เมฆารีบเดินตามออกมา หลังจากเห็นภัสสราเดินออกไปทางหน้าร้านด้วยความแปลกใจและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ขึ้นรถ” เสียงเรียบนิ่งที่ได้ยินทำให้ภัสสรารีบหันไปตามเสียงนั้น
“ไม่หิวแล้วหรือคะ” ภัสสราถาม ขณะชะเง้อชะแง้มองหารถแท็กซี่ แต่บริเวณชานเมืองมีรถค่อนข้างน้อยคงต้องใช้เวลาในการรอ
มากขึ้น
“หรืออยากกลับกับสกาย”
“ถ้าอยากกลับกับสกาย หนูจะออกมาเรียกรถทำไม” น้ำเสียงห้วนๆ ทำให้อิงครัตน์เดินเข้าหาและจับแขนลากไปนั่งที่นั่งด้านข้างคน
ขับ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ถ้าลงมาฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับเธออีกเลย” คำพูดที่ได้ยินทำเอาภัสสรายอมนั่งนิ่งและคาดเข็มขัดนิรภัย ส่วนอิง
ครัตน์ขึ้นมานั่งประจำที่นั่งคนขับและรีบเคลื่อนรถยนต์ขับออกไปทันที
ภัสสรานั่งเงียบมาตลอดทาง คนขับรถอยู่ก็เช่นกัน แต่เมื่อรถยนต์กำลังจะเข้าจอดบริเวณที่เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางทำให้ภัสสรา
หันมามองสบตากับอิงครัตน์
“ฉันปวดท้องมาก ขอแวะหาอะไรทานหน่อย” อิงครัตน์มีใบหน้าซีดเผือด ซึ่งก่อนหน้าภัสสราไม่ได้สังเกตและไม่คิดว่าที่อิงครัตน์บอกว่าหิวนั้นพอมาตอนนี้จะทำให้เกิดอาการปวดท้องขึ้นมาได้
“ทานจืดๆ นะ ปรุงรสเยอะเดี๋ยวจะปวดท้องมากขึ้น” เสียงเข้มๆ ที่ได้ยินทำให้อิงครัตน์ยิ้มออก เพราะรู้สึกเหมือนกำลังโดนกำชับ
จากคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า
“ได้ทีดุใหญ่เลย” อิงครัตน์พูดขึ้น
“เอาคืน” ภัสสราพูดพึมพำมองดูอิงครัตน์ที่เริ่มซดน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวอย่างช้าๆ
“อีกแก้วไม่เอาน้ำแข็งค่ะ” ภัสสราบอกกับพนักงานของร้าน
“หายโกรธแล้วหรือ” อิงครัตน์ถามลอยๆ
“ยัง พักจนกว่าจะหายปวดท้อง ค่อยโกรธใหม่” ภัสสราแอบยิ้ม
“แบบนี้ก็ได้ด้วย เด็กหนอเด็ก” อิงครัตน์พูดขึ้นแล้วอมยิ้ม
“รู้ว่าจะปวดท้อง แล้วตามออกมาทำไม ไม่ทานข้าวก่อน”
“จากชานเมืองเข้าเมืองถนนหนทางมันเปลี่ยว นั่งรถแท็กซี่คนเดียวมันอันตรายคิดบ้างหรือเปล่า เธอควรเดินไปบอกนายสกายให้พากลับ”
“ก็อยากกลับเอง ไม่มีใครสนใจทำอะไรเองก็ได้” ภัสสราพูดเสียงอ่อยๆ หันไปมองด้านข้างไม่ยอมมองสบตากับคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ทีมองอยู่ทำเป็นไม่มอง แล้วบอกว่าอยากอยู่ในสายตา หันมากินก๋วยเตี๋ยวได้แล้ว อิ่มแล้วจะขับไปส่งถึงที่พักเลย” อิงครัตน์ยิ้ม
น้อยๆ มองดูคนที่ยังทำหน้างอแต่ยอมหันมาและเริ่มตักก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก
อิงครัตน์มองดูภัสสราที่นำกระบอกน้ำเดินไปขอน้ำร้อนจากคนขายกาแฟพร้อมกับจ่ายเงินค่าอาหารเรียบร้อยและเดินมายื่นแขนให้
“ไม่ได้แก่ขนาดนั้นนะ” อิงครัตน์ยิ้มมองดูภัสสราที่กลับมาทำหน้างอให้เห็นอีกครั้ง
“รู้ว่าไม่แก่ แต่เจ็บป่วยก็ต้องมีคนดูแลไหมล่ะ” ภัสสราพูดขึ้นและจับมืออิงครัตน์ให้มาจับที่แขนของตัวเอง ขณะค่อยๆ ช่วยพยุงให้ลุกขึ้น
“หรือว่าแก่แล้วนะ” อิงครัตน์หัวเราะเล็กๆ ชำเลืองมองสาวน้อยที่กำลังช่วยเหลือดูแลที่แอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“หนูขับให้” ภัสสราแบมือจ้องมองอิงครัตน์ที่ส่ายหน้าทันที
“ไม่เป็นไร”
“ไม่ขับเร็วหรอก สัญญา” ภัสสรายิ้มน้อยๆ ให้
“ไว้ใจได้ไหมล่ะ”
“หนูจะดูแลอย่างดีทั้งรถทั้งคนเลย” ภัสสราเปิดประตูรถยนต์และพาอิงครัตน์ไปนั่งก่อนจะวิ่งอ้อมไปประจำที่นั่งคนขับ
“น้ำยังร้อนอยู่ จิบบ่อยๆ จะได้สบายท้อง”
“ขอบใจจ้ะ แม่คนเจ้ากี้เจ้าการ” อิงครัตน์ยิ้มๆ มองดูคนที่ลงไปจากรถและวิ่งอ้อมมาเปิดประตูด้านที่ตัวเองนั่งอยู่ เบาะกำลังถูกปรับ
เอนลงมาเล็กน้อย อิงครัตน์มองตามภัสสราจนวิ่งกลับมานั่งข้างๆ และกำลังเคลื่อนรถขับออกไป รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้น ขณะชำเลืองมองเห็นอิงครัตน์หลับตาลงทำให้หัวใจของภัสสรารู้สึกสดชื่นขึ้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของตัวเองกันแน่ ตอนโดนดุโดนว่าก็น้อยอกน้อยใจ แต่พอได้ดูแลเอาใจใส่กลับมีความสุข ภัสสรายิ้มๆ ไม่ได้คิดหาคำตอบทั้งหมด เพราะเพียงแค่สงสัยในความรู้สึกของตัวเองเท่านั้น
อิงครัตน์แอบมองหญิงสาวที่อ่อนวัยกว่านั่งยิ้มขณะขับรถไปโดยไม่เร็วอย่างที่รับปากเอาไว้ ตัวเองไม่ค่อยชอบให้ใครมาวุ่นวายหรือช่วยเหลือดูแลนัก เพราะนั่นจะทำให้รู้สึกรำคาญ แต่ครั้งนี้แตกต่างหรือเพราะความอ่อนแอที่เกิดขึ้นทั้งในความรู้สึกและร่างกายยามเจ็บป่วย
เมฆาพยายามโทรศัพท์หาภัสสราที่ไม่รับสาย แม้แต่กับอิงครัตน์เองก็เช่นกัน เมื่อภัสสราไม่รับสายเมฆาจึงโทรศัพท์หาอิงครัตน์ เพราะเห็นว่าขึ้นรถไปด้วยกัน
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ว๊ะ” เมฆาสบถก่อนจะเคลื่อนรถยนต์ขับออกไปจุดหมายก็คืออพาร์ทเม้นท์ของภัสสรา
อิงครัตน์หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงเห็นว่าเป็นเมฆาจึงนำกลับเข้าไปเก็บไว้ที่เดิม ภัสสราหันมามองเล็กน้อยเอื้อมมือไป
แตะเบาๆที่แก้มพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“ดีขึ้นไหมคะ” ภัสสรายิ้มที่พูดจามีคะขาและอิงครัตน์ทำคิ้วขมวด
“อือ” มืออุ่นๆ ซึ่งทาบทับไปที่แก้มเมื่อสักครู่ทำให้รู้สึกอบอุ่นไปถึงหัวใจ แต่นั่นกลับทำให้อิงครัตน์ถอนใจ
ภัสสราหันไปมองดูคนที่หลับไปได้พักใหญ่คงอ่อนแรงจากอาการปวดท้อง รอยยิ้มน้อยๆ ที่ได้เห็นทำให้ยิ้มตามก่อนจะโน้มตัวเข้าใกล้จนจมูกสัมผัสไปที่แก้มของอิงครัตน์อย่างแผ่วเบา โดยระวังไม่ให้เจ้าตัวตื่นขึ้นมา
“ทำอะไรของแก ไอ้โต๊ด” ภัสสราคิดอยู่ในใจ แต่รู้สึกเขินอายกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปโดยกำมือจับพวงมาลัยรถยนต์เอาไว้แน่นทั้งๆ ที่รถยนต์จอดสนิทเรียบร้อยอยู่สักพักแล้ว
อิงครัตน์รู้สึกตัวตั้งแต่รถจอดสนิท แต่ยังคงนอนนิ่งและยิ่งต้องนิ่งมากเมื่อสัมผัสได้ว่าภัสสราโน้มตัวเข้ามาใกล้ จนกระทั่งปลายจมูก
แตะเบาๆ เข้าที่แก้ม
“ขี้เซาเหมือนกันนะ ป้าเนี่ย” ภัสสราบอกและกดเลื่อนกระจกลงจนสุด เพราะรู้ดีว่าหากอิงครัตน์ตื่นขึ้นมาตัวเองอาจถูกไล่กลับบ้าน
“กลับบ้านได้แล้วล่ะ ป่านนี้นายสกายไปรออยู่ที่นั่นแล้ว” อิงครัตน์พูดเหมือนที่ภัสสราคิดเอาไว้
“หนูขอนั่งเล่นอยู่ที่สนามหญ้าก็ได้ ไม่เข้าไปกวนในบ้าน หนูยังไม่อยากกลับไปที่ห้อง ไม่อยากคุยกันใครทั้งนั้น” ภัสสราพูดเสียง
อ่อยๆ
“ฉันโชคดีสินะที่เธอคุยด้วย” อิงครัตน์บอกแล้วยิ้มๆ พยักหน้าให้ภัสสราตามเข้าไปในบ้าน
“งั้นมั้ง” ภัสสรายิ้มๆ กับลูกตี๊อของตัวเองที่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้ใช้ แม้แต่กับเมฆาซึ่งคบหากันมานานหลายปี ภัสสรายังไม่
เคยออดอ้อนหรือขอร้องอะไร โดยเฉพาะเรื่องของเงินทองที่มีปัญหาอยู่บ้าง
อิงครัตน์พาภัสสราเข้ามาในบ้าน ซึ่งรายนั้นคุ้นเคยกับสถานที่ดีเลยเดินไปหาน้ำดื่มด้วยตัวเอง เจ้าบ้านจึงเดินไปล้มตัวลงนอนที่เก้าอี้ตัวเดิมซึ่งอิงครัตน์ใช้นอนอ่านหนังสือยามว่าง
“ทานยาไหมคะ” ภัสสราถาม อิงครัตน์ยิ้มๆ
“ให้เข้าบ้านด้วยมีคะขา ไม่ต้องกินแล้วล่ะ ดีขึ้นแล้ว ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ นี่มา” ภัสสรายืนงงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย
“สกายเป็นแฟนกับจูนหลานฉันและเท่าที่ดูยังเป็นแฟนของเธอด้วย ฉันสงสัยตั้งแต่วันที่เจอเธอพร้อมนายสกายแล้วล่ะ แต่ที่ไม่ได้ถามไถ่อะไรก็เพราะเธอไม่ได้แสดงท่าทีอะไร หลานสาวฉันไม่ระแคะระคายอะไรเรื่องของเธอเลยแม้แต่น้อย” อิงครัตน์พูดมองดูหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ
“หนูคุยถึงเรื่องนี้ไปนิดหน่อยค่ะ แต่สกายไม่ค่อยอยากคุยด้วยยังใช้วิธีเดิมๆ ด้วยการตี๊อเวลามีปัญหาแล้วก็เงียบไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“แต่สิ่งที่ฉันกลัว คือ ถ้ายายจูนรู้เข้าจะไปสร้างความรำคาญให้เธอ น่ะสิ” น้ำเสียงที่ได้ยินแสดงถึงความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด ภัส
สรายิ้มน้อยๆ
“เวลามีปัญหา หนูไม่เคยนึกถึงสกายเลย ป้าว่าแปลกไหม หรือสิ่งที่หนูคิดมันมีเพียงในนิยายที่พอเรามีเรื่องดีใจหรือเสียใจและมีปัญหา คนที่เรารักคือ คนแรกที่เรานึกถึง” ภัสสรายิ้มจางๆ ให้
“สกายอาจทำให้เธอไว้เนื้อเชื่อใจไม่ได้ แต่นานไปก็ไม่แน่”
“มีก็เหมือนไม่มี เขาอยากจะมาก็มาตอนหนูอยากให้เขาอยู่ด้วยเขาก็ไม่เคยว่าง” ภัสสราพูดคล้ายฟ้อง
“ฉันไม่ใช่ว่าที่แม่สามีเธอนะ จะมาฟ้องฉันไม่ได้” อิงครัตน์พูดดุ
“ไม่ได้ฟ้องสักหน่อย แค่อยากบอกก็แค่นั้นเอง”
“ยายจูนถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กจนโต แต่ปัญหาใหญ่ไม่ใช่ผู้หญิงทั้งสองฝ่าย นายสกายนั่นแหละที่เหยียบเรือสองแคมดูเป็นเด็กเรียบร้อยไม่น่าเป็นแบบนี้ไปได้” อิงครัตน์พูดคล้ายต่อว่า เพราะก่อนหน้าเอ็นดูเมฆามาตลอดตั้งแต่จารวีพามาแนะนำให้รู้จักในฐานะคนรัก
“หนูนึกว่าป้าจะว่าหนูเสียอีก”
“เธอไม่รู้ ยายจูนก็ไม่รู้ คนที่ควรโดนดุคือ นายสกายต่างหาก”
“ถ้าอย่างนั้น ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ ว่าหนูควรทำอย่างไรกับเรื่องที่เพิ่งรู้” ภัสสราคิดว่าบางทีอาจจะได้รับคำแนะนำดีๆ ทั้งที่ก่อนหน้าแอบคิดว่าอิงครัตน์คงเข้าข้างหลานสาวของตัวเองมากกว่า
“ไม่รู้หรอก ฉันไม่รู้ใจเธอว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับสกายเพราะสุดท้ายแล้ว เมื่อเรื่องมันแดงขึ้นมา สกายก็ต้องเลือกคนใดคนหนึ่งอยู่ดี
จะมีสองคนอยู่แบบนี้ไม่ได้ อีกอย่างพ่อคนนั้นไปพูดเรื่องแต่งงานกับทางบ้านยายจูนไว้แล้วด้วย” อิงครัตน์จ้องมองภัสสราที่ยิ้มจางๆ เมื่อได้ยิน
“หนูบอกเลิกใครไม่เป็นและทำเฉยๆ มาตลอดไม่ว่าปัญหาจะเล็กหรือใหญ่ ส่วนเรื่องผู้หญิงอื่นพอได้ยินมาบ้าง ถามแล้วก็ไม่เคยได้
คำตอบและหนูก็ปล่อยผ่านไปจนทำให้สกายชินกับความเฉยๆ ของหนู แต่ถ้าเขาจะแต่งงาน เขาควรเป็นฝ่ายมาขอเลิกหนู ใช่ไหมคะ”
ภัสสราถาม
“ถามเยอะ ถามแยะเหลือเกินแม่คุ๊ณ ถ้าฉันรู้เรื่องความรักมากนัก ฉันคงแต่งงานมีลูก มีหลาน มีเหลนไปแล้วมั้ง” อิงครัตน์ยิ้มๆ ดีใจที่ภัสสราไม่ได้ฟูมฟายอะไร แต่แอบไปคิดถึงหลานสาวไม่รู้ว่ารู้เรื่องเข้าจะอาละวาดหรือไม่
“ก็แก่กว่าตั้งเกือบยี่สิบปี ก็ต้องรู้มากกว่าหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่ทุกเรื่องนะจ๊ะ เธอจ๋า” อิงครัตน์ยิ้ม แต่ยังแปลกใจที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนยังพูดคุยเหมือนตัดเยื่อใยกันพอมาดูตอนนี้กลับมานั่ง
ปรึกษาหารือกันเรื่องความรัก ส่วนที่สำคัญเหนืออื่นใด คือ รอยยิ้มของภัสสราที่ทำให้ตัวเธอนั้นมีความสุขไปด้วย
“แค่ไม่ไล่ไปอยู่นอกสายตา ก็เป็นพระคุณอันเหลือล้นแล้วล่ะเจ้าค่ะเจ้าป้าขา” ภัสสรานั่งคุกเข่าแล้วก้มลงไปกราบที่ตักทำเอา
อิงครัตน์อดที่จะขำไม่ได้
“นี่ๆ ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นเธอนะ” อิงครัตน์ตีเบาๆ ไปที่ไหล่แล้วไล่ให้กลับไปนั่งที่เก้าอี้เหมือนเดิม
“แล้วอยากให้เป็นอะไรล่ะ หนูจะเป็นให้ทุกอย่างเลย” คำพูดของภัสสราทำให้อิงครัตน์นิ่งไป โดยเฉพาะแววตาอันแสนอ่อนโยนที่จ้องมองมาทำให้อิงครัตน์ต้องใช้เวลาในการหาคำตอบค่อนข้างนานทั้งๆ ที่ปกติจะเป็นคนที่พูดตรงไปตรงมาและต่อปากต่อคำอย่างว่องไว
“เป็นตัวเธอเอง เพราะถ้าใครจะรักหรือชอบเธอ เขาควรจะชอบที่เธอเป็นเธอไม่ใช่หรือ” อิงครัตน์ยิ้ม เมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสของ
ภัสสรา
“ครับผม ป้าก็เป็นป้าจอมกวนเหมือนกันนะ เพราะใครที่จะรักป้าก็ต้องรักที่ป้าเป็นคนแก่จอมกวนแบบนี้แหละเนอะ กลับห้องแล้ว สบายใจแล้ว” ภัสสราหัวเราะแล้วรีบลุกหนีทันที
“ไอ้เด็กคนนี้นี่ดูสิมาหลอกด่าฉันได้” อิงครัตน์บ่นพึมพำ แต่ก็ยิ้มได้ เมื่อนึกถึงสัมผัสอ่อนโยนจากจมูกของภัสสรา ซึ่งทาบทับไปที่แก้มของตัวเอง เมื่อสักพักใหญ่ๆ
เมฆามาหาจารวีที่บ้านไม่ได้ไปหาภัสสราที่อพาร์ทเม้นท์ เจ้าของบ้านออกมาเปิดประตูให้อย่างแปลกใจ
“ไหนว่านัดลูกค้า” จารวีถาม
“งานเสร็จแล้วเลยรีบมาหาจูนไง” เมฆายิ้มๆ แล้วรีบเคลื่อนรถเข้าไปจอดภายในบ้าน ดอกไม้ช่อใหญ่ที่เมฆานำมาทำให้จารวียิ้มกว้างมากขึ้น แต่แอบสงสัยที่คนรักท่าทางใจดีจนผิดปกติ
“ไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่าเนี่ย” จารวีถาม
“โห เสร็จงานแวะร้านดอกไม้รีบแจ้นมาหา ยังโดนสงสัยอีกเหรอ”
“ก็อย่าให้รู้แล้วกัน” จารวีตีเบาๆ เข้าให้ที่แขน
“ไปทะเลไหม เห็นบอกอยากไปจะกลับพรุ่งนี้หรือมะรืนแล้วแต่จูน” เมฆาบอกทำเอาจารวียิ่งแปลกใจมากขึ้น
“แน่ใจนะว่าไม่มีอะไร”
“ไม่มี๊” เมฆาแกล้งทำเสียงสูงกลบเกลื่อน จากท่าทางที่สังเกตเชื่อว่าจารวีน่าจะยังไม่ได้คุยกับอิงครัตน์เรื่องที่พบเขาอยู่กับผู้หญิงอีกคน
“ก็ดีที่ไม่มี รอแป๊บนะไปจัดกระเป๋าและบอกพ่อกับแม่ก่อน”
“เดี๋ยวเค้าไปบอกให้ก็ได้ ตัวเองไปเตรียมตัวเถอะ ชุดว่ายน้ำสวยๆ นะจ๊ะ ที่รัก” เมฆาพูดจาอ่อนหวานช่างเอาอกเอาใจจารวีจึงยิ้มสวยๆ ให้
“ขอบใจจ้ะ” จารวีจุมพิตเบาๆ ไปที่ริมฝีปากของเมฆาที่ยิ้มๆ มองดูหญิงสาวที่รีบวิ่งนำหน้าเข้าบ้านไปก่อน
“หรือต้องเลือกจริงจังเสียทีว๊ะ เรา” เมฆาคิด