ภายหลังมีลูกเรือคนหนึ่งซึ่งอายุใกล้เคียงกับมู่เฟยเหลียนมากระซิบให้ฟังว่า เดิมทีลูกเรือทุกคนและซูหลีเดินทางมาจากหมู่บ้านเดียวกัน ห้าเดือนก่อนแคว้นฝูเคยทำสงครามมาแล้วครั้งหนึ่ง ส่งผลให้คนในหมู่บ้านถูกสังหาร กระทั่งเด็ก สตรี และคนแก่ก็ไม่ละเว้น
ซูหลีกับพวกพ้องโกรธแค้นและเสียใจมาก เมื่อสืบหาข่าวคราวจึงได้รู้ว่าเป็นคำสั่งของราชวงศ์เพื่อล่อให้ศัตรูมาที่หมู่บ้าน ถ่วงเวลาให้ตนสามารถหลบหนีจากการถูกรุกราน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนบนเรือสำเภาลำนี้จะไม่มีใจคิดช่วยเหลือแคว้นฝู ในเมื่อผู้นำเป็นผู้พรากสิ่งที่รักจากพวกเขาไป
มู่เฟยเหลียนเพิ่งมีโอกาสได้เรียนรู้มุมมองของสงครามที่แตกต่างออกไป
ผู้นำที่เคยทิ้งขว้างผู้ใต้การปกครอง ก็ไม่แปลกที่พอถึงคราวคับขัน คนเหล่านั้นจะทอดทิ้งผู้นำดังกล่าวเช่นกัน
“ที่นี่ดูท่าจะไม่สงบเสียแล้ว...” มู่เฟยเหลียนพึมพำขณะเดินกลับไปที่หน้าห้องเก็บสุรา พอไม่เห็นหลวนเจี้ยนเสียนก็ตกใจในทีแรก ก่อนจะคาดเดาว่าอีกฝ่ายอาจกลับไปนอนพักผ่อนที่ห้องแล้วก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้เด็กสาวจึงหมุนกายเดินไปยังเขตห้องพักซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
เนื่องจากการได้พักห้องเดี่ยวจำเป็นต้องจ่ายราคาแพงและมีเพียงสามห้อง ห้องของนางกับหลวนเจี้ยนเสียนซึ่งเป็นห้องพักเดี่ยวทั้งคู่จึงอยู่ติดกัน
ยามนี้การหลีกเลี่ยงขึ้นฝั่งที่ท่าเรือเมืองต้าไห่น่าจะปลอดภัยที่สุด แต่หลวนเจี้ยนเสียนกำลังป่วย... ควรจะรีบพาไปรักษาโดยเร็ว
ทว่าซูหลียืนกรานจะหยุดรอดูสถานการณ์กลางมหาสมุทร และนางก็บอกเรื่องที่หลวนเจี้ยนเสียนป่วยไม่ได้เพราะเขาอาจจะโดนลูกเรือจับโยนทะเล
...สถานการณ์มันบีบคั้นเหลือเกิน
มู่เฟยเหลียนถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ครั้นเดินมาถึงหน้าห้องก็ฝืนยิ้มพร้อมกับเคาะประตู
ก๊อก! ก๊อก!
“เจ้าตัวเล็ก?” เสียงแหบแห้งถามขึ้นเบาๆ
“อือ ข้าเอง”
“เข้ามาสิ”
เด็กสาวเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าชายหนุ่มนอนอยู่บนเตียง ตรงผนังห้องแขวนตะเกียงเจ้าพายุซึ่งเปล่งแสงริบหรี่ สภาพในห้องค่อนข้างรกและมีกลิ่นอับ ทางเดินด้านในคับแคบจึงสามารถเดินผ่านได้แค่คนเดียว นอกจากเตียงก็ไม่มีจุดอื่นให้นั่งได้อีก สุดท้ายนางจึงเลือกที่จะยืนอยู่ข้างเตียงแทน
“เจ้าไม่เอาข้าวเย็นมาให้ข้า”
ผู้ที่เพิ่งรู้ตัวว่าลืมไปเสียสนิทชะงัก กลอกตาไปมาเพื่อครุ่นคิดหาข้ออ้างกลบเกลื่อน “เจ้าไม่สบาย กินอาหารหนักไม่ได้อยู่แล้ว”
“แน่ใจหรือว่าเจ้าตั้งใจ มิใช่เพราะว่าลืม?”
นางกระแอมพลางเปลี่ยนเรื่องคุย “เจ้าหิวมากหรือ”
“ไม่” ผู้ตอบส่ายหน้า ยามนี้รู้สึกครั่นเนื้อไม่สบายตัว ความไม่อยากอาหารย่อมน้อยลงไปด้วย อีกอย่าง... อาหารบนเรือลำนี้ก็รสชาติไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
“ข้าแค่รู้สึกแปลกๆ หากไม่ได้กินข้าวครบสามมื้อ”
“ข้าเห็นด้วย” มู่เฟยเหลียนเอามือกอดอก พยักหน้าหงึกๆ “หลังจากเรือเทียบท่าขึ้นฝั่งแล้ว เจ้าอยากทำสิ่งใดเป็นอย่างแรก”
“หาโรงเตี๊ยมดีๆ นอน ดื่มสุราที่แพงที่สุดในเมือง!” เพียงจินตนาการภาพในหัว ผู้ที่นอนป่วยก็คลี่ยิ้มราวกับกำลังจมอยู่ในห้วงฝัน “เจ้าล่ะ”
“อาบน้ำ!” นางตอบทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
การใช้ชีวิตบนเรือสำเภานั้นแสนลำบาก นางไม่เคยได้อาบน้ำ ทุกวันลูกเรือจะนำน้ำใส่อ่างไม้ใบเล็กมาส่งให้ทุกเช้า ใช้ล้างหน้าแล้วเอาผ้าชุบน้ำที่เหลือมาเช็ดตัว สำหรับสตรีผมยาว นางแทบรับสภาพตัวเองไม่ได้ ดังนั้นจึงมักจะแอบไปขโมยน้ำมาสระผมประมาณสี่วันครั้ง
“อือ อันนั้นข้าก็เอาด้วย” หลวนเจี้ยนเสียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ไอทะเลที่เคลือบอยู่บนผิวทำให้เขารู้สึกเหนียวตัว จนหลงคิดว่าตนเองกำลังจะกลายร่างเป็นหมึกตากแห้ง
“แล้วเจ้ามีสิ่งที่คิดว่าสำคัญมากกว่าชีวิตหรือไม่”
ผู้ที่นอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียงถอนหายใจ ในช่วงเวลาที่เขาต้องการพักผ่อน เด็กสาวกลับมากระตุ้นให้เขาใช้สมองเสียนี่ นางมีเจตนาแกล้งเขาอย่างเห็นได้ชัด
“ก็คงเป็นความสุขกระมัง”
“อือ” นางพยักหน้าช้าๆ
“เจ้าเล่า มีสิ่งที่สำคัญกว่าชีวิตหรือไม่”
“สำหรับข้า... คงเป็นอิสรภาพ”
นางทอดทิ้งทุกอย่าง ครอบครัว ฐานันดรศักดิ์ ความสุขสบายทั้งปวงก็เพื่อคำคำนี้
หลวนเจี้ยนเสียนหรี่ตามองผู้ตอบอยู่ครู่หนึ่ง แต่พริบตาเดียวก็เปิดปากหาว
“ตกลงด้านนอกเกิดอันใดขึ้นหรือ” เขาวกกลับมาถามเข้าประเด็นหลังจากพูดคุยเรื่องสัพเพเหระมานาน
“อือ มีปัญหา” มู่เฟยเหลียนปั้นหน้ายุ่งยาก “กองทัพเรือจากแคว้นเกากับแคว้นจื้อโหยวปิดทางน่านน้ำ ท่านลุงซูจึงสั่งให้ทิ้งสมอเรือ รอดูสถานการณ์อยู่เงียบๆ”
“แคว้นเกากับแคว้นจื้อโหยว?” ชายหนุ่มทวนเสียงสูง “อา... แคว้นฝูคงถึงคราวสูญสิ้นแล้ว”
“เจ้าเป็นคนแคว้นฝูหรือไม่”
“ไม่ใช่” คู่สนทนาส่ายหน้า “ข้าเป็นคนจากเกาะเทียนซิง”
“สาเหตุที่รบกันเป็นการตัดสินใจของคนเบื้องบน แต่ผู้ที่เดือดร้อนคือราษฎรรากหญ้า” นางยืนนานๆ ก็เริ่มเมื่อยจึงเคาะเท้าเล่น “ช่างเถิด ข้าเป็นห่วงอาการของเจ้ามากกว่า หลวนเจี้ยนเสียน เจ้าควรไปพบหมอโดยเร็วที่สุด”
“ชายฝั่งที่ใกล้ที่สุดคือท่าเรือเมืองต้าไห่” เขาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง เปลือกตาปิดลงครึ่งหนึ่งอย่างเหนื่อยล้า ราวกับพร้อมที่จะยอมรับชะตากรรมของตนเอง “ข้าจะนอนแล้ว เจ้าจะไปไหนก็ไปเถิด”
แม้รู้ตัวว่าตนเองอาจมีโอกาสตาย ทว่าหลวนเจี้ยนเสียนกลับไม่โอดครวญหรือโวยวาย แต่เผชิญหน้ากับมันอย่างสงบจนน่าตกใจ
เป็นมู่เฟยเหลียนเสียอีกที่ขมวดคิ้วไม่พอใจ แต่นางไม่ได้อยู่ในจุดที่สามารถต่อว่าอีกฝ่ายได้ พวกนางเพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เด็กสาวเข้าใจดีว่าตนไม่ควรล้ำเส้น
“ข้าจะวางยาไว้ตรงนี้” ผู้กล่าวหยิบตลับยาอันเดิมออกมา หยิบยามาสองเม็ด ดึงผ้าเช็ดหน้ามาห่อไว้แล้ววางลงบนลังไม้ข้างหัวเตียง “ความจริงยาของท่านแม่มีฤทธิ์หกชั่วยาม แต่ถ้าเจ้ารู้สึกว่าอาการทรุดหนักลงอีกก็กินเข้าไปอีกเม็ดก็ได้”
เนื่องจากหลวนเจี้ยนเสียนไม่ตอบ นางจึงเดินไปที่ประตูเพื่อกลับห้องของตนเอง นึกไม่ถึงว่าในจังหวะที่กำลังจะก้าวเท้าออกไป ผู้ที่เด็กสาวเข้าใจว่าหลับไปแล้วกลับเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
“ยาที่มีสรรพคุณดีเลิศเช่นนี้ เจ้าเอามาให้ข้า... มันคุ้มค่าแล้วหรือ”
“คุ้มสิ” มู่เฟยเหลียนตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด ยามเมื่อประสานสายตากับคนบนเตียง รอยยิ้มกว้างก็ประดับขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์ “เจ้าเป็นว่าที่ผู้คุ้มกันข้า ช่วยชีวิตเจ้าก็เท่ากับช่วยข้าด้วย”
หัวคิ้วของคนฟังกดเข้าหากันทันที “ข้ายังไม่รับปากเลยว่าจะเป็นลูกจ้างของเจ้า”
“นั่นสินะ” มู่เฟยเหลียนยิ้มตอบอย่างซุกซน มองอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดประตูห้องอย่างเงียบเชียบ
นางหวังว่าวันพรุ่งนี้ นางจะเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วพบว่าหลวนเจี้ยนเสียนยังคงหายใจอยู่
แสงอาทิตย์ของวันใหม่สาดส่องไปทั่วหล้า ผืนน้ำสีครามส่องประกายระยิบระยับดุจอัญมณีล้ำค่า นกนางแอ่นโผบินเป็นฝูง ส่งเสียงร้องอยู่ไกลลิบ
ว่ากันว่าหากเห็นนกนางแอ่นเมื่อใดก็หมายความว่าชายฝั่งอยู่ไม่ไกลแล้ว
วันนี้มู่เฟยเหลียนตื่นมาแต่เช้าตรู่ ครั้นรับอ่างไม้ใส่น้ำจากลูกเรือเสร็จก็เอ่ยถามทันที “พวกเขาเลิกสู้กันแล้วหรือยัง”
“อา...” ผู้ถูกถามยกมือเกาศีรษะ “เรื่องนั้น... น่าจะอีกสักพัก ต่อให้ยามนี้กองทัพเรือล่าถอยไปแล้ว แต่ก็มีโอกาสบุกโจมตีใหม่คืนนี้ แม่นางมู่ เจ้าอยากขึ้นฝั่งหรือ”
“ข้าอยู่บนเรือจนจะเปื่อยอยู่แล้ว อีกอย่าง... เรือสำเภาแล่นอยู่บนทะเล เวลาคลื่นซัดก็โยกไปมา บางครั้งกระทั่งข้าเองก็ยังเวียนหัว” เด็กสาวบ่นก่อนจะมองซ้ายแลขวา ครั้นไม่เจอผู้อื่นบนโถงทางเดินก็เอามือป้องปากกระซิบ “ความจริงแล้วสหายข้าเมาเรือน่ะ ข้าเห็นแล้วก็สงสาร จึงอยากให้ถึงฝั่งเร็วๆ”
“เมาเรือ? ผู้ใดหรือขอรับ”
“หลวนเจี้ยนเสียน”
“จอมยุทธ์หลวนหรือขอรับ” อีกฝ่ายทวนเสียงสูง “จอมยุทธ์หลวนร่างกายแข็งแกร่ง ไม่น่าจะเมาเรือนะขอรับ แต่จะว่าไป... เมื่อคืนที่ผ่านมาข้าเองก็ไม่เห็นเขาเลย”
“จอมยุทธ์อย่างไรก็เป็นคน เขาเมาเรือแล้วรู้สึกอายจึงไม่อยากให้ผู้ใดเห็น วันนี้เจ้าเอาอ่างไม้ใส่น้ำไปวางทิ้งไว้ที่หน้าห้องก็พอ ประเดี๋ยวเขาค่อยยังชั่วแล้วคงออกมาหยิบเอง”
ครั้นลูกเรือได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ลูกผู้ชายย่อมไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นด้านที่อ่อนแอเป็นธรรมดา
เด็กสาวมองแผ่นหลังของลูกเรือที่เดินจากไป อย่างน้อยนางก็สามารถยื้อเวลามิให้ผู้อื่นรู้ว่าหลวนเจี้ยนเสียนล้มป่วย แต่ก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หากศึกที่ชายฝั่งยืดเยื้อเป็นเดือนเล่า จอมยุทธ์หนุ่มคงมิอาจยื้อได้นานถึงเพียงนั้น
มู่เฟยเหลียนคิดพลางเดินไปแง้มประตูห้องถัดไป สาวเท้าเร็วๆ ไปข้างเตียงแล้วยกมือทาบเหนือปลายจมูกของผู้ที่หลับใหล ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าเขายังหายใจอยู่
เด็กสาวเอาผ้าชุบน้ำในอ่างไม้ใบใหม่ที่ลูกเรือเพิ่งนำมาให้ บิดหมาดๆ แล้ววางลงบนหน้าผากกว้าง จากนั้นก็กลับไปล้างหน้าเช็ดตัวที่ห้องตนเอง เปลี่ยนชุดใหม่แล้วเดินออกมาด้านนอก
บรรยากาศบนดาดฟ้าเรือต่างจากเมื่อคืนนี้ลิบลับ คลื่นลมที่ค่อนข้างเบาทำให้สรรพสิ่งดูสงบ ลูกเรือสองสามคนกำลังทำความสะอาดและขัดพื้น ไร้เงาซูหลีและผู้โดยสารคนอื่น
“มาดูเร็ว! ตรงโน้นมีเรือผูกธงอีกสีหนึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้าชายฝั่ง!”
ร่างเล็กสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากลูกเรือซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ทัศนียภาพยามเช้าทำให้ภาพทุกอย่างชัดเจนกว่ายามราตรีที่ผ่านมา
ใบหน้าน่ารักหันไปทางทิศดังกล่าว ภาพที่เห็นส่งผลให้เหงื่อเม็ดใสๆ ผุดขึ้นตามใบหน้า สีหน้าของนางต่างจากลูกเรือซึ่งกำลังมองไปอย่างตื่นเต้นลิบลับ
เรือห้าลำซึ่งกำลังแล่นเข้าสู่ท่าเรือเมืองต้าไห่มีธงสีแดงโบกไสวไปตามแรงลม ทว่าแนวทางการเดินเรือที่ต่างจากปกติส่งผลให้เด็กสาวหรี่ตามองอย่างวิเคราะห์ ครั้นเห็นเรือไร้สังกัดอีกสองลำแล่นทิ้งช่วงห่างอยู่ด้านหน้าก็เข้าใจได้ในทันที
ธงสีเหลืองของแคว้นฝู ธงสีเขียวของแคว้นเกา ธงสีม่วงของแคว้นจื้อโหยว ธงสีแดงซึ่งนางไม่รู้จัก กับเรือไร้สังกัดที่มิอาจทราบที่มา
ห้ากองทัพจากแต่ละแว่นแคว้นต่างมารวมตัวกันที่เมืองต้าไห่...
นี่ไม่ใช่สงครามแย่งดินแดนธรรมดาแล้ว!
ต่อให้คนโง่งมที่สุดในใต้หล้ามายืนดูอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ก็ย่อมมองออกว่าสงครามนี้เป็นสงครามใหญ่ เบื้องหลังย่อมมีความซับซ้อนมากกว่าที่เห็น!
มือบางซึ่งวางลงบนกราบเรือบีบแน่นจนสั่นเทา แม้เรือสำเภาลำนี้จะอยู่ค่อนข้างไกล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรอดพ้นจากรัศมีการต่อสู้
ไม่ได้การ การที่เรือทิ้งสมอลงที่นี่ก็ไม่ต่างจากหมูในอวย พวกนางจำเป็นต้องแล่นเรือออกไปให้ไกลจากอาณาบริเวณนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!
“ท่านลุงซู!” เด็กสาวตะโกนเรียกชายวัยกลางคน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นเงาร่างของอีกฝ่ายแม้แต่เงา
“เจ้า! เห็นท่านลุงซูบ้างหรือไม่”
“ลูกพี่?” ลูกเรือคนหนึ่งเอียงคอพลางส่ายหน้า “น่าจะยังเมาค้าง นอนหลับอยู่ในห้องโน่นกระมัง”
เขาตอบเสร็จก็ค่อนข้างงุนงงว่าเหตุใดมู่เฟยเหลียนที่มักจะร่าเริงสดใสกลับหน้าดำคร่ำเครียด ครั้นจะเอ่ยปากถาม ร่างเล็กก็วิ่งผละจากไปเสียก่อน
มู่เฟยเหลียนวิ่งไปดูข้างท้องเรือทั้งสองฝั่งตามสัญชาตญาณ
เรือพายลำเล็กซึ่งห้อยติดกับเรือสำเภาหายไปลำหนึ่ง...
อย่าบอกนะว่าซูหลีฉวยโอกาสหนีไปตั้งแต่เมื่อคืน!
ดวงตากวางเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะกัดฟันกรอดด้วยความคับแค้นใจ
ลูกเรือทุกคนต่างเรียกเขาว่า ‘ลูกพี่’ บุรุษผู้นั้นจะใจร้าย... ทอดทิ้งคนเหล่านี้ได้ลงคอเชียวหรือ!