OMG 10 อกหัก

1963 คำ
“ฮัดชิ้ว! ฮัดชิ้ว!” มือถูไถที่จมูกเพราะมันคันจมูกมาก “ไม่ต้องห่วงที่ห้องพี่ไม่มีแมว” เหอะ สภาพฉันขนาดนี้ยังบอกไม่ให้ห่วง ทำฉันเกือบตายแล้วไหม ไม่ใช่ตายเพราะภูมิแพ้ แต่ตายเพราะอุบัติเหตุ เพราะเขาน่ะขับรถชนิดที่ว่าจะรีบไปตาย ทำอย่างกะว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้ ขับไม่ห่วงชีวิต ขับเร็วแล้วยังเปิดกระจกวิ่งอะ คือเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่แสนแย่เลย พี่เรซแตะคีย์การ์ดเปิดประตูห้องกดเปิดไฟ ฉันเดินตามเข้ามาในห้อง เหมือนไม่มีคนอยู่มานานแล้วเลย พี่เขาไม่ค่อยนอนที่นี่หรือไงกัน ฉันเดินมานั่งที่เก้าอี้ “ไหวไหม” วางยาแก้แพ้อากาศให้ฉัน “สภาพเนลเป็นไงอะ” “พี่ขอโทษ” “เบื่อฟังคำนี้ เอะอะขอโทษ ทำไม่ดีแล้วก็ขอโทษ น่าเบื่ออะ ขอโทษพูดง่าย ถามจริงสำนึกไหม แล้วทีหลังถ้าอยากตายก็ตายคนเดียว อย่าลากชีวิตเนลมาเสี่ยงแบบวันนี้ ไม่งั้นเนลจะบอกยายเฟื่อง” ฉันบ่นแล้วคว้ายามากิน ส่วนพี่เรซน่ะเหรอ มองฉันที่ไหนกัน เหมือนฉันพูดกับอากาศ เขาไปหาเหล้ามาเปิดนั่งกินที่เคาน์เตอร์บาร์ สาบานเลยว่าถ้ารู้ว่าโตมาแล้วเขาจะเป็นแบบนี้ ฉันจะไม่มีวันปลื้มเขาเลย ไอ้พี่ชายแสนดีตอนฉัน 6-7 ขวบมันคงเป็นเรื่องจอมปลอม ส่วนนี่อะตัวจริงของเขา ตัวจริงที่ไม่ได้เรื่อง “แล้วนี่ยังไง เสื้อผ้าเนลไม่มีสักชุด เนลอยากอาบน้ำ” ฉันมองพี่เรซ เขานั่งดื่มโดยที่มีกางเกงยีนส์ใส่อยู่ ไม่ได้ใส่แค่บ็อกเซอร์เหมือนตอนเพิ่งมาถึง เขานั่งเหม่อเหมือนคนอกหัก หรืออกหักงั้นเหรอ “น้องใส่เสื้อผ้าพี่ไปก่อน” เขาพูดอย่างเลื่อนลอย ไม่ได้สนใจอารมณ์วีนของฉันแม้แต่นิดเดียว “อยู่ในตู้เสื้อผ้าในห้อง น้องเลือกเอาเลยว่าจะเอาตัวไหน” เขาชี้ไปที่ห้องห้องหนึ่ง ฉันจึงเดินเข้ามาในห้องนั้น สีดำทึบทั้งหมดเลยก็ว่าได้นะสำหรับเฟอร์นิเจอร์ในห้องนอนเขา ไม่ว่าจะเป็นเตียง ผ้าปูที่นอน ผ้านวม หมอน ตู้เสื้อผ้าเล็ก ๆ ที่มีอยู่ในห้องนอน ผนังห้องยังสีดำเลย ชีวิตมืดมนจัง เออ ดีหน่อยที่เปิดตู้มายังมีเสื้อยืดสีขาวอยู่บ้าง ถึงแม้จะน้อยกว่าเสื้อสีดำอะนะ ฉันหยิบเสื้อสีขาวมาใส่ แม้ว่าชีวิตของฉันจะหม่นหมอง แต่ถ้าให้ฉันเสพติดสีดำไปซะหมดทุกอย่างมันไม่น่าจะไหว อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ฉันซักชุดตากด้วย ตอนนี้ที่ตัวจึงไม่มีชั้นในสักชิ้น