หก
สงครามห้าทัพ
ในระหว่างมู่เฟยเหลียนออกไปดูเหตุการณ์ด้านนอก นางก็พบว่าบันไดซึ่งเป็นทางเชื่อมต่อไปยังดาดฟ้าเรือมีผู้คนเบียดเสียด ยืนต่อกันจนกลายเป็นแถวยาว
ผู้โดยสารที่ได้ยินเสียงสัญญาณต่างพากันแห่ออกมาจากห้องโดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
เด็กสาวอาศัยร่างกายที่เล็กของตนเอง ก้มตัวมุดฝ่าฝูงชนออกไปจนถึงด้านบนได้สำเร็จ
กระแสลมแรงยามค่ำคืนพัดโบกจนหน้าชา มู่เฟยเหลียนหรี่ตาแล้วหมุนกายมองไปรอบๆ นอกจากคณะผู้เดินทางจะดูกระตือรือร้นแล้ว ลูกเรือทั้งหลายต่างก็วิ่งวุ่นไม่ต่างกัน
พลุสัญญาณดังกล่าวไม่ได้ดังมาจากคนที่อยู่บนเรือ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าเรือสำเภาเริ่มเข้าใกล้ชายฝั่ง หรือไม่ก็เกิดจากเรือลำอื่น
“ดูนั่น!”
หนึ่งในลูกเรือชี้นิ้วไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ดึงดูดให้คนบนเรือหันขวับไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน
ไกลออกไปหลายลี้มีแสงไฟริบหรี่ ผู้อาวุโสหลายคนส่ายหน้าไปมาเพราะมองไม่เห็น ต่างพากันตะโกนถามว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่
ด้านมู่เฟยเหลียนมีพลังของดอกบัวหิมะพันปีหมุนเวียนอยู่ในร่างกาย ครั้นนางใช้สมาธิเพ่งฝ่าความมืดก็สามารถเห็นภาพทุกอย่างได้ชัดเจนมากกว่าคนทั่วไป
เรือทั้งหมดหก... เจ็ด... แปด ไม่สิ หากมีมากกว่าสิบห้าลำเช่นนี้ ควรเรียกว่ากองทัพเรือจึงจะถูก!
เหตุใดจึงมีกองทัพเรือแล่นผ่านมาทางนี้ได้... หรือสำเภาลำนี้จะแล่นออกนอกเส้นทางที่กำหนดไว้แต่แรก
ขณะที่มู่เฟยเหลียนกำลังครุ่นคิดอย่างสับสนอยู่นั้น พลุสัญญาณจากกองทัพเรือดังกล่าวก็ดังขึ้นอีกครา แสงสีแดงสว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้ายามราตรี ส่งผลให้ผู้ที่จับตามองเห็นภาพของกองทัพเรือที่อยู่ใต้แสงดังกล่าว
“ลูกพี่! ในจำนวนเรือเหล่านั้นมีผูกธงสีเขียวกับสีม่วง!” ต้นหนซึ่งสังเกตการณ์อยู่บนยอดเสาเรือตะโกนบอกคนด้านล่าง
“อะไรนะ!” ชายวัยกลางคนซึ่งไว้หนวดเคราครึ้ม ผิวคร้ามแดดเปลือยแผงอกอุทานดังลั่น บุรุษผู้นี้มีนามว่าซูหลี เป็นเจ้าของเรือสำเภาลำนี้
“รีบทอดสมอเรือ! เร็วเข้า!” เขาออกคำสั่ง “ผูกเก็บใบเรือให้หมด!”
“รับทราบ!” ลูกเรือทั้งหมดต่างขานรับ แต่ละคนกระโดดไปประจำตำแหน่งของตนเองและลงมือทำอย่างคล่องแคล่ว การทำงานประสานกันได้อย่างกลมเกลียวเกิดจากการฝึกฝนมาอย่างเชี่ยวชาญ ส่งผลให้สำเภาลำใหญ่ที่แต่เดิมเคลื่อนไหวหยุดนิ่งตามความต้องการของซูหลี
“ลูกพี่ แล้วจะเอาอย่างไรต่อ!” ลูกเรือต่างเดินเข้ามาถามอย่างตื่นเต้น พวกเขาทำงานเป็นลูกน้องซูหลีมาหลายปี แต่ก็เพิ่งเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก
ชายหนวดยาวถลึงตาใส่ผู้ถาม “ถามอะไรโง่ๆ ก็รอดูอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น!”
