ดวงตาคู่งามตรงหน้าเบิกขึ้นเล็กน้อย อย่างตกใจกับท่าทางและคำพูดของเขา…
ทำไมเขาจะต้องแสดงออกอย่างดุดันกับเธอเช่นนี้ เธอไม่ได้ทำอะไรผิดมากมายเลยนะ ก็แค่ย่องออกจากห้องในคืนนั้นเท่านั้นนี่! และจากกระเซ้าเมื่อวันก่อน...แสดงว่า ที่ผ่านมาเขารู้ว่าคนที่รับหน้าที่ตกแต่งบ้านพักต่างอากาศหลังนั้นเป็นเธอล่ะสินะ
มือบางค่อย ๆ คว้าเอากระเป๋าถือมาเข้ามากอดแนบอก กระนั้นก็ยังทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ว่า ... บ้านหลังนั้น? "คุณเป็นเจ้าของบ้านนี่เอง" เสียงหวานปลุกให้สายตาคมที่กำลังลอบมองสรีระของหญิงสาวที่แตกต่างไปจากห้าปีก่อนรู้ตัว เขาจึงได้พยักหน้า
"คุณตั้งใจ เพื่ออะไรคะ" เธอหมายถึงถ้าบ้านพักหลังนั้นเป็นของเขา ที่ผ่านมาเขาไม่ได้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าของบ้าน ก็เพื่อจะล่อหลอกให้เธอมาพบเขาที่นี่ มีการวางแผนอย่างรัดกุม!
"ยังจะมาถามอีกว่าเพื่ออะไร!"
พิมพ์ลดาเม้มริมฝีปากเข้าไว้ด้วยกัน เห็นท่าทางอันโกรธจัดของเขาทำให้เธอรีบทบทวนเรื่องราวเมื่อห้าปีก่อนในคืนนั้น เขาลงทุนตั้งมากมายเพียงแค่...เธอไม่ยอมนอนกับเขาแค่นั้นหรอกหรือ ความหวาดกลัวแล่นลิ่วเข้ามาที่ดวงใจของหญิงสาว ยามเห็นแววตาคมกล้าราวกับมีเปลวไฟร้อนระอุอยู่ตรงหน้า
แม้จะกลัวแค่ไหน แต่หญิงสาวก็พยายามกลบเกลื่อน เธอเลื่อนงานที่เตรียมมาจะเปิดให้เขาดู "คุณอยากดูแบบ..."
ทว่า ฝ่ามือของเปลวตะวันจึงตบลงบนโต๊ะเล็กน้อย แต่แม้จะเล็กน้อยก็ทำเอาร่างบางสะดุ้งไหวขึ้น "อย่ามาทำเป็นไก๋!" เขากัดฟันถามอีก "นาฬิกาเรือนนั้นของฉันมันอยู่ที่ไหน!"
"นาฬิกา?" พิมพ์ลดาพึมพำพลางส่ายหน้า แล้วถามอีก "คุณพูดถึงเรื่องอะไร?"
เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เอ่ยอีกว่า "แค่นาฬิกา ยังไม่รวมถึงเงินสดอีกหนึ่งก้อน"
คราวพิมพ์ลดาถึงกับงุนงงหนัก "ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น นี่ถ้าคุณคิดว่า..."
เปลวตะวันมองใบหน้างามตรงหน้า เวลาห้าปีที่ผ่านมานั้นคงจะนาน เธอคงลืมไปแล้วกระมังว่าทำอะไรกับเขาไว้บ้าง
"คุณจะทำอะไรฉันไม่ได้หรอกค่ะ อย่างน้อยพี่พรรณเจ้าของบริษัทก็รู้ว่าฉันทำอะไรอยู่กับใคร ฉันอยากจะคุยเรื่องของเรา...เอ่อ ฉันหมายถึงแค่เรื่องงานอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉันมาที่นี่ก็ด้วยเรื่องงาน"
"ทำไมถึงยังตีหน้าใสซื่อไม่รู้สึกรู้สาอะไรอยู่ได้ ผู้หญิงอย่างเธอนี่ต้องให้เรียกว่าอะไร ทอดตัวนอนให้ผู้ชายใช้มือสำเร็จความใคร่ให้…" "หยุด!" พิมพ์ลดาเดือดดาลขึ้นบ้างทั้งโกรธอาย
เขาเหมือนยิ้มพึงพอใจที่สามารถทำให้คนที่เสแสร้งตีหน้าเนียนไม่รู้เรื่องระหว่างกันแสดงอาการอ่อนไหวออกมาแล้ว เปลวตะวันผุดลุกขึ้น หญิงสาวมองตามชายหนุ่มตรงหน้า เขาถอดสูทสีกรมเข้ารูปพาดลงกับพนักเก้าอี้ ทำท่าจะเดินมาหาเธออย่างไรอย่างนั้น
"องุ่นนี่คือ...ชื่อในวงการใช่มั้ย"
เสียงทุ้มถามเนิบนาบ...หากตั้งใจฟังดี ๆ จะรู้ว่าแฝงความโหยหาบางอย่างเอาไว้ด้วย พิมพ์ลดาตัวชาวาบไปชั่วขณะ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเรียกเธอด้วยชื่อนี้อีก...
ชื่อในวงการหรือ หึ! เป็นชื่อที่เธอเกลียดและไม่อยากได้ยินอีกแล้ว!
ดวงตาคู่หวานเบิกกว้าง ... ยามเห็นเขาเดินตรงมา แถมจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ระบุความปรารถนาบางอย่างเอาไว้ เขาเดินพลางมือสองข้างก็ปลดเนคไทพลาง จากนั้นจึงโยนมันไปที่สูทตัวนั้นวางอยู่ แล้วก็กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มจังหวะเนิบนาบเช่นเดิมว่า
"มา เรามา...ทวนความหลังกันหน่อยจะดีมั้ย"
"มะ ไม่ค่ะ!" พิมพ์ลดาปฏิเสธเสียงสั่น ใครจะไปคิด 'ลูกค้า' ที่เธอรับตกแต่งบ้านหลังนั้นให้ จะเป็น 'ลูกค้าเก่า' ที่ถือว่าเป็นรายเดียวและรายแลกของวงการที่เธอใช้ชื่อว่า...องุ่น นั่นเอง
"ฉันไม่ได้โกรธเธอที่หอบเงินหนีหรอกนะ...แม่สาวไซต์ไลน์เกรดเอบวก"
เรียกแล้วก็อดยิ้มหยันเธอไม่ได้ และจริง ๆ เขาไม่ได้ติดใจเรื่องเงินหรอก เพราะสำหรับเขาเงินถือว่าเป็นเรื่องเล็ก ไม่เทียบเท่ากับความรู้สึกซาบซ่านที่ยังตรึงที่ริมฝีปากนี้ "จะปล่อยให้ค่ำคืนสวาทของเรากลายไปเป็นเพียงฝันในชั่วข้ามคืนอย่างนั้นหรือ..."
"หยุดนะ! คุณ!" หญิงสาวลุกขึ้นคว้ากระเป๋าและสิ่งของได้ก็หมายจะวิ่งไปยังประตู แต่มือหนาเขาก็ว่องไวและราวกับเป็นคีมเหล็กอันใหญ่ที่จับเข้าที่ข้อมือเธอหมับก็บีบแน่นหนาไม่ให้หลุดอีกเลย
"ปล่อยค่ะ! แม้คุณบอกว่าได้จ่ายเงินซื้อโซนห้องอาหารเอาไว้แล้วทั้งโซน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำอะไรฉันก็ได้ ฉันโทรตามคนมาช่วยแล้วนะ"
ดวงตาคมกล้าของเปลวตะวันเบิกเล็กน้อย นึกขึ้นได้ว่า เมื่อกี้เห็นเธอทำอะไรสักอย่างในกระเป๋าอ้อ! แอบกดมือถือโทรออกนี่เอง ว่าแล้วจึงใช้มือข้างหนึ่งกระชากกระเป๋าของหญิงสาว ควานหามือถือจนเจอและเห็นว่ากำลังมีการโทรออกจริง เขาจึงรีบกดวางก่อนจะโยนมันลงไปที่โต๊ะ และมันก็ไถลไปตามจนไปสุดตรงหัวมุมโต๊ะอาหาร
พิมพ์ลดามองมือถือที่เขาโยนออกไปด้วยความไม่พอใจ หันหน้ากลับมาก็พยายามใช้สองมือที่ถูกมือเขารวบทุบเข้าที่ลำตัวเขา "ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ! ปล่อย!"
"องุ่น… คืนนั้นไม่เห็นเธอพูดแบบนี้ ฉันแตะต้องตรงไหน ไม่เห็นจะทำท่ารังเกียจกันถึงขนาดนี้เลย ออกจะชอบด้วยซ้ำไปนี่"
หญิงสาวเม้มริมฝีปากแนบแน่น มิน่าล่ะ หลายวันก่อนถึงได้คิดถึงแต่เรื่องนี้ระหว่างเขาและเธอขึ้นมาอีก ที่แท้ก็เป็นลางสังหรณ์บ่งบอกว่าเธอจะได้กลับมาพบเขาอีกนี่เอง แต่แค่นึก ไม่ได้หมายความว่าเป็นความหมกหมุ่นว่าชอบหรือต้องการมันอีกนะ!
ใบหน้าหล่อร้ายกาจเลื่อนลงต่ำแนบชิดเข้ากับใบหน้างามที่มีแต่แววตระหนก ก่อนจะซุกจมูกโด่งลงตรงซอกคอหอมกรุ่น เพียงเท่านี้...ร่างกายเธอก็มีการสนองตอบ เข่าอ่อนลำตัวบอบบางเกือบละลายลงสู่อ้อมอกแกร่งของเขาแล้ว
เปลวตะวันเงยหน้าส่งเสียงหัวเราะชอบใจ "นี่ขนาดแค่แตะต้องแค่นี้ถึงกับเข่าอ่อนเลย หรือว่าคืนนั้นเธอก็มีอารมณ์คั่งค้างไม่ต่างกัน หืม? ถ้ารู้ว่าคั่งค้างแล้วจะย่องออกจากห้องไปทำไม อ้อ! ที่ย่องเพราะต้องขโมยของของฉันไปนี่เอง"
"คุณพูดเรื่องขโมยอะไรฉันไม่รู้เรื่อง และฉันไม่ได้ทำค่ะ ปล่อย! อื้อ..." เสียงหวานกระด้างที่ตอบโต้ออกมาก็กลายเป็นเสียงอู้อี้ เขาไม่ยอมฟัง ตั้งท่าจะเคลมเธอท่าเดียว หญิงสาวพลิกใบหน้าหนีใบหน้าหล่อร้ายนั้นไปมา ไม่ยอมให้เขาแนบริมฝีปากจูบเธอได้ง่าย ๆ แน่ แล้วก็เริ่มหวาดกลัวจนน้ำตาซึมไหล เขาจะมาลวนลามเธอที่นี่ไม่ได้ แม้ห้าปีก่อนเธอจะเคยเลือกเส้นทางนั้น แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว เธอไม่ได้เป็นสาวไซด์ไลน์ที่ขายตัวแลกเงินแล้วเสียหน่อย
"ปล่อย!"
เปลวตะวันใช้มือมือแกร่งข้างหนึ่งรวบข้อมือบางทั้งสอง ก่อนจะใช้อีกข้างเลื่อนไปตรงสะโพก แม้จะมีเนื้อผ้าขวางกันแต่ก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มของผิวเนื้อเธอ แล้วจึงกดสะโพกเธอให้แนบชิดเข้ามาสัมผัสกับบางสิ่ง...
ดวงตางามเบิกกว้างขึ้นอีก ความร้อนพุ่งปรี๊ดไปทั่วใบหน้า และขณะที่สมองเธอหมุนเร็วจี๋อยู่ จู่ ๆ เสียงริงโทนจากมือถือก็ดังขึ้น เป็นเสียงที่พิมพ์ลดาได้ตั้งเอาไว้ให้เป็นเสียงเฉพาะของใครบางคน ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ
พิมพ์ลดาพลิกใบหน้างามกลับ อ้อนวอนทั้งแววตาและน้ำเสียงอันน่าสงสารทันที "ฉะ ฉันต้องรับสายนี้ค่ะ..." พิมพ์ลดาสบตากับเขาตรง ๆ ดวงตาคมคู่ที่ห่างกันเพียงลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารด
เปลวตะวันเหมือนไม่ฟัง เห็นเป็นโอกาสที่เธอพลิกใบหน้ามาตรงๆ จึงแนบริมฝีปากร้อนเข้ากับเรียวปากระเรื่อ ทว่าหญิงสาวไม่ขัดขืน ไม่ต่อสู้ยืนให้ตนจูบอย่างนิ่งงัน ที่สำคัญเขาสัมผัสถึงอะไรที่เย็นเหมือนสายน้ำ ทำให้ชายหนุ่มค่อย ๆ ถอนใบหน้าออกมา จึงเห็นเป็นน้ำตาที่กำลังไหลเป็นทางจากหางตาลงมาสู่แก้มแดงปลั่งนั่นเอง
พิมพ์ลดาสบตาอย่างเว้าวอน แล้วบอกเขาด้วยอาการข่มเสียงสะอื้นเอาไว้ว่า "คุณจะทำอะไรฉันก็ได้ต่อจากนี้...แต่ ขอฉันรับสายนี้ก่อนได้มั้ยคะ..."