ไม่ว่าจะบนหรือล่าง มีแค่เสื้อยืดตัวใหญ่กับบ็อกเซอร์แค่นั้น ฉันเดินออกมาดูพี่เรซ เขานั่งกดมือถืออยู่ที่เคาน์เตอร์ มืออีกข้างถือแก้วเหล้า ใบหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่าง จะว่าไปถ้าอกหักตอนปีใหม่มันก็เป็นอะไรที่แย่อยู่นะ ขนาดฉันที่ไม่ได้อกหักในวันปีใหม่ฉันยังเจ็บเจียนจะตาย ก่อนที่จะลากฉันมาที่นี่เขาก็บอกว่าไม่อยากอยู่คนเดียวนี่นา อืม ฉันควรปลอบเขาในฐานะน้องสาวของเขาอะเนอะ “พี่โอเคไหม” พี่เรซละใบหน้าจากมือถือแล้วหันมามองหน้าฉัน เขามองฉันอยู่นาน มองตั้งแต่หัวจรดเท้า “ถามว่าโอเคไหม จะมองทำไมนัก” “ไม่ พี่ไม่โอเคเลย” เขาเอ่ยเสียงเศร้า ละสายตาจากฉันไปมองแก้วเหล้า อกหักมันก็เจ็บมากอะเนอะ แล้วยิ่งถ้ารักมาก ๆ ยิ่งทำใจยาก ไม่รู้ว่าใช่คนเดียวกับที่พี่มะพร้าวบอกฉันไหม เห็นว่ารักคนนั้นจนยอมทำทุกอย่างเลยนี่นา การอกหักบางคนถึงขั้นไม่กล้ามีความรักเพราะกลัวจะอกหักอีก กลัวต้องเจ็บแบบคราวก่อน เหมือนฉันที่กลัวจนไม่คิดจะรักกับใคร น่าแปลกที่อกหักไม่มีบาดแผลตามร่างกาย แต่ทำเราเจียนตายยิ่งกว่าบาดแผลบางอย่าง จากที่เคืองเขาเรื่องแมว และเรื่องขับรถ มาเจอแบบนี้ก็อดที่จะสงสารไม่ได้ เพราะว่าถึงเขาจะไม่สนใจเรื่องของฉัน แต่เวลาที่ไปหาญาติผู้ใหญ่เขาใจดีกับฉันมาก และคำหยาบไม่เคยพูดกับฉัน อะไรก็พี่ก็น้องตลอด แล้วยังชอบยัดเยียดเงินไว้ให้ฉันใช้จ่ายทั้งที่ฉันไม่เคยขอสักครั้ง แถมเวลาฉันโวยวายด่าเขา เขาก็ไม่เคยขึ้นเสียงกลับมาสักครั้ง ฉันเดินมาหยุดตรงหน้าพี่เรซที่นั่งเก้าอี้ ยืนจ้องหน้าเขาก่อนจะยื่นมือทั้งสองข้างไปประคองที่สองแก้ม จับใบหน้าให้หันมามองฉัน ยิ้มให้เขาและบอกว่า “ไม่เป็นไรนะคะ พี่ยังมีน้องอยู่ตรงนี้ แค่อกหักเอง เดี๋ยวก็ดีขึ้น” ครั้งหนึ่งมีคนเคยทำแบบนี้กับฉัน และบอกฉันว่า ‘ไม่เป็นไรนะ น้องมีพี่ พี่จะเป็นพี่ชายแล้วก็เพื่อนให้น้องเอง จะไม่ปล่อยให้น้องเหงา จะไม่ทิ้งน้องไปไหน พี่สัญญา’ ฉันยังจำความอบอุ่นที่ได้รับจากคนอื่นครั้งแรกในชีวิตได้ดี วันนั้นฉันนั่งใต้ต้นจำปี กลิ่นดอกจำปีที่ผลิบานบนต้นโดนลมพัดหอมอบอวล พี่ชายที่แสนดีส่งยิ้มที่แสนอบอุ่นมาให้ฉัน อุ้งมือที่ประคองสองแก้มของฉันมันอุ่น รู้สึกอบอุ่นและมีความสุขที่สุด ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง ชั่ววูบที่ฉันเผลอนึกถึงวัยเด็ก เสียงออดหน้าห้องดังเรียกสติ ฉันผละมือออกจากใบหน้าของพี่เรซ บ้าจริง กลับไปคิดถึงเรื่องลวงโลกแบบนั้นทำไมนะ “พี่สั่งข้าวมาให้น้อง” พี่เรซบอกก่อนจะเดินไปเปิดประตู แล้วเขาก็เดินกลับมาพร้อมข้าวกล่อง “กินข้าวแล้วเข้านอนเถอะ น้องนอนห้องพี่เลย เดี๋ยวพี่จะนอนอีกห้อง” “ค่ะ” ฉันรับข้าวมาเปิด เป็นข้าวผัดทะเลรวม “พี่ไม่รู้ว่าหนูชอบกินอะไร” ถ้าใส่ใจจริงต้องรู้ว่าฉันชอบกินอะไรเพราะทุกครั้งที่เราไปไหนด้วยกันสิ่งที่ฉันกินคือส้มตำไก่ย่าง “ค่ะ” ฉันคาดหวังอะไรอยู่นะ คาดหวังให้เขาใส่ใจเหรอ ในฐานะพี่ชายที่แสนดีคนนั้นน่ะเหรอ เพื่ออะไรกัน เพียงเพราะแค่พลั้งเผลอนึกถึงเรื่องวัยเด็กอย่างนั้นเหรอ หรือเพราะเห็นเขาอกหัก ชักจะเพ้อเจ้อแล้วนิเนล พอเถอะ กินข้าวแล้วเข้านอนดีกว่า ฉันรีบกินและก็เข้าห้องนอน ก่อนเข้ามาก็บอกให้เขาพักผ่อน อย่าคิดมาก คราวกลายมาเป็นฉันเองที่คิดมาก ครุ่นคิดไม่ตกนอนไม่หลับ ไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร ทำไมถึงได้ตกอยู่ในอารมณ์เศร้า อือ ชีวิต พอคิดเยอะ ๆ พาลคิดเรื่องพี่บิวด้วยอีก ดีงาม ตีสามยังนอนไม่หลับ เวรกรรม รู้สึกตัวอีกทีตอนที่ลมอุ่น ๆ สัมผัสอยู่ที่บริเวณฝ่าเท้าของฉัน แต่ฉันห่มผ้านวมอยู่นะ แล้วมันตัวอะไร ฉันค่อย ๆ เปิดผ้านวมออกจากหัว เมื่อคืนรู้สึกหนาวก็เลยคลุมโปง ที่เห็นตอนนี้คือรอยสักรูปปีศาจญี่ปุ่นที่แข้งขาของคน ซึ่งอยู่ตรงกับใบหน้าฉันเลยทีเดียว เดี๋ยวนะ ขอประมวลเหตุการณ์แป๊บ คือฉันมานอนห้องพี่เรซ แล้วพี่เรซบอกว่าจะนอนอีกห้อง แล้วใครนอนตรงนี้ ฉันดึงผ้าห่มออกจนหมด จะดูว่าใครกันที่มานอนเตียงเดียวกัน ผ้าห่มผืนเดียวกัน “ไอ้พี่เรซ” ไหนบอกจะนอนอีกห้อง ไหงมานอนดมฝ่าเท้าคนอื่น นอนกลับหัวกลับหางแบบนี้ เอาขามาใกล้หน้าฉันด้วย “โอ๊ะ!” อุทานเบา ๆ ด้วยความตกใจ เพราะพี่เรซขยับใบหน้า ทำให้ริมฝีปากของพี่เรซแตะที่ฝ่าเท้าฉัน เอิ่ม รีบชักออกดีกว่า เดี๋ยวจะหาว่าฉันลามปาม คิดได้ก็ลุกขึ้นนั่งทันทีทันใดเลยค่ะ แล้วดูสารรูป ใส่แค่กางเกงบ็อกตัวเดียวนอนคว่ำ ใบหน้าตะแคงมาดมเท้าฉัน เหยียดขายาวข้างหนึ่ง อีกข้างงอไว้ ถ้ามองลึกกว่านี้คงจะเห็นอะไรที่ไม่น่าดูสักเท่าไหร่ ไม่มองตรงนั้นดีกว่า ละสายตาจากตรงนั้นมามองรอยสักที่แข้งขวา นึกคึกหรือไงถึงสักรูปนี้ น่ากลัวอะ แต่จะว่าไปที่ข้อมือของพี่เรซก็มีรอยสักเหมือนกัน เห็นผ่าน ๆ ไม่ได้ใส่ใจว่าเขาสักอะไร