เหล่าผู้ที่ทำงานกับซูหลีต่างมีสีหน้าหวาดๆ ผิดกับมู่เฟยเหลียนซึ่งเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว
“ท่านลุงซู ธงสีเขียวกับธงสีม่วงคืออะไรหรือ”
“เจ้า... ไม่รู้รึ!?” อีกฝ่ายถามเสียงสูง ครั้นเห็นเด็กสาวพยักหน้ายืนยัน เขาก็ถอนหายใจแล้วหันไปตะโกนสั่งลูกน้องต่อ “ในเมื่อคนมาอยู่ที่นี่หมดแล้ว พวกเจ้าไปดูที่ครัวสิว่าข้าวพร้อมไหม ถ้าพร้อมแล้วก็ยกมาแจกจ่ายที่นี่!”
“ขอรับลูกพี่!”
มู่เฟยเหลียนยังคงยืนรอให้ซูหลีอธิบายอย่างใจเย็น ดวงตาที่มองมาอย่างเฝ้ารอ ส่งผลให้ชายวัยกลางคนรู้สึกกดดันจนเหงื่อแตก สุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างยอมแพ้ แล้วเดินนำนางมายังมุมสงบอีกฟากหนึ่ง
“เจ้าเพิ่งเดินทางมาที่นี่ครั้งแรกรึ”
นางพยักหน้าช้าๆ “เคยมาแล้วครั้งหนึ่งกับท่านแม่ แต่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไร”
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น” เขาหัวเราะอย่างดูแคลน “เรือสำเภาของเราจะไปขึ้นท่าที่เมืองต้าไห่ เป็นเมืองท่าของแคว้นฝู สีธงประจำแคว้นเป็นสีเหลือง”
เด็กสาวหันไปหรี่ตามองจุดที่กองทัพเรือซึ่งอยู่ไกลโพ้น ผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นเรือลำหนึ่งเริ่มมีเปลวเพลิงลุกโหม แลดูเป็นภาพที่น่ากลัวยิ่ง
มู่เฟยเหลียนกลืนน้ำลายพลางถามอย่างระมัดระวัง “ธงเหล่านั้นเป็นสีอื่น หมายความว่าไม่ใช่เรือของแคว้นฝู?”
“ธงสีเขียวคือแคว้นเกา ส่วนสีม่วงเป็นแคว้นจื้อโหยว”
“เป็นเรือสินค้า?”
“ฮ่าๆๆ” ซูหลีหัวเราะเสียงดังลั่น ก่อนจะไอแค็กๆ เพราะน้ำลายติดคอ “เฮ้อ! เจ้ารู้แก่ใจว่ามันเป็นเรืออะไร ยังมีหน้ามาถามข้าอีก”
นางฟังแล้วได้แต่หลุบตามองต่ำ จากประสบการณ์ที่เคยติดตามบิดาไปค่ายทหาร มีหรือที่มู่เฟยเหลียนจะดูไม่ออกว่าเรือรบกับเรือส่งสินค้ามันแตกต่างกัน
แคว้นเกา... แคว้นจื้อโหยว...
เด็กสาวจำได้ว่าในห้องพักบนเรือนี้มีแผนที่ดินแดนติดอยู่ ทว่าน้ำหมึกจางมากจนแทบมองไม่เห็น คาดว่าน่าจะถูกติดประดับไว้นานแล้ว
“แคว้นฝูมิใช่บ้านเกิดของพวกท่านหรอกหรือ”
“ใช่”
“ยามนี้บ้านเกิดของท่านกำลังมีภัย กองทัพเรือของแคว้นศัตรูมาจอดรออยู่ที่ท่า จากรูปการณ์คาดว่าคงมีการปะทะกันแล้วด้วย”
เหล่าลูกเรือกับผู้โดยสารซึ่งตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันพากันเดินไปหยิบชามข้าวกับตะเกียบ นั่งล้อมวงบนดาดฟ้าเรือโดยมีฉากกองทัพเรือเข้าปะทะกันเป็นฉากหลัง
เปลวเพลิงที่ร้อนระอุอยู่ตรงริมท่าเปล่งแสงสีแดงส้มขัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงินยามค่ำคืน ทว่าพวกเขาซึ่งอยู่ไกลไม่ได้รู้สึกร้อน เพียงแต่ได้กลิ่นไหม้ลอยมาทางอากาศเท่านั้น
มู่เฟยเหลียนได้แต่ยืนอึ้ง อีกด้านหนึ่งผู้คนกำลังเข่นฆ่ากัน ทว่าคนบนเรือลำนี้กลับกินข้าวดื่มสุราเหมือนอยู่ในงานเลี้ยง!
“พะ...พวกท่าน”
“หากเดินเรือต่อก็มีแต่จะเข้าไปตาย” ชายวัยกลางคนนั่งขัดสมาธิบนถังไม้ เปิดจุกขวดน้ำเต้าแล้วกระดกเข้าปาก สุราฤทธิ์แรงไหลเปื้อนมาถึงอก ทว่าเจ้าตัวไม่คิดจะเช็ดทำความสะอาดแต่อย่างใด “เจ้าหนู เจ้าน่ะอายุยังน้อย รู้หรือไม่ว่าในสนามรบ ผู้ที่แข็งแกร่งและขี้ขลาดต่างมีชีวิตรอด แต่จะมีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่ตาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นคนประเภทใด”
เด็กสาวขมวดคิ้ว คิดว่าต่อให้ตอบไปก็คงไม่ถูกจึงส่ายหน้า “ขอผู้อาวุโสชี้แนะด้วย”
ความนอบน้อมถ่อมตนของคนอายุน้อย ส่งผลให้ซูหลีหัวเราะอย่างถูกใจ เอามือตบหลังนางป้าบๆ
มู่เฟยเหลียนสะดุ้งโหยง พยายามเก็บอาการไม่ให้อีกฝ่ายเห็นสีหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวดของตนเอง ทว่าต่อให้นางระวัง ซูหลีซึ่งดื่มสุราเมามายจนแก้มแดงก็ไม่คิดจะสนใจอยู่แล้ว
“ประเภทที่มักจะตายในสนามรบคือผู้ที่กล้าหาญอย่างไรล่ะ”
“กล้าหาญ?”
“อือ” ชายวัยกลางคนพยักหน้าถี่ๆ “คนประเภทนี้มักจะไม่รักตัวกลัวตาย และเพราะเป็นเช่นนั้นก็เลยตายจริงๆ”
“ท่านลุงหลี นั่นเพราะพวกเขาเห็นสิ่งอื่นสำคัญกว่าชีวิตต่างหาก”
ซูหลีจุ๊ปาก ส่ายหน้าราวกับไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่นางพูด “สิ่งอื่นที่เจ้าว่า... ไหนลองพูดมาสิว่ามันคืออะไร”
เด็กสาวยกมือเท้าคาง เหม่อมองภาพฉากการต่อสู้ที่อยู่ไกลลิบ “อย่างเช่น ความจงรักภักดี เกียรติยศ คุณธรรม มิตรภาพ...”
“เพ่ย!” ซูหลีถ่มน้ำลายลงพื้น มู่เฟยเหลียนกระถดกายหลบทันไปอย่างหวุดหวิด
“สิ่งจอมปลอมเหล่านั้นมันมีค่าที่ไหน หากคนตาย กลายเป็นร่างไร้ลมหายใจก็ถือว่าทุกอย่างจบแล้ว ต่อให้จงรักภักดี เจ้าก็ไม่มีชีวิตอยู่ให้อีกฝ่ายขอบคุณน้ำใจ ต่อให้ได้รับเกียรติยศ มันก็แค่ป้ายหน้าหลุมฝังศพที่มีแต่เถ้ากระดูก ต่อให้มีคุณธรรม คนรุ่นหลังก็จะจดจำเพียงแค่ชื่อ แล้วมิตรภาพที่เคยคิดว่าสวยหรู... ก็จะกลายเป็นแค่การเผาเศษกระดาษให้เจ้าในวันครบรอบวันตายเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่เสียสละเพื่อสิ่งเหล่านั้นไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง มันเป็นแค่ความว่างเปล่าที่ปรุงแต่งขึ้นมาเองทั้งสิ้น!”
น้ำเสียงเย้ยหยันของผู้กล่าวถูกกลบทับด้วยเสียงคลื่นและผู้คนซึ่งมารวมตัวกันที่นี่
“เจ้าหนู กินข้าวเถิด”
เด็กสาวก้มหน้ามองชามข้าวต้มที่เหยาะเกลือและโปะผักดองมาให้พอมีรสชาติ จากนั้นก็เงยหน้ามองผู้คนบนเรือซึ่งอยู่ในท่วงท่าที่หลากหลาย ทว่าไม่มีผู้ใดแสดงอาการเป็นกังวลเรื่องสงครามที่เกิดขึ้นเลยสักคน ราวกับเป็นเรื่องไกลตัวที่ไม่สมควรจะไปยุ่งเกี่ยว
“แล้วลูกเมียพวกท่านเล่า พวกเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหรอกหรือ”
ซูหลีนิ่งไปเล็กน้อย บรรยากาศครึกครื้นบนเรือจางหายไปโดยฉับพลัน ลมเย็นพัดผ่านชวนให้หนาวเข้ากระดูกดำ
“ตายหมดแล้ว”