1|แม่สาวน้อย...คนนั้น

3536 คำ
อาคารพาณิชย์รูปทรงโมเดิร์นสีขาวตรงหน้าที่มีชื่อว่า 'บริษัท พรรณราย จำกัด' อันเป็นบริษัทที่รับออกแบบอาคารสถานที่พร้อมกับตกแต่งภายในอย่างครบวงจร                                                                      ร่างบอบบางจอดรถคู่ใจเอาไว้ตรงที่จอดรถของพนักงานบริษัท ก่อนจะเปิดประตูก้าวลงจากรถยนต์ ในสูทสีครีมกางเกงสีเดียวกัน รองเท้าสีแดงเพื่อให้ตัดกับชุดเสื้อผ้า ผมยาวนั้นรวบยกสูงขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าเรียวรูปไข่ ทั้งดวงตา ปาก และจมูกประกอบกันขึ้นมาอย่างจิ้มลิ้มน่ามอง เธอยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มแย้มให้กับแม่บ้านของบริษัทที่กำลังเช็ดถูพื้นตรง พลางเงยหน้าขึ้นไปมองชั้นบนตาม                                                     พิมพ์ลดาเดินขึ้นไปยังชั้นสองของอาคาร เสียงรองเท้าเธอคงเบาไป จึงทำให้สองร่างที่กำลังจิบกาแฟตรงส่วนรับรองแขกไม่รู้ตัวกัน และแล้วเธอก็ได้ยินหญิงสาวร่างท้วมพูดขึ้น                                                          "เป็นโรคซึมเศร้า เพราะผัวน่ะไปติดสาวไซด์ไลน์"                              "ว่าแล้วเชียว แม่ผู้หญิงพวกนี้ก็กระไร หากเป็นจ๊ะนะจะจิกหัวมาตบล้างน้ำสถานเดียวเลยค่ะ ไม่ทำตัวเป็นนางเอกร้องห่มร้องไห้อย่างพี่อ้อนแน่นอน"                                                                                     "คนเรามีภูมิคุ้มกันร่างกายแตกต่างกัน ใครจะไปเข้มแข็งทนทายาดได้ทุกสถานการณ์ เหมือนกับเราสองคนล่ะจริงมั้ย"    "แล้ว พี่อ้อนต้องพักนานมั้ยคะ..."                                                  "อื่ม พี่ก็ไม่แน่ใจนะ แต่ต้องรักษาตัวก่อน งานการอะไรจึงไม่ค่อยมีกะจิตกะใจทำ พี่เลยต้องเรียกพิมพ์มาเพื่อรับงานที่อ้อนกำลังทำอยู่นี่แหละ"                                                                                                     เจ้าของร่างท้วม ในชุดซีฟองลายดอกกรุยกรายยกกาแฟขึ้นมาจิบ ก่อนจะวางถ้วยกาแฟลงกับจานรอง ขณะนั้นทางหางตาจึงได้เห็นร่างบอบที่กำลังเดินมาทางตนช้า ๆ                                                   "อ้าว! พิมพ์มาตั้งแต่เมื่อไหร่"                                                          พิมพ์ลดายกมือไหว้พรรณราย เจ้าของบริษัทรับตกแต่งภายในแห่งนี้ และสิตางค์หุ้นส่วนอีกคนของบริษัท พร้อมกับทำหน้าที่เป็นหัวหน้าบัญชีอีกตำแหน่งด้วย "ก็เพิ่งมาถึงค่ะ"                                                 "พิมพ์มาถึงแล้ว พี่พรรณก็คุยเรื่องงานกับยัยพิมพ์ไปล่ะกัน จ๊ะขอไปเคลียร์งานก่อน" สิตางค์ตัดบท ก่อนจะหันหน้าไปทางหญิงสาวที่เพิ่งมาถึง พลางบอกว่า "พี่กลับไปทำงานก่อนนะพิมพ์ว่าง ๆ ค่อยเมาท์มอยกัน"                                           "ค่ะ" พิมพ์ลดารับคำพลางยิ้มตอบสาวร่างสูงโปร่งที่ยกกาแฟขึ้นมาถือ ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องทำงานของตัวเองต่อไป                                  พรรณรายจึงเอ่ยชวนหญิงสาว ให้เข้าไปคุยเรื่องงานกันที่ห้องทำงานของตัวเองต่อ "เราก็เข้าไปคุยเรื่องงานกันที่ห้องพี่ดีกว่า ไป"                       "ค่ะ"          พรรณรายหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทรับออกแบบ และตกแต่งภายในอาคารสถานที่แห่งนี้ได้ยิ้มให้ร่างบางที่นั่งตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวผู้นี้ก็คือ พิมพ์ลดา มัณฑนากรสาวที่เคยทำงานประจำอย่างเต็มตัวที่นี่ และเพิ่งลาออกไปรับงานอิสระเอง แต่ก็ยังแวะเวียนมาบริษัทแห่งนี้อยู่เสมอ                                                                                                          ก่อนหน้าหน้าตนเป็นผู้ติดต่อพิมพ์ลดา ให้กลับมาช่วยงานที่นี่ เนื่องจากพักนี้คนที่บริษัทต่างก็มีงานกันจนล้นมือหมดแล้ว และประจวบกับอรนิชา มัณฑนากรอีกคนมีเหตุให้ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสักระยะหนึ่งเนื่องจากประสบปัญหาในครอบครัวนั่นเอง  งานที่อรนิชารับเอาไว้ก่อนหน้า จึงต้องรับหาคนมาดูแลแทน        เนื่องจากทางบริษัทได้ทำสัญญาที่จะส่งมอบงานกับลูกค้ารายในในอีกไม่กี่วันข้างหน้า การหาคนมาทำงานในช่วงที่ทุกคนต่างก็มีงานเกินอัตราจึงเป็นความจำเป็นเหลือเกิน พรรณรายจึงรีบติดต่อไปที่พิมพ์ลดา และโชคดีที่พิมพ์ลดาเพิ่งส่งงานลูกค้าของเธอไปในไม่กี่วันก่อน หญิงสาวจึงสามารถมาช่วยผ่อนปัญหาที่นี่ได้ พรรณรายได้นำข้อมูลงานที่อรนิชาเพิ่งเริ่มทำ ยื่นให้หญิงสาวตรงหน้า พลางบอกอีกว่า "นี่คือรายละเอียดที่ลูกค้าเขาอยากได้ เป็นบ้านเก่าติดลำคลองที่ราชบุรี เขาอยากให้เราตกแต่งภายในเพิ่ม เพราะจะทำเป็นบ้านพักต่างอากาศ"    พิมพ์ลดาเปิดดูรูปภาพบ้านจากไอแพดเครื่องตรงหน้า พลางถามไปเรื่อย ๆ ว่า "แล้วเจ้าของบ้านหลังนี้ เขาชื่ออะไรคะ"                            "เอ่...เจ้าของจริง ๆ นั้นพี่ก็ไม่ชัวร์"                                       "อ้าว!" หญิงสาวร้องอุทานออกมาคำหนึ่ง                                       "เราติดต่อเขา คุยในเรื่ิองความต้องการตกแต่งบ้านผ่านคนสนิทของเขาน่ะ"                                                                                        หัวคิ้วสีน้ำตาลเข้มของพิมพ์ลดาขมวดเข้าด้วยกันทันใด คุยกันผ่านแค่คนสนิทหรือ...   หลังจากคุยเรื่องรายละเอียดของงานคร่าว ๆ แล้ว พิมพ์ลดาจึงสอบถามอาการของอรนิชาต่อ "แล้วพี่อ้อน เอ่อ เป็นยังไงบ้างคะ" อรณิชา หรือ อ้อน ที่มีเหตุให้หยุดงานกะทันหัน เพื่อต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล...เพราะอรณิชาเกิดจับได้ว่า สามีที่รัก และเป็นผู้ชายที่เรียกว่าเกือบสมบูรณ์แบบทุกด้าน ได้แอบอยู่กินกับสาวคราวลูกลับ ๆ จนมีลูกเต้าร่วมกันด้วยอีกหนึ่งคน  "เฮ้อ พี่เพิ่งเห็นสภาพหลังไปเยี่ยม หยอดน้ำเกลือ ดวงตาเหม่อลอย ท่าทางจะไม่ใช่น้อย ๆ ก็แหง ล่ะ ใคร ๆ ก็ว่ายัยอ้อนน่ะน่าอิจฉา มีสามีดีชอบเข้าวัดเข้าวาปฏิบัติธรรม ที่ไหนได้ บอกกับเมียว่าจะไปเข้าวัดเข้าวา แต่ดันเลี้ยวรถเข้าบ้านแม่นั่นทุกครั้งไป เป็นใครก็ยากจะทำใจรับได้ ใช่มั้ย"                                                                                          "ค่ะ" พิมพ์ลดารับคำเบา ๆ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับหัวหน้า ดวงตาหวานนั้นแกล้งมองงานที่อยู่ในแฟ้มตรงหน้า ขณะที่อีกฝ่ายยิ่งพูดก็ยิ่งหยุดไม่ได้ เพราะเรื่องนี้ทำให้ผู้พูดอินอย่างกับนั่งดูละครน้ำเน่าหลังข่าว!                                                            "แม่นั่น เป็นสาวไซด์ไลน์หาเงินตั้งแต่ใส่ชุดนักศึกษา คิดเอาเองล่ะกันว่าแอบอยู่กินกันมานานเท่าไหร่แล้ว ใช่มั้ย"   พิมพ์ลดาจำต้องเงยหน้าขึ้นมารับคำเสียครั้งหนึ่ง พลางยิ้มรับอย่างแกน ๆ "พี่น่ะเกลียดแม่ผู้หญิงพวกนั้นเสียจริง แค่บำบัดความใคร่ให้ผู้ชายเสียหนสองหนน่ะไม่ว่าอะไรหรอก นี่กะจะจับผู้ชายที่เขามีลูกมีเมียอยู่แล้วอีก หึ!"   "เอ่อ...พี่พรรณคะ" พิมพ์ลดาหาทางตัดบท เธอรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าอากาศที่อยู่ภายในห้องทำงานของพรรณรายราวกับจะไม่พอหายใจขึ้นมาอย่างนั้น ทว่า                                                                                       "วันนั้นถ้ายัยอ้อนขอให้พี่ไปส่งนะ..." พรรณรายหมายถึงวันที่ติดตามไปสามีอรนิชาจนจับได้ว่า ผู้ชายได้ขับรถเลี้ยวเข้าไปที่บ้านจัดสรรหลังหนึ่งที่ได้ซื้อเอาไว้เพื่ออยู่กินกับหญิงสาวอีกคน "...พี่จะเข้าไปล็อคตัวแม่นั่น แล้วให้ยัยอ้อนตบสั่งสอนเสียให้เข็ด!"   "เอ่อ คือ พิมพ์"                                                                           "จะอะไร สุดท้ายก็เสียแค่ปรับไม่กี่ร้อย อ้อ ถ้าเป็นข่าวดัง อย่าคิดว่าพี่จะอายนะ แม่ผู้หญิงที่แอบกินลักกินของคนอื่นน่ะสิที่ต้องเป็นฝ่ายอาย!"                                                                                                     "เอ่อ คือพิมพ์มีงานต่อค่ะ!" พิมพ์ลดากลั้นใจบอกไปในที่สุด แม้จะดูเสียมารยาทก็ตาม แต่เธอทนฟังอีกฝ่ายระบายความคับแค้นใจแทน     อรนิชากับแม่ผู้หญิงพวกนั้นไม่ไหวแล้วจริง ๆ                                      "อ้าว! มีงานต่อเหรอ" พรรณรายถามขึ้นอย่างเสียไม่ได้ เพราะกำลังพูดติดพันแบบไม่อยากหยุด ก็เรื่องทำนองผัวมีน้อยเป็นเรื่องที่ทำให้ตนอินได้ทุกครั้งที่รับรู้   "ค่ะ"                                                                        "เฮ้อ... พิมพ์ก็ไปทำงานของพิมพ์ต่อเถอะ ยังไง ๆ พี่ขอฝากงานลูกค้าคนนี้ให้พิมพ์ดูแลแทนก็แล้วกันนะ ไม่อยากแคนเซิ่ลเพราะจะมีผลเสียกับบริษัท"                                                                    "ค่ะ" พิมพ์ลดารับคำ ก่อนจะรวบรวมงานตรงหน้าขึ้นมาไว้ด้วยกันแล้วยกมือไหว้ลาร่างอวบอิ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าตาม    ครั้นเดินพ้นห้องทำงานของพรรณรายมาแล้ว หญิงสาวต้องลอบถอนหายใจยาว เนื่องจากต้องทนนั่งฟังอีกฝ่ายระบายความคับแค้นใจแทน        อรนิชาด้วยความอึดอัด เพราะทุกครั้งทุกยามที่พรรณรายด่าและลงท้ายคำพูดด้วยคำว่า เมียน้อยบ้าง สาวไซด์ไลน์บ้าง มันทำให้พิมพ์ลดากระวนกระวายใจ                                                                            ใช่...อดีตของคนที่เคยเป็นไซด์ไลน์อย่างเธอ มีหรือจะไม่สะทกสะท้านกับคำประนามเหล่านั้น!    ประตูห้องทำงานสีดำขนาดใหญ่ห้องหนึ่งค่อย ๆ เปิดออกโดยป้าในวัยห้าสิบปี ในตำแหน่งแม่บ้านประจำชั้นของห้องทำงานประธานกรรมการ 'บริษัท พีที ลักซ์ซัวรี่ คาร์' ที่เป็นบริษัทนำเข้ารถหรูชื่อดังของประเทศ ป้าแกเดินออกมาพร้อมกับถ้วยกาแฟที่วางเรียงอยู่บนถาดถึงสามใบ โดยที่ข้างในถ้วยยังมีปริมาณกาแฟที่ชงแล้วเกือบเต็มแก้วอยู่ทั้งสิ้น           ชายร่างสูงสองคนที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องทำงานดังกล่าว ซึ่งมีหน้าที่อารักษ์ขาติดตามผู้เป็นนายไปเกือบ ๆ ทุกแห่ง ได้มองหน้ากันพลางเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นมายามเห็นปริมาณกาแฟในแก้วไม่พร่องลงเลยสักนิด       แม่บ้านคนดังจึงกล่าวยิ้มแหยขึ้น ก่อนจะยื่นถาดตรงหน้าให้ชายทั้งสองดู แล้วเอ่ยตาม "คุณพล กับคุณรุต สนใจกาแฟมั้ย อาจจะไม่ร้อน แต่ก็ยังพอดื่มได้อยู่นะคะ"                                                       "แล้วคุณเปลวไม่..."                                                                     "ไม่ได้ดื่มเลยสักแก้วค่ะ" ป้าแม่บ้านชิงตอบ ก่อนจะเอ่ยเพิ่มว่า "ท่าทางจะยุ่งๆ และอารมณ์ไม่ดีด้วย ป้าชงมาให้กี่แก้วก็ไม่ได้ดื่ม พอจะดื่มก็บอกว่าไม่ร้อนบ้าง แล้วให้ป้าชงมาให้ใหม่ เนี่ย เดี๋ยวต้องกลับไปชงมาให้อีกแก้ว"   ชายคนหนึ่งจึงยิ้มขึ้น เพราะเห็นว่าพวกตนจะไม่ต้องเสียเวลาไปหากาแฟมาดื่มเอง "งั้น ผมขอคนละแก้วก็แล้วกัน พอดีเลยอยากได้กาแฟสักแก้วแก้ง่วง" ว่าพลางหยิบกาแฟขึ้นมาสองแก้ว อีกแก้วก็ยื่นไปให้คู่หูถือต่อ                                       "งั้นถ้าดื่มแล้วก็วางไว้บนโต๊ะนั้น" เอ่ยแล้วบุ้ยปากไปทางโต๊ะทรงกลมที่ตั้งห่างออกไป "เดี๋ยวป้าไปชงแก้วใหม่มาให้คุณเปลว แล้วจะกลับมาเอาแก้วสองใบนี้นะ"                                                         ครั้นป้าแม่บ้านผู้ใจดีเดินออกไป ใครคนหนึ่งก็ขยับมาหาคู่หูจิบกาแฟที่เริ่มเย็นซืดที ปากก็พูดถึงเจ้านายผู้ที่อารมณ์ฉุนเฉียวง่ายไปด้วยที           "ผลประกอบการธุรกิจของบริษัทที่บอกว่าบริษัทได้กำไรโข ไม่ได้ทำให้เจ้านายพวกเราอารมณ์ดีขึ้นแม้แต่น้อยเหรอ"                                  อีกคนดื่มกาแฟพรวดแล้วรีบคำ "ดีกะผีน่ะสิ! ตั้งแต่เช้ามา ถามหานั่นนี่ไม่หยุด พอเอาอะไรไปให้ ก็บอกว่าไม่ใช่ ๆ ไม่ต้องการ หงุดหงิดอะไรขึ้นมาตั้งแต่เช้าวะ"                                                              ทั้งสองคุยกันด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา เพราะเกรงกลัวว่าบทสนทนาจะลอยไปเข้าหูเจ้านายผู้นี้เข้า เดี๋ยวจะโดนดีก็เท่านั้น     อีกคนจึงปรายตามองคู่หู พลางถามกลับ "มึงไม่รู้จริงหรือ ไอ้พล..."                         อำพลคนที่ถูกถามถอนหายใจ จะว่าไม่รู้ก็ไม่ใช่ "แล้วมันจะใช่อย่างที่พวกเราสันนิษฐานกันมั้ยล่ะ"                               "ยังไง?" นิรุตถามต่อ                                                   "ก็...เกี่ยวกับแม่สาวน้อยคนนั้นไง"                                        "คนไหน?"                                                                   "จะคนไหนเล่า!" อำพลเริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด แล้วยื่นหน้าไปกระซิบว่า "ก็คนที่ทำให้เจ้านายรู้จักคำว่า 'นก' ได้อย่างลึกซึ้งถึงห้าปีเต็มไง"                                                                                     "อ้อ คนนั้น คนที่…"                                                     "เออ! คนที่ทำให้เจ้านายนกไปถึงห้าปีเต็ม ที่คืนนั้นน่ะ"            กล่าวแล้วทั้งสองก็นึกถึงค่ำคืนแห่งความวาบหวิวของผู้เป็นนายที่ได้หอบหิ้วสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งขึ้นห้องพักหรูหรา ด้วยหวังว่าแม่สาวน้อยคนนั้นจะช่วยให้ตัวเองได้ขึ้นถึงสวรรค์ชั้นเจ็ด แต่แล้วแม่สาวหน้าตาจิ้มลิ้มก็เล่นตลก แอบย่องหนีออกจากห้องพักไปในช่วงที่เจ้านายต้องเดินไปคุยมือถือด่วนกับสาย 'สำคัญ' ที่ระเบียงห้อง                              ครั้นกลับเข้ามาแม่สาวน้อยผู้นั้นก็หอบเสื้อผ้าพร้อมทรัพย์สินมีค่าบางอย่างของเจ้านายตนหายไปในกลีบเมฆด้วย เจ็บใจที่ถูกขโมยทรัพย์สินน่ะส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วน ทั้งอำพลและนิรุตพากันลงความเห็นกันว่า เจ้าหล่อนได้ทิ้งให้ผู้เป็นนายพวกตนมีอารมณ์ค้างเติ่งมาถึงห้าปีเต็มนั่นต่างหาก ที่น่าเจ็บใจกว่า!                                                              