โซเฟียเป็นมาเฟียสาว ช่วงเวลานี้เป็นช่วงสำคัญในประวัติศาสตร์มาเฟียตะวันออก เธอย่อมมีความรู้เกี่ยวกับสถานที่สำหรับกลุ่มผู้มีอิทธิพลใต้ดิน อย่างตลาดมืดและตลาดมืดใต้ดินของเมือง
รอเมื่อมีการค้าเสรี หอประมูลก็จะกลับมาเฟื่องฟูเรืองอำนาจอีกครั้งและหากต้องการครองอำนาจเอาไว้ ก็มีแต่ต้องยึดโยงสายในหอประมูลนี้ให้มาเป็นฝ่ายของตัวเองเท่านั้น หรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจไปเป็นการเปิดบริษัทแทน
แต่ถ้าให้เลือกโซเฟียขออยู่ในความมืดต่อไปอีกสักพักจนกว่าจะตั้งตัวได้ดีกว่า เพราะหากเปิดบริษัทก็เท่ากับไปยืนอยู่ในที่สว่าง การจะลงมือทำอะไรก็จะยากขึ้น แตกต่างจากผู้มีอิทธิพลเถื่อนทั้งหลาย
“เงินทุนก้อนแรกของฉัน หวังว่าพวกมันจะสุกในไม่กี่วันนะ” เมื่อขึ้นมายืนอยู่ที่ลานหน้าบ้านอีกครั้ง หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังสวนโดยรอบด้วยความคาดหวัง
ยุคแรกเริ่มนี้หาผลไม้ยากมาก หากสามารถหาผลไม้ส่งให้ห้างสรรพสินค้าที่กำลังจะเปิดขึ้นหลังเปิดเสรีได้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเงินทุนสำรองแล้ว
หลังจากวางหีบมีดเอาไว้แล้ว โซเฟียก็เดินไปสำรวจโกดังเก็บของในส่วนด้านหลังคฤหาสน์ ซึ่งกินพื้นที่กว้างขวางอย่างมากจนเดินไม่ทั่วในวันเดียว
แต่กลับพบว่ามีบางอย่างที่ดูแตกต่างออกไป โกดังเหล่านี้แต่เดิมมีการแบ่งแยกประเภทสินค้าภายในอยู่แล้ว แต่โกดังเดิมที่เคยเป็นโกดังสำหรับเก็บเสบียงของแฟมิลีซึ่งมีสินค้าอยู่หลากหลาย ตอนนี้กลับกลายเป็นโกดังสำหรับสินค้าประเภทเนื้อสัตว์ไปเสียแล้ว
“นี่มัน…” ในตอนนี้ยังอยู่ช่วงยุคขาดแคลนอาหาร หากขายสินค้าเสบียงเหล่านี้ออกไปทั้งหมด คงสามารถรวบรวมเงินทุนได้จำนวนไม่น้อย
“ดูเหมือนฉันมีหนทางในการออกจากฐานะคนใช้ได้เร็วกว่าที่คิดเสียแล้ว”
โซเฟียอยากอยู่ในคฤหาสน์ตลอดไปหากเป็นไปได้ แต่ในใจรู้ดีว่าไม่สามารถซ่อนอยู่ในนี้ได้ตลอดไป ทันใดนั้นเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้น
“อาเหมยตื่นหรือยัง” พร้อมกับเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นพร้อมกัน ทำให้โซเฟียรีบคิดอยากออกไปด้านนอก
และเป็นอย่างที่คิด หญิงสาวสามารถออกมาได้ในทันที ก่อนที่ผู้เป็นป้าจะเปิดประตูเข้ามา เมื่อพบว่าหลานสาวเพิ่งอาบน้ำเสร็จผมยังไม่ทันแห้ง แถมยังนั่งอยู่ปลายเตียงโดยหันหน้าไปทางโต๊ะเครื่องแป้ง
พอเห็นแบบนั้นหลี่หงก็รีบวางถาดอาหารในมือแล้วเข้าไปช่วยเช็ดผมให้หลานสาวอย่างอ่อนโยน
“อาเหมย ทำไมสระผมเร็วจังเลยลูก หลานไม่กลัวไข้กลับหรืออย่างไร ถ้าป่วยขึ้นมาอีกจะทำยังไง มารีบทำให้ผมแห้งเร็วเข้า”
“ขอบคุณนะคะ…ป้า” โซเฟียอดรู้สึกผิดต่อหลี่หงไม่ได้ ในเมื่อตอนนี้ในร่างของเด็กสาวอายุสิบเจ็ดปีคนนี้ไม่ใช่เด็กสาวที่อีกฝ่ายคุ้นเคยอีกต่อไปแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นความอบอุ่นของหลี่หงที่มีต่อหลานสาวก็ส่งมาถึงใจโซเฟีย ทำให้เธอรู้สึกอยากได้รับความอบอุ่นที่จริงใจนี้ตลอดไป
‘ต่อไปนี้ ฉันคือหลี่ซีเหมย หลานสาวของหลี่หง ฉันสัญญาว่าจะดูแลป้าให้ดีที่สุด’ เมื่อคิดดังนั้นภาพของน้องสาวและสามีที่เคยทรยศก็แวบขึ้นมาในหัวอีกครั้ง แต่ก็ถูกปัดทิ้งอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนของป้าที่โผล่หน้ามาและเอ่ยถาม
“อาเหมยเป็นอะไรไป ปวดหัวอีกแล้วงั้นหรือจ๊ะ”
“ไม่ปวดหัวค่ะ แค่เวียนหัวนิดหน่อย”
ตอนนี้ไม่มีมาเฟียสาวโซเฟียคนนั้นอีกแล้ว ที่นี่จะเหลือเพียงหลี่ซีเหมย หลานสาวของหลี่หงเพียงคนเดียว
เธอได้ละทิ้งตัวตนของโซเฟียไปแล้ว หลังจากนี้ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงจะมีเพียงหลี่ซีเหมยผู้นี้เท่านั้น!!
“ไม่ปวดหัวอีกแล้วจริง ๆ นะ ถ้ามีอาการอะไรต้องรีบบอกป้าเข้าใจไหม อย่าเก็บเงียบเอาไว้” เมื่อเห็นหลานสาวยังคงเงียบ หลี่หงก็ใช้หวีสางผมให้อย่างอ่อนโยน ขณะที่มือหนึ่งลูบศีรษะเด็กสาวด้วยความรักใคร่เอ็นดู
“อาเหมยรู้ใช่ไหมว่าเราเหลือกันแค่สองคนแล้ว แค่ป้าและหลาน ถ้าป้าสูญเสียหลานไปอีกคนก็คง…” พอพูดประโยคนี้ ความรู้สึกหวาดกลัวที่เคยมีก่อนหน้านี้ตอนที่หลานสาวป่วยหนักก็เข้ามาเกาะกุมหัวใจอีกครั้ง น้ำเสียงจึงสั่นเครือเล็กน้อย
“อย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะ ป้าอย่าคิดมากไปเลยนะคะ ฉันดีขึ้นแล้วจริง ๆ”
หลี่หงเห็นหลานสาวพูดกับตนเองมากขึ้นก็ยิ้มแก้มปริ พร้อมกับคะยั้นคะยอให้รีบกินข้าวกินยา
“ป้าเช็ดผมจนหมาดแล้ว รีบกินข้าวกินยาเถอะนะ”
หลี่ซีเหมยคนใหม่รู้ดีว่าหลี่หงเป็นคนงานยุ่ง แต่ละวันป้าหลานคู่นี้แทบไม่ได้คุยกัน เพราะผู้เป็นป้าให้ความสำคัญกับเจ้านายมาเป็นอันดับแรกเสมอ อะไร ๆ ก็เจ้านายจนบางครั้งหลี่ซีเหมยคนเดิมยังรู้สึกอิจฉา
ดูสิ เพียงแค่เธอนึกถึงเจ้านายคนนั้น ยังรู้สึกไม่ดีกับเขาตามความรู้สึกของร่างเดิมไปแล้ว อาจเพราะหลี่หงให้ความสำคัญกับนายหนุ่มมาก จนกระทั่งหลานสาวไม่ได้รับคนสนใจเท่าที่ควร
‘สำหรับเธอแล้ว หลี่หงก็เป็นญาติคนสำคัญเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เหมือนกัน เพราะอย่างนั้นหลี่ซีเหมยคนเดิมถึงอยากได้รับความสนใจจากป้าเหมือนเด็กไม่รู้จักโต’
แต่หลี่ซีเหมยคนใหม่มีเหตุมีผลมากพอ เมื่อดูจากความทรงจำและจากที่สังเกตการกระทำของหลี่หงต่อตัวเองตลอดหลายวันมานี้ ก็สามารถเข้าใจได้ว่า หากให้เลือกระหว่างเจ้านายกับหลานสาว เป็นตายอย่างไรหลี่หงก็ยังเลือกหลานสาวเสมอ ส่วนเจ้านายหลี่หงคงตัดสินใจสละชีวิตตนเองเพื่อเขาหลังจากเลือกหลานสาวแล้วนั่นเอง
อาจเพราะป้าอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้มานานจนผูกพันกับทั้งครอบครัวของเจ้านายจนเสมือนคนในครอบครัวไปแล้ว มันเป็นความภักดีที่น่ายกย่องเสียมากกว่า หากกล่าวในฐานะคนของแฟมิลี คนอย่างหลี่หงน่านับถือเป็นอย่างยิ่ง
“ฉันอยากเรียนต่อค่ะป้า” หลี่ซีเหมยเอ่ยขึ้นหลังจากกินข้าวต้มจนหมดชามแล้ว
หลี่หงรอยื่นแก้วน้ำและยาให้หลานสาว เมื่อได้ยินเช่นนั้นแม้จะแสดงสีหน้าประหลาดใจแต่ก็ตอบรับอย่างรวดเร็ว
“เอาสิจ๊ะ หลานเป็นเด็กฉลาดถ้าเรียนจบมัธยมปลายมาแล้วก็คงสามารถช่วยงานในกิจการของเจ้านายได้ ไม่ต้องทนเป็นสาวใช้ไปตลอดชีวิตเหมือนป้า”
“แต่ป้าก็ไม่ได้ทนนี่คะ ?”
หลี่หงหันมองหน้าหลานสาวที่พูดออกมาอย่างนั้น พร้อมเผยรอยยิ้มอย่างหญิงวัยกลางคนผู้แสนใจดี แถมยังจับมือของหลานสาวขึ้นมากุมเอาไว้ แววตาไหวระริกด้วยความตื้นตันใจ
“ที่แท้หลานยังใส่ใจป้าถึงเพียงนี้ ขอบใจนะจ๊ะ เป็นป้าที่เข้าใจผิดคิดว่าหลานเก็บตัวเพราะยังทำใจยอมรับเรื่องที่ผ่านมาไม่ได้ เป็นป้าต่างหากที่ไม่ใส่ใจหลานมากพอ”
“แล้วจากนี้ล่ะคะ ?” หลี่ซีเหมยเอ่ยขึ้น คล้ายทวงถามว่า หลังจากนี้ป้าจะใส่ใจหลานสาวคนนี้มากขึ้นหรือไม่ เพราะเธอเองก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าจะไว้ใจครอบครัวได้อีกครั้งเมื่อไหร่ หลังจากโดนหักหลังมาในชีวิตก่อนหน้า
“จากนี้ป้าจะพยายามเข้าใจหลานมากขึ้น เอาใจใส่และดูแลหลานให้ดี จริงด้วยสิ เดือนหน้าป้าจะพาหลานไปเคารพศพพ่อแม่ที่บ้านเกิดของเราดีไหม”
“เราจะขอเอกสารเดินทางได้หรือคะ” หลี่ซีเหมยขุดความทรงจำและพบว่า นับตั้งแต่พ่อแม่จากไปเมื่อสองปีก่อน ก็ไม่เคยเดินทางกลับเมืองเดิมอีกเลยหลังถูกส่งมาอยู่กับป้า
ไม่ใช่เพราะไม่อยากไป แต่หากไม่มีเอกสารขออนุญาตเดินทางจากทางการ ก็ไม่สามารถออกจากเมืองได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะการข้ามเขตมณฑลยิ่งยากกว่ากันมาก
“เรื่องนั้นป้าจะลองถามนายท่าน…”
“เอาไว้ก่อนก็ได้ค่ะ ตอนนี้ฉันอยากตั้งใจเรียนให้จบก่อน” หลี่ซีเหมยรีบพูดออกมา เพราะไม่อยากให้ป้าต้องไปเอ่ยปากขอร้องจากเจ้านายคนนั้น