คำวิงวอนทั้งน้ำตา ให้เปลวตะวันรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา…
ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะน้ำตาที่ไหลซึมเอ่อออกมาจากแววตาคู่อ้อนวอนตรงหน้าหรือเปล่า จึงทำให้มือแกร่งหยุดการรุกราน เขาจำต้องปล่อยตัวหญิงสาวให้เป็นอิสระชั่วคราวก่อน
ครั้นหลุดจากการกอดรัดแล้ว พิมพ์ลดาก็ทำท่าเหมือนตั้งหลัก ปรับอารมณ์สักเล็กน้อย พร้อมกับเช็ดน้ำตาออกจากแก้มนวลทั้งสองข้าง เปลวตะวันจึงถือวิสาสะเดินไปหยิบมือถือ ที่ยังคงส่งเสียงอยู่มา เพื่อจะยื่นให้คนที่กำลังง่วนกับการเช็ดน้ำตาออกจากแก้ม ขณะนั้นดวงตาคมทั้งคู่จึงเผลอหลุบมองหน้าจอเล็กน้อย... เพื่อขอดูว่าเป็นใครที่โทรเข้ามาจนทำให้หญิงสาวเกิดอาการบ่อน้ำตาแตกออกมาได้
พิมพ์ลดารีบเดินมารับมือถือออกจากมือหนา แล้วจึงเลี่ยงไปคุยอยู่ตรงมุมห้อง กระนั้นน้ำเสียงที่เล็ดลอดออกมา ก็ทำให้ชายหนุ่มได้ยิน จนต้องขมวดคิ้วเข้มเข้าด้วยกันตาม
"พี่... พี่พิมพ์กำลังทำงานอยู่ครับ แล้วน้องล่ะ...ทำอะไร" น้ำเสียงที่บ่งบอกว่าแจ่มใสร่าเริง ทำให้รู้ว่าช่างแตกต่างกับก่อนหน้า ที่เธอกำลังเผชิญหน้ากับเขาด้วยเรื่องอะไรอยู่ เห็นได้ชัดว่าพิมพ์ลดากำลังกลบเกลื่อนเพื่อไม่ให้บุคคลที่เธอใช้คำสรรพนามแทนตัวเองว่า 'พี่' ได้ล่วงรู้เรื่องนี้ด้วย
"วันนี้เรียนสนุกมั้ย..."
"...แล้วพี่พิมพ์จะโทรไปหานะ ...ครับ"
เปลวตะวันซุกมือลงกระเป๋ากางเกงสแลคสีกรมเข้ารูป มองเธอแล้วนิ่งคิดถึงรูปใบหน้าของคนที่เขาเห็นเมื่อครู่ไปด้วย
หญิงสาวคุยอะไรกับปลายสายนั้นต่ออีกเล็กน้อย กดวางมือถือไปแล้ว คล้ายเธอกำลังทำใจอีกหนที่จะต้องหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับคนที่กำลังยืนล้วงกระเป๋ากางเกงมองเธออยู่ ครั้นทำใจได้ ก็หมุนตัวเดินผ่านร่างสูงไปหย่อนมือถือลงกระเป๋าถือ เม้มริมฝีปากเข้าไว้ด้วยกันสักเล็กน้อย ยืนนิ่งอย่างเงียบกริบไม่มีคำพูดใด ๆ ที่จะเอ่ยตอบเขา
เปลวตะวันจึงทำลายความเงียบงันนั้นเสีย ด้วยการถามสั้น ๆ ว่า "น้องชายหรือ?" เดาจากเค้าโครงหน้าเรียวเล็กได้รูปเหมือนที่กันก็คงจะใช่
พิมพ์ลดาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตอบ "ค่ะ"
"เขา เอ่อ ..." ดวงตาคู่งามเลื่อนขึ้นมามองใบหน้าหล่อร้ายเมื่อเขาพูดเสียงตะกุกตะกัก แล้วก็ถามต่อว่า "น้องชายเธอ...ไม่ปกติ?"
เหมือนหญิงสาวจะตะลึงไป ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลง "ค่ะ..."
จากนั้นเธอจึงได้ยินเสียงถอนหายใจเล็กน้อยจากชายหนุ่ม "ทำไมคุณถึงรู้?"
เปลวตะวันเบนสายตากลับมาสบตากับหญิงสาวที่มองเขาอย่างสงสัยว่า เขาทราบได้อย่างไร "เมื่อกี้ตอนหยิบมือถือให้เธอ ฉันเห็นรูปบนหน้าจอที่โทรเข้ามาของเขา เท่านี้ก็พอรู้..." ก่อนจะรีบขยายความเมื่อดวงตาคู่งามฉายความงุนงงขึ้นมาอีก "เขา...ไม่มองกล้องเลย สายตาเขาหลบกล้อง คล้ายคนหวาดกลัว หรือไม่มีความมั่นใจในตัวเอง..."
พิมพ์ลดาจึงรีบทบทวนรูปน้องชาย ที่เธอตั้งค่าเอาไว้ยามเขาโทรเข้ามาทันที ใช่ ภาพนั้นเป็นภาพของเด็กผู้ชายวัยรุ่นอายุสิบห้าย่างสิบหก ตอนนั้น ตอนที่เธอขอถ่ายรูปเขา น้องชายเธอไม่ยอมมองกล้องเลย พยายามซ่อนแววตาหนีจากกล้องมือถือจริง ๆ
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าขรึม ๆ ตรงหน้า แล้วจึงกลั้นใจบอกเขาไปว่า "เขาเป็นเด็กพิเศษที่เรียกว่า...ออทิสติกค่ะ" เหมือนชายหนุ่มจะตกใจเช่นกัน จากรูปที่เขาเห็นเพียงแวบเดียวก็พอทราบอยู่เลา ๆ ว่าท่าทางเด็กหนุ่มคนนั้นไม่เป็นปกติ แต่ก็ไม่นึกว่าจะเป็นเด็กพิเศษที่ระบุว่า 'ออทิสติก' นี่
เปลวตะวันจึงถามกลับช้า ๆ "แล้วตอนนี้...เขาอยู่ไหน?"
"ฉันส่งเขาไปเรียนที่สิงคโปร์ เขาเรียนอยู่ในโรงเรียนของเด็กพิเศษโดยเฉพาะที่มีครูและผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจเด็กประเภทนี้คอยดูแลอย่างใกล้ชิด เขาเป็นเด็กชายที่ชอบวาดรูป รักงานศิลปะค่ะ โรงเรียนนั้นก็สอนงานศิลปะโดยตรงด้วยค่ะ..." ตอบไปแล้วก็ต้องประหลาดใจตัวเองขึ้นมา ทีแรกคิดว่าจะตอบเขาสั้น ๆ แต่เพราะประกายบางอย่างบนแววตาคู่คมตรงหน้า ทำให้พิมพ์ลดาอยากจะบอกเล่าเรื่องราวให้เขารับทราบด้วย เธอสับสนในตัวเองขึ้นมาทันใด ปกติเรื่องของน้องชายเธอจะไม่พูดให้ใครต้องมารับรู้ด้วยมากนัก แต่กับเขา...เหมือนเป็นข้อยกเว้นขึ้นมา
พูดออกมาเองตั้งมากมายแล้ว พิมพ์ลดาก็รีบมาก้มหน้าลงพร้อมกับเงียบงันไป เพราะเหตุการณ์ที่ดำเนินก่อนหน้าที่เธอจะกดรับมือถือ คล้ายดั่งว่าเธอได้สัญญาอะไรกับเอาเขาไว้ เธอถอนหายใจแรงพลางเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง รู้สึกสมเพชตัวเองไม่น้อยที่ต้องเป็นคนรักษาสัญญาบ้างว่า "ฉัน...ต้องทำยังไงคะ คุณถึงจะหายโกรธ"
เปลวตะวันที่กำลังนิ่งคิดบางเรื่องอยู่ถึงกับสะดุ้ง ลดสายตาลงมาสบมองคนตรงหน้าเล็กน้อย เห็นเม็ดนิลคู่งามยังคงมีรอยฉ่ำชื้นของหยาดน้ำตาอยู่ และจมูกงามได้รูปที่ปลายจมูกแดงก่ำเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มา อีกอย่าง...ตอนนี้สองมือของหญิงสาวก็ดูเก้ ๆ กัง ๆ เหมือนเจ้าของจะไม่รู้ว่าจะเก็บเอาไว้ที่ไหนดี
เธอกำลังแสดงออกถึงอาการเก้อกระดาก ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาน่ะสินะ...
พิมพ์ลดาไม่เข้าใจกับท่าทีของชายหนุ่มตรงหน้านี้เลย ก่อนหน้า เขาทำท่ากระโจนใส่เธอราวกับสิงโตต้องการขย้ำเหยื่อก็ไม่ปาน แต่ตอนนี้ หลังจากเธอถามว่าทำอย่างไรที่จะทำให้เขาหายโกรธ...ใช่ กับเรื่องในคืนนั้น ...เขากลับสั่งเธอเรียบ ๆ ว่า ให้กลับมานั่งตามเดิม จากนั้นจึงส่งสัญญาณให้คนเสิร์ฟอาหาร ครั้นเธอจะถามเพิ่ม เขาก็บอกแค่ว่า
"ขอฉันทานข้าวก่อน งานเสร็จแล้วก็รีบมาที่นี่ มื้อเที่ยงเลยไม่ได้ทาน"
แล้วเธอจึงนั่งมองเขาเงียบ ๆ ไม่ได้ทานอะไร เอาแต่เขี่ยของในถ้วยเล็ก ๆ ตรงหน้าของตัวเองไปมา เงยหน้าขึ้นมามองเขา เขาก็ยังทานอย่างเป็นปกติตามเดิม
พิมพ์ลดานึกถึงเรื่องทรัพย์สินของชายหนุ่มที่เขาบอกได้หายไปในคืนนั้น หรือว่าเขาจะกุเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อให้เธอตกใจหรือขู่เธอเท่านั้น ว่าแล้วหญิงสาวจึงกลั้นใจถามเขาไปว่า "ของที่คุณบอกว่าหาย เงินและนาฬิกานั่น เรื่องจริงหรือคะ"
เปลวตะวันชะงัก เงยหน้าขึ้นพลางเอ่ยเสียงขรึม ๆ "เธอคิดว่าฉันโกหกหรือ เพื่ออะไร"
"ก็...อาจจะขู่ให้ฉันกลัว"
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบ "มันหายไปจริงพร้อมกับเธอในคืนนั้น" ตอบแล้วก็ก้มหน้าทานต่อ และจากท่าทางของหญิงสาวก็บ่งบอกว่าเธอไม่รู้เรื่องจริง แต่...เขาก็ยังไม่ปักใจเชื่อหรอก
"เงิน และนาฬิกา?" พิมพ์ลดาพึมพำแล้วถามอีกว่า "เงินเท่าไหรคะ"
"สองแสน... แต่เธอไม่ต้องห่วงหรอก เงินน่ะฉันไม่ติดใจ แต่...นาฬิกาเรือนนั้น"
"คงหลายแสน...หรือคะ"
"สิบสองล้าน"
กริ๊ง!
ช้อนในมือหญิงสาวร่วงกระทบกับถ้วยกระเบื้อง จนเกิดเสียงดังลั่น เปลวตะวันค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองเธอนิ่ง ๆ เห็นชัดขึ้นว่า ใบหน้างามเริ่มซีดเผือดลง คล้ายกับเธอเพิ่งจะได้สติ จึงอุทานออกมาอีก
"สิบสองล้าน!" นาฬิกาอะไรเรือนตั้งสิบสองล้าน ริชาร์ด มิลล์ รึเปล่านั่น! ไหล่บางของหญิงสาวลู่ลง แล้วสิ่งที่ทำได้ในวินาทีต่อมาเมื่อหายตกใจแล้วคือ "ฉะ ฉันไม่ได้เอาไปนะคะ ฉะ ฉันไม่รู้"
เปลวตะวันวางตะเกียบในมือลง คว้าน้ำชามาดื่มแก้ฝืดคอ ก่อนจะหยิบผ้ามาซับปากเล็กน้อย จึงตอบหญิงสาวต่อว่า "แต่คืนนั้น มีเธอแค่คนเดียวที่อยู่ในห้องร่วมกับฉัน เธอหายไป ทรัพย์สินของฉันก็ได้หายไปด้วย ถ้าเป็นเธอมาตกอยู่ที่นั่งตรงนี้ เธอจะตั้งข้อสงสัยว่าใครเป็นคนเอาไปล่ะ"
ตอบพลางเบือนหน้าหนีเพื่อข่มอารมณ์ แล้วหันมากัดฟันเล่าอีกว่า "หลังจากฉันคุยมือถือกลับมา ก็ไม่พบเธออีก ฉันจึงเอ๊ะใจเปิดดูลิ้นชักที่เก็บเงินสด เงินหาย พร้อมกับนาฬิกาเรือนนั้น"
พิมพ์ลดาเผลออ้าปากค้างเล็กน้อยด้วยจิตใจที่ว้าวุ่นสับสน มิน่าเขาถึงได้ทำท่าแค้นเธอนัก "ตะ ฉันไม่ได้เอาไปจริง ๆ ค่ะ สาบานก็ได้"
"องุ่น..."
"ฉันชื่อพิมพ์! พิมพ์ลดาค่ะ!" เธอสวนกลับทันที ด้วยดวงตาเขียวปั๊ด ก่อนจะหันหน้าหนี พร้อมกับตวัดมือกอดกอกตาม วินาทีนี้เธอเกลียดชื่อนี้เสียจริง ๆ
เปลวตะวันก็เกือบจะหลุดขำทีเดียว แต่ก็รีบสงวนท่าทีได้ และบอกเธอว่า "จนกว่าฉันจะได้ความกระจ่างจากเรื่องนี้ ดังนั้น ต่อจากนี้ไป เธอยังไม่มีสิทธิ์หายไปจากชีวิตของฉันทั้งนั้น"
หญิงสาวเบือนหน้ากลับมา "คืนนั้น คุณได้ตรวจสอบขอดูกล้อง..."
"เปล่าประโยชน์ ฉันดูแล้ว แต่ช่วงเวลานั้น กล้องมันเสียพอดี"
"ตลก! โรงแรมออกจะหรูระดับห้าดาวแต่กล้องวงจรเสียง่าย ๆ เนี่ยนะ"
"ฉันก็ไม่ทราบ แต่...ฉันก็ทำทุกวิถีทางที่จะทำได้แล้ว ยกเว้นแจ้งความ..." ตรงนี้เขาลดจังหวะ เอ่ยเสียงเนิบนาบคล้ายกับต้องการเน้นย้ำหรือข่มขู่หญิงสาวอย่างไรก็ไม่ทราบ "ถ้าหากแจ้งความเรื่องคงอื้อฉาว ฉันจึงกัดฟันทนเจ็บอยู่นี่มาถึงห้าปีเต็ม! วันนี้ได้พบกับเธอแล้ว แต่เธอก็ดันปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาเสียด้วย ฝ่ายที่เสียหายอย่างฉันจะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะ..."
พิมพ์ลดาลดสองมือลงใต้โต๊ะ ท่ามกลางสายตาคู่นั้นของเขาที่จับจ้องทุกกิริยาของหญิงสาวไว้หมด เธอกุมมือเข้าไว้ด้วยกันอย่างเกร็งสะท้าน ไม่นึกเลยว่า เรื่องคืนนั้นหลังจากเธอหนีออกจากห้องของเขามา ยังมีเรื่องร้ายแรงแบบนี้เกิดขึ้นตามหลังไปติด ๆ กันอีกด้วย ภาวะที่เธอประสบอยู่ตรงนี้ จะมีใครเข้าใจเห็นใจหรือไม่ เธอไม่ได้ทำแต่ก็เหมือนโดนตราหน้าว่าทำไปแล้ว หรือปฏิเสธว่าไม่รู้เห็น แต่...จะมีใครเชื่อกันล่ะ ...
หญิงสาวเลื่อนสายตาขึ้นมาช้า ๆ สบตากับคนที่ยังมองเธอด้วยสายตาคมกริบอยู่ ด้วยท่าทางของเขาที่นั่งตรงกันข้ามมองดูก็รู้ว่า ไม่เชื่อเธอแม้แต่นิดเดียว!