ที่แข้งเพิ่งสังเกตเห็น ส่วนที่ข้อมือเห็นนานแล้วแหละ เพียงแค่ไม่เคยจ้องว่าเขียนว่าอะไร เพราะมันเป็นภาษาอังกฤษตัวเขียน แต่จะสักอะไรก็เรื่องของเขาเถอะ เราคุยกันแล้วว่าจะไม่วุ่นวายกัน ไม่ยุ่งเรื่องของกันและกันเกินขอบเขตของพี่น้อง คิดแบบนั้นแล้วฉันจึงลุกเดินเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้พี่เรซนอนไปเถอะ หันมองเวลานี่มัน 10 โมงแล้ว โห ตื่นสายโคตร ปวดหัวนิด ๆ ได้ส้มตำสักครกน่าจะโล่ง ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง... เสียงออดดังอยู่นาน ฉันจึงรีบล้างหน้าและออกจากห้องน้ำ เพราะคิดว่าพี่เรซคงไม่ตื่นไปเปิด ไม่รู้ด้วยว่าใครมา เป็นนิติเอาอาหารขึ้นมาให้หรือเปล่าไม่รู้ เพราะเมื่อคืนก็นิติเอาขึ้นมาให้พี่เรซ ทว่าพอออกมาจากห้องน้ำก็ไม่เห็นพี่เรซนอนอยู่บนเตียง สงสัยจะไปเปิดแล้วมั้ง ฉันจึงเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับร้องถามว่า “ใครมาอะพี่เรซ” คือไม่ได้มองก่อนนะว่าเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นยังไง คือถามออกมาก่อนที่จะโผล่ออกจากห้อง “พี่สาวแสนดีของหนูไง” พี่เรซตอบในจังหวะเดียวกับที่ฉันหันไปเจอพี่มะพร้าวพี่สาวของพี่เรซ เมื่อเห็นว่าเป็นคนกันเอง ฉันจึงยิ้มทัก “พี่มะพร้าว สวัสดีค่ะ มาหาพี่เรซ...” “พอดีแม่ให้พี่มาดูว่าเรซอยู่ห้องหรือเปล่าน่ะ แม่ติดต่อเขาไม่ได้” ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบ พี่มะพร้าวพูดแทรกซะก่อน “อ้าว พี่เรซไม่ได้บอกแม่เหรอว่าวันนี้เราจะเข้าไปหาพวกท่านที่บ้าน” ฉันทำหน้างง เพราะเมื่อวันก่อนน่ะพี่เรซคุยกับฉันไว้ว่าจะเข้าไปหาแม่ในวันที่1ซึ่งเป็นวันนี้ “พี่บอกแล้ว” พี่เรซตอบก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง “ถ้างั้นสงสัยแม่จะลืมมั้ง งั้นพี่กลับก่อนนะจ๊ะน้องเนล” “อ้าว ไม่อยู่รอไปพร้อมกันเหรอคะ” “จะอยู่ได้ไงหนู เราไปตอนเย็น พี่เพลียขอนอนก่อน” พี่เรซตะโกนกลับมา เพลียเหล้ามั้ง “พี่กลับก่อนนะ พอดีมีธุระต่อ” พี่มะพร้าวบอกและเดินออกจากห้องไปอย่างไว อะไรของพี่น้องคู่นี้กันนะ พี่มะพร้าวก็ชอบทำหน้าเศร้าทุกครั้งเวลาที่ฉันอยู่กับพี่เรซ สงสัยพี่กับน้องจะไม่ค่อยถูกกันมั้งนะ ฉันไม่ค่อยเข้าใจวิถีการมีพี่น้องหรอก เพราะฉันมันตัวคนเดียวตั้งแต่เกิด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม