ตอนที่ 4 ชื่อตอน ลมเปลี่ยนทิศ

1314 คำ
"มู่เหมียนเจ้าเป็นอันใดหรือไม่ " อำมาตย์เหลียนวิ่งกระหืดกระหอบมา ยามที่มีผู้ไปแจ้งว่าบุตรสาวของตนนั้น เป็นลมล้มพับไปในฝ่ายใน อำมาตย์เหลียนลูบผมของบุตรสาวเบาๆ และสอบถามหมอหลวงว่านางเป็นเช่นใดบ้าง "ลูกข้าเป็นเช่นใดบ้าง ท่านหมอหลวง" "นางคงแค่อ่อนเพลียเท่านั้น ข้าน้อยตรวจดูนางอย่างถ้วนถี่แล้ว นางคงพบกับแสงแดดแรงไป จึงเป็นลมสลบไป แค่เพียงนั้น ท่านอำมาตย์เหลียนอย่าวิตกใดๆเลย" พระชนนีขยับกายน้อยๆ กวักมือเรียกอำมาตย์เหลียนเข้าไปใกล้ๆ "ท่านอำมาตย์เหลียน หากบุตรสาวของท่านมิแข็งแรงนัก ข้าว่าท่านส่งนางเข้าวังหลวงโดยเร็วดีหรือไม่เล่า นางจะได้มิต้องลำบากลำบน เดินทางเข้าออกในวังหลวงให้ป่วยไข้อีก ท่านว่าดีหรือไม่เล่า" พระชนนีกรีดตาจ้องมองอำมาตย์เหลียนอย่างไม่วางตา อำมาตย์เหลียนเหงื่อตกออกมาช้าๆ ยามนี้องค์จักรพรรดิชราแล้ว มีอาการเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ มิอาจว่าราชการได้อีกแล้ว องค์จักรพรรดิก็ได้แต่งตั้งองค์รัชทายาทขึ้นมาแล้ว หากองค์จักรพรรดิทรงสิ้นพระชนม์แล้วจริงๆ เป็นสิ่งที่แน่นอนว่า พระชนนีคงได้เป็นใหญ่ในตำหนักในนี้เป็นแน่แท้ ยามก่อนนั้น อำมาตย์เหลียนมิเคยฝักไฝ่ฝ่ายใดมาก่อน แต่ยามนี้บุตรสาวของตนถูกตาต้องใจกับองค์รัชทายาท ที่มีชายาอยู่มากมาย ดั่งบุปผาบานในวังหลัง องค์ชายอื่นๆในตอนนี้ หากมิโดนเนรเทศให้ออกไปที่ชายแดน แต่มินานก็ใกล้จะหมดวาระ ในการอยู่อาศัยในวังหลวงแล้ว มินานนับจากนี้ องค์ชายทุกพระองค์จะต้องออกไป จากตำหนักในจนหมดสิ้น ฝ่ายใดที่ถือหางองค์ชายใด จะต้องเริ่มขยับไหว และครานี้ดูท่าแล้วว่า ตนเองนั้นคงจะต้องตกกระไดพลอยโจน ไปกับองค์รัชทายาทเป็นแน่แท้ หากเป็นยามก่อนคงมิติดขัดในสิ่งใด แต่ยามนี้ธิดาของตนนั้นแสนงดงามและอ่อนบาง การเป็นดอกไม้งาม ในตำหนักใน อาจนำนางไปสู่ความตายอย่างทุรนทุรายได้ อำมาตย์เหลียนต้องปาดเหงื่อขึ้นมาอีกครา "เปิ่นกงจะรอคำตอบในอีกไม่นาน หากท่านมิตอบรับเปิ่นกง เปิ่นกงจะถือว่าท่านมิใช่ฝ่ายเดียวกับเปิ่นกงในยามนี้ จงจำไว้นะอำมาตย์เหลียน โปรดทบทวนดูให้ดี ว่ายามนี้ท่านจะเลือกขึ้นเรือลำใดออกจากชายฝั่ง " พระชนนีตบบ่าอำมาตย์เหลียนเบาๆ และให้ผู้คนพยุงร่างท่านหญิงเหลียน ออกจากตำหนักในไปขึ้นรถม้ากลับจวนตน มู่เหมียนกุมศีรษะตนช้าๆ ความทรงจำของนางเสมือนขาดหายไปอีกแล้ว นางจำมิได้ว่ามาถึงตำหนักในได้เช่นไรกัน นางจดจำได้เพียงแค่บางสิ่งที่มืดสนิทในสายตาของนางก็เท่านั้น "คุณหนูเจ้าขา คุณหนูกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ " สาวใช้ของนางเร่งมาเกาะแขนขา พยุงตัวนางเข้าไปในเรือน อำมาตย์เหลียนมองบุตรสาวตน ด้วยแววตาหม่นหมอง ด้วยในครานี้ มิรู้จะหลีกหนีชะตาให้บุตรสาวของตน ในทางใด มิคาด..หลังจาก กลับมาถึงจวนของตนแล้ว ในวังหลวงสั่นระฆัง เป็นสันญาณว่าองจักรพรรดิได้ทรงสิ้นพระชนม์ ลงแล้ว !!! ครานี้ ในวังหลวงอลหม่านนัก สตรีในวังหลวง ผู้มิมีบทบาทอันใดในวังหลวง ล้วนต้องถูกจองจำในอารามชีไปชั่วชีวิต บรรดาองค์ชายน้อยใหญ่ล้วนถูกเนรเทศ ระเห็จออกจากวังในชั่วข้ามคืน แต่มีตำหนักหนึ่ง ที่ผู้คนต่างลืมเลือนไป ตำหนักสีดำซ่อนอยู่ในทิวไม้ ตำหนักที่มิเคยเปิดหน้าต่าง รับแสงสว่างใดๆเข้ามาในตำหนัก ครานี้ ผู้คนในตำหนักดำล้วน ชุมนุมกันเงียบๆในเงามืดของตำหนัก "ครานี้เราจะทำเช่นใดกันดีหรือกระหม่อม ยามนี้องค์จักรพรรดิได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว " "ในยามนี้ เราคงยังมิต้องขยับใดๆทั้งสิ้น อย่างไรตำหนักนี้ ก็ยังมิมีผู้คนมาสนใจ แม้แต่องค์จักรพรรดิก็ยังหลงลืมว่าได้จองจำข้าอยู่ในตำหนักนี้เลย" " เช่นนี้เราก็ทำเหมือนว่า มิมีผู้ใดมาแจ้งข่าว ให้ออกนอกฝ่ายในก็ได้เช่นเดียวกัน" " ข้าเป็นองค์ชายอย่างไรก็คงมิอาจมิโทษหนักใดๆ มากไปกว่าการขับออกนอกฝ่ายในแล้ว ในยามนี้องค์รัชทายาท คงยังมิตั้งตัว ในการหันมาสนใจในตัวข้านักหรอก เราจะกระทำการอันใดในวังนี้ก็ย่อมได้ " ผู้คนพยักเพยิดตามผู้อยู่หน้าแสงเทียนที่ใบหน้าแข็งกร้าว ขยับริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยช้าๆอย่างชัดเจนนัก "อีกมินาน นางคงถูกส่งเข้ามาในวังหลวง จับตาดูบิดาของนางเอาไว้ให้ดี " "ขอรับ แล้วเรื่องกองกำลังต่างๆเล่าขอรับ " "ให้ปะปนมาสอบจอหงวน ฝ่ายบู๊ในวังหลวงตลอดจนฝ่ายบุ๋น แทรกแซงในทุกฝ่าย ส่งสตรีมีฝีมือเข้ามาให้มาก อย่าให้หน้าตาไปสะดุดสายตาของบุรุษผู้นั้นเป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะเสียผู้คนไปเปล่าๆ แผนที่ข้าวางไว้จะขยับเขยื้อนไป โดยสิ้นเปลืองสมองอีก "ขอรับ ข้าน้อยจะจดจำเอาไว้ขอรับ " "ยามนี้ ผู้คนกำลังจะออกจากฝ่ายใน จงสับเปลี่ยนขันทีและคนรับใช้ รวมถึงองครักษ์ให้คลายลงในทุกส่วน จงให้ผู้ไร้ฝีมือ ขนาบข้างคู่เคียงบุรุษบนบัลลังค์ให้มากเข้า" " อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ให้มันหลงตนขึ้นคลองบัลลังค์เสียให้พอ อีกมินานข้าจึงจะค่อยเคลื่อนไหว ยามนี้ผู้คนต่างระมัดระวังตนนัก จะทำสิ่งใดไปก็คงมิดี " ในสายฝนยามเช้า เสียงหวีดร้องร่ำไห้ดังระงมขึ้นในฝ่ายใน สตรีหลายนางถูกบังคับนุ่งห่มชุดขาว สิ่งของถูกยึดครอง และขับไล่ออกไปยังอารามชี ผู้คนใบหน้าเปื้อนทุกข์ มีเพียงตำหนักในของพระชนนี ที่ยังคงสรวลดังลั่นออกมาจากตำหนัก "พระชนนีจะทรงสวมฉลองพระองค์ชุดใดดีนะเพคะ ชุดนี้ก็งามนะเพคะ ลายนกยูงเพคะ " เสียงนางกำนัลประจบสอพลอ ดังขึ้นในตำหนัก พระชนนีปรายตามองและตะโกนก้อง "บังอาจ!!!! " "องค์จักรพรรดิสิ้นยังมิถึงข้ามวัน เจ้าใช้สิ่งใดขบคิด ให้ข้าแต่งกายด้วยสีฉูดฉาดเช่นนั้นกัน นังโง่ !!!" "ไปหาชุดไว้ทุกข์เรียบๆมาให้ข้าสวมใส่ แล้วอย่าได้เอะอะอันใดอีก ยามนี้ผู้คนต้องไว้ทุกข์ทั่วเมือง ล้วนต้องเศร้าโศกยิ่งนัก " "โปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ " พระชนนีปรายตาแล้ว แย้มยิ้มเพียงนิดขึ้นมาอีกพลัน "ชุดงดงามเช่นที่เจ้าหยิบยกมานั้น ข้าจะรอคอยสวมใส่ ในวันที่บุตรของข้าได้ขึ้นครองบัลลังค์ จึงจะสวมใส่มันเป็นแน่ " " ถึงยามนั้น อย่างไรก็ต้องสวมใส่มันในฐานะพระชนนี จงเก็บรักษาไว้ให้ดี อย่างไรก็มินานมิเกินที่ข้าจะรอคอยเลย" "เพคะ เพคะ หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ จะรีบไปจัดการตามรับสั่ง เดี๋ยวนี้เลยเพคะ " นางข้าหลวงเร่งถลาออกไปกองภูษา ตัดเย็บชุดไว้ทุกข์ที่แสนสง่าให้พระชนนีอย่างรีบเร่ง ในกองภูษาล้วนคำนับข้ารับใช้ผู้เหนือผู้ใดในยามนี้ อย่างนอบน้อมถ่อมตน ป้องกันตนเองกันอย่างสุดชีวิต กระแสน้ำได้ไหลเปลี่ยนทิศแล้ว ทุกสิ่งย่อมมิแน่นอน ผู้ปกครองเปรียบเสมือนเจ้าชีวิต อันใดก็ล้วนเกิดขึ้นได้ในยามนี้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม