยหวงและฮุ่ยเหอ
[คุณฟางเซียน ผมมีข่าวมาบอก พี่น้องฮุ่ยมาที่เมืองนี้ครับ!] ระบบพูดขึ้นมาในหัวของฟางเซียนด้วยน้ำเสียงร่าเริงพร้อมกับปรากฏอิโมจิยิ้มแจ่มใส
สีหน้าของฟางเซียนแลดูว่างเปล่า แกบอกช้าไปไหม!?
“ศพของคนผู้นี้ไม่มีร่องรอยของการถูกสังหาร คนผู้นี้ฆ่าตัวตายจริงไม่ผิดแน่” ฮุ่ยเหอกล่าวหลังจากตรวจสอบศพ
“ลัทธิฆ่าตัวตายอาจจะอยู่ในเมืองแห่งนี้แล้ว รวมถึงปีศาจกินคนด้วย” ฮุ่ยหวงพูด
“ถ้าเช่นนั้นเราไปหาคนพวกนั้นให้พบกันขอรับ” ฮุ่ยหลิงพูดอย่างกระตือรือร้น