และในห้าปีที่ผ่านมา คุณเปลวตะวันก็กลายร่างมาเป็นชายวัยทองที่ดูหงุดหงิดง่ายอย่างไม่มีเหตุผล แล้วนำอารมณ์หงุดหงิดนั้นมาพานใส่กับคนใกล้ชิดอยู่เนือง ๆ อย่างป้าแม่บ้านเมื่อครู่ คนนั้นถือว่าโดนไปแบบจิ๊บ ๆ ถ้าเทียบกับตนทั้งสองที่ต้องคอยติดตามผู้เป็นนายไปในทุกหนทุกแห่งตลอด เพราะต่างก็ต้องพากันคอยหลบตีน หลบมือของผู้เป็นนายอยู่เสมอ ๆ               ทุกวันนี้ แม่สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราผู้นั้น ไม่ได้สร้างความแค้นเคืองให้กับเจ้านายของพวกตนแค่คนเดียวหรอก หากรวมถึงพวกเขาทั้งสองด้วย ดังนั้น อำพลและนิรุตต่างก็แอบไปลงขันกันอย่างเงียบ ๆ เพื่อสืบเสาะหาแม่สาวน้อยหน้าจิ้มลิ้มคนนั้น ซึ่งถ้าพวกตนเจอตัวแม่นั่นเมื่อไหร่ จะรีบจับใส่พานแล้วส่งให้เจ้านายตนลงทัณฑ์อย่างสาสมกับความผิดของเธอเสียให้เข็ดเลย คอยดู!  ผลประการธุรกิจที่บอกว่าบริษัทได้กำไรแค่ไหนในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ถูกวางไว้เป็นตั้ง ๆ อยู่ตรงหน้า ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มคนหนึ่งอารมณ์ดีขึ้นมาจริง ๆ! อย่างที่เจ้าลูกน้องสองคนที่ได้ยืนนินทาเขาอยู่หน้าห้องทำงาน ขณะที่เปลวตะวันกำลังจะเปิดประตูออกไปนอกห้อง บังเอิญไปได้ยินเสียงของอำพลและนิรุตกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องแม่สาวน้อย...คนนั้นพอดี   เปลวตะวันจึงถอยกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานทันใด ด้วยอารมณ์ที่อยากเหวี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายไปให้พ้น ๆ รวมถึงเจ้าลูกน้องสองคนที่ยืนปักหลั่นหัวเราะคิกคักอยู่หน้าห้องนั้นอีกด้วย!                                  นิ้วมือทั้งห้าเคาะลงบนโต๊ะทำงาน ด้วยต้องการระงับความฉุนเฉียว เพราะความไม่สบอารมณ์อยู่กับบางเรื่องที่ยังค้างคามางถึงห้าปีเต็ม…                                                                              ดวงตาคมทั้งคู่ค่อย ๆ หลุบมองลงไปยังส่วนล่าง...มองดูอวัยวะอย่างหนึ่งที่ยังพาดผงาดอยู่ตรงหน้าขา...  มันใช่เรื่องใต้สะดืออย่างที่อำพลและนิรุตว่าไว้เสียทีไหนล่ะ! เขาหมายถึงลำแขนข้างหนึ่ง ที่ยังพาดวางอยู่ตรงหน้าขาตนเองต่างหาก เพราะแขนข้างนั้นเคยเป็นที่สวมใส่นาฬิกาเรือนหนึ่งที่ได้รับมาจาก 'คนสำคัญ' น่ะสิ แล้วตอนนี้นาฬิกาเรือนนั้นก็ได้สูญหายไปในคืนนั้นพร้อม ๆ กับแม่สาวน้อยที่มีเครื่องหน้าพริ้มเพราและหมดจดคนนั้นอีกด้วย    หึ! แม่สาวน้อยตัวแสบ กล้าดียังไงถึงมาลูบคมคนอย่างเปลวตะวัน... ชายหนุ่มฮึมฮัมอยู่ในห้วงความคิด พลางใช้สมองไล่เรียงไปยังเหตุการณ์ในครั้งนั้นอีกด้วย  ราวห้าปีที่แล้ว ภายในห้องทำงานนี้... มีสาวน้อยในชุดนักศึกษานั่งอยู่บนโซฟาตรงหน้า เนื้อตัวเธอดูสั่นเทาคล้ายกลัวหรือเต้นตื่นก็ไม่อาจทราบได้ ดวงตาคมเหลือบมองอย่างจับสังเกต ขณะที่น้ำเสียงจากใครบางคนที่นั่งตรงกันข้ามเขาก็ยังรับรองตามอีกว่า   'น้องยังใหม่ ยังไม่เคยมาก่อน คุณเปลวก็ช่วย ๆ ถนอมน้องหน่อยนะคะ'        เขาละสายตาจากร่างบอบบางกลับมาสบตากับเจ้าของประโยคเมื่อครู่ถามกลับสั้น ๆ แค่ 'ใหม่จริงหรือ'     'แหม จะใหม่จริงหรือใหม่ปลอม ระดับคุณเปลวแยกได้อยู่แล้ว ไม่ใช่หรือคะ เดี๋ยวก็จะได้รู้เองว่าอะไรเป็นอะไร' ร่างท้วมเอ่ยแล้วก็หัวเราะร่วนในลำคอ ก่อนจะชะงักเพราะเปลวตะวันถามถึงอีกเรื่องทันที             'ไม่ได้ล่อลวงมาแน่ใช่มั้ย'                                                 'อุ๊ย!" ร่างท้วมครึ่งชายครึ่งหญิงทำทีสะดุ้งพอเป็นพิธีก่อนจะตอบอย่างมีจริตจกร้านอีกว่า 'ทำงานตรงนี้มาเกือบห้าปี ไม่มี๊ ไม่มีเรื่องที่จะหลอกใครมา มีแต่เต็มใจมากันทั้งนั้นค่า'                                                   'ดี ผมชอบเรื่องสมยอม ไม่ชอบเรื่องบังคับขู่เข็ญใคร'                        เปลวตะวันหรี่นัยน์ตาคู่ทรงอำนาจประกอบ ขณะที่พูดจาดักทางบุคคลตรงหน้าเอาไว้ แม้จะไว้วางใจอีกฝ่ายจนเรียกใช้บริการอยู่บ่อย ๆ แต่ 'แม่นี่' ก็มีเขี้ยวเล็บพอตัว เขากลัวแต่ว่าจะเป็นการล่อลวงเด็กสาวมาให้ก็เท่านั้น แต่หากอีกฝ่ายรับรองเสียงแข็งว่า หญิงสาวที่นั่งตรงนั้นได้ยินยอมพร้อมใจเองก็ถือว่าแฟร์ดีต่อกันทั้งสองฝ่าย                                       'พูดรายละเอียดให้น้อง...น้องอะไรนะ...'                                       'น้ององุ่นค่ะ'                                                                            'อ้อ ชื่อน้ององุ่น' เขาพยักหน้าตาม ขณะทอดมองร่างงามด้วยแววตาสื่อความต้องการอันลึกซึ้ง 'รู้แล้วใช่มั้ย ว่าห้ามท้อง ห้ามบลัฟกันทีหลัง'          'ค่า แหม ก่อนจะพามาหานี่ก็พูดจาให้ฟังตั้งแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายคือ ห้ามท้อง ห้ามเรียกร้องทีหลัง..เป็นร้อย ๆ รอบแล้วล่ะค่า'  'ดี' เปลวตะวันพยักหน้ารับทราบด้วยความพึงใจ ก่อนจะใช้มือข้างดึงลิ้นชัก แล้วหยิบเอาเงินจำนวนหนึ่งที่ทำให้ร่างท้วมตรงหน้าตาโต มาวางไว้บนโต๊ะ 'นี่คือค่าดำเนินการ...'                                                   'ขอบพระคุณค่ะ' ตวัดมือขึ้นมาไหว้อย่างอ่อนช้อย เงยหน้าขึ้นมาส่งรอยยิ้มหวานหยด แล้วยื่นมือไปรับเงินก้อนนั้นมาซุกลงในกระเป๋าถือแบรนด์เนมสีส้มจี๊ดทันใด 'เดี๋ยวขอไปคุยอะไรกับน้ององุ่นก่อนนะคะ'          เอ่ยแล้วก็รีบผละไปยังร่างบางที่นั่งอยู่ตรงมุมนั้น กระซิบอะไรกันสองคน ก่อนจะหันมายิ้มหวานหยดให้ชายหนุ่มที่นั่งหน้าเคร่งบนโต๊ะทำงานเป็นการทิ้งท้าย แล้วเจ้าของร่างท้วมนั้นก็รีบเดินไปเปิดประตูห้องทำงานนี้ออกไป    เปลวตะวันค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน พร้อมกับเดินตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวที่มีหมวกแก็ปปิดอำพรางครึ่งใบหน้า เขาถือวิสาสะดึงหมวกสีดำใบนั้นออก ก่อนจะใช้ปลายนิ้วดันคางเล็กได้รูปขึ้นมา พลางทำหน้าไม่สู้ชอบใจกับอะไรบางอย่างที่แต้มอยู่เต็มบนใบหน้างามไปหมด เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วออกคำสั่งทันใด                                                       'แต่งหน้าหนาเตอะเกินไป อย่างกับจะไปเล่นงิ้ว ไปล้างแล้วแต่งใหม่เดี๋ยวนี้ ฉันไม่ชอบผู้หญิงแต่งหน้าจัด!'  เขาว่าใบหน้าเธอน่าจะอ่อนเยาว์ลงไปอีกเป็นสิบ ๆ ปี หากเธอได้ล้างและลบเครื่องสำอางที่จัดเต็มบนใบหน้างามนี้ออกบ้าง    หญิงสาวพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะคว้าเอากระเป๋าที่บรรจุแป้งเครื่องสำอางออกไปเข้าห้องน้ำด้านนอก ล้างหน้าล้างตา ลบเครื่องสำอางเดิมออกแล้วแต่งเสียใหม่ แต่งในโทนอ่อน ๆ อย่างที่เขาต้องการ แล้วจากนั้นจึงกลับเข้ามานั่งที่เดิมอีกครั้ง ที่มีเจ้าของห้องกำลังนั่งพาดแขนทั้งสองข้างบนพนักรอท่าอยู่แล้ว                                                                 เธอกลับมาหย่อนตัวลงนั่งตรงที่เดิม ครั้งนี้ทำเอาเปลวตะวันเผลอมองตาค้าง และเริ่มเพ้อตามทันที…ว่าแล้วว่าหญิงสาวต้องมีผิวแก้มที่ละเอียดลออ มีความสวยงามสมวัยสาวยี่สิบต้น ๆ มากกว่าจะดูแก่กร้านโลกเช่นเมื่อครู่ หากเธอได้ลดความหนาของเครื่องสำอางออกเสียครึ่ง ...            เปลวตะวันขยับลำตัวเข้าไปใกล้เธออีก ใกล้จนสามารถรู้สึกถึงอาการสั่นไหว และจับต้องไอร้อนผ่าวตามผิวเนื้อของเธอได้อีกด้วย                  'เจ๊ บอกว่าเธอ 'ใหม่' ขอฉันพิสูจน์อะไรตรงนี้ก่อนได้มั้ยว่า...ใหม่จริง'    ดวงตาคู่งามนั้นเบิกขึ้นคล้ายตกใจ เสียงหวานจึงถามกลับด้วยอาการไม่มั่นคง 'ตะ ตะ ตรงนี้เลยหรือคะ!'  เขาพยักหน้าขรึม ๆ                                                                    'ในห้องทำงานคุณ...'                                                                 'ใช่' เขาพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะรีบดันลำตัวบอบบางให้นอนราบลงไปกับโซฟาสีดำทันที!      
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม