OMG 09 หือ

1919 คำ
สองปีต่อมา… 31 ธันวาคม 20×× วันส่งท้ายปี ฉันกำลังขึ้นร้องเพลงคู่กับพี่ปั้นจั่น ไอ้การฉลองกับคู่หมั้นหรือคนพิเศษอะไรนั้นไม่มีหรอก ทำงานหาเงินคือความสุขของฉัน หรือแก้เหงากันนะ ไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่ คู่หมั้นของฉันเป็นแค่คู่หมั้นในนามเท่านั้น เราหมั้นกันมาได้ประมาณสองปีแล้วมั้งนะ แต่ไม่มีอะไรดึงดูดให้เราไปเกินกว่าคำว่าคู่หมั้นปลอม ๆ ช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา เราเจอกันเฉพาะเวลาที่ผู้ใหญ่นัดเจอ เราไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว ไม่สนใจเรื่องของกันและกัน ต่างคนต่างอยู่ แล้วถ้าเขาจะมีใครก็เรื่องของเขา เพราะเราเป็นแค่พี่น้องกัน ก็ถ้าจะให้อธิบายแบบง่าย ๆ ก็คือเราไม่สนใจกัน “จบแล้วกลับขอนแก่น หรือหางานทำแถวนี้” พี่โพร์มือกีต้าร์ถาม เราอยู่ในช่วงพักให้วงอื่นเล่นต่อ อีกแค่นิดเดียวฉันก็จะเรียนจบพี่ ๆ เขาก็เลยถาม “ขอดูสถานการณ์ที่บ้านก่อนนะคะ เนลยังไม่แน่ใจเลย” ครั้นจะบอกให้พวกพี่ ๆ หานักร้องเตรียมเสียบเลย พวกพี่เขาก็ไม่หา อย่างรอบก่อนที่ฉันหยุดร้องเพราะไม่รู้อนาคตตัวเองเรื่องหมั้น พวกพี่เขาก็รอให้ฉันกลับมา ดีหน่อยที่พี่เรซไม่ได้สนใจว่าฉันทำอะไร ทำให้ฉันกลับมาร้องเพลงได้อย่างสบายใจ “พวกพี่เข้าใจ แต่พี่อยากให้เนลอยู่ที่นี่นะ เวลาว่างจะได้มาร้องเพลงให้พวกพี่” พี่โตมือเบสพูดบ้าง “เนลก็อยากอยู่นะคะ คิดเล่น ๆ ว่าจะไม่เล่นกับพวกพี่อีก ก็ใจหายเลยอะ เราอยู่ด้วยกันมาจะสี่ปีแล้ว” “อยู่จนผูกพัน เพราะงั้นเนลอย่าทิ้งพวกพี่นะ ไม่งั้นคงมีคนดิ้นตายแน่ ๆ” พี่ปั้นจั่นว่า ฉันไม่ได้พูดอะไรกลับไปอีก รู้ว่าพวกพี่เขาหมายถึงอะไร แต่ไม่อยากรู้เนื้อหาใจความที่มากกว่านั้น ไม่อยากรู้ว่าใคร เราขึ้นเล่นกันอีกหนึ่งรอบค่ะ แล้วจากนั้นก็มีอีกวงขึ้นร้องช่วงเวลาข้ามปี ซึ่งฉันก็ว่าจะอยู่รอฟังสักหน่อย แต่ว่าพี่บิวชวนฉันกลับก่อน ฉันจึงกลับพร้อมพี่บิว คือทุกวันนี้ฉันยังพึ่งพาอาศัยพี่บิวเหมือนเดิมค่ะ และถึงแม้พี่บิวจะเรียนจบไปแล้ว เขาก็ยังมารับมาส่งฉันไปเรียนแทบจะทุกวัน “สวัสดีปีใหม่ มีความสุขมาก ๆ นะ” พี่บิวยื่นกล่องของขวัญพร้อมช่อดอกไม้ให้ฉัน ตอนนี้เวลาเที่ยงคืน เข้าสู่ศักราชใหม่ “อีกแล้วนะ นี่ปีที่สามแล้วไหมอะ แล้วเนลก็ไม่ได้เตรียมของขวัญให้พี่บิวอีกตามเคย” เป็นแบบนี้มาสามปีได้แล้ว พี่บิวจะมาส่งฉันที่หน้าหอ และยื่นดอกไม้ กล่องของขวัญพร้อมคำอวยพรปีใหม่ ปีแรกฉันคิดว่าบังเอิญ ปีที่สองฉันก็คิดว่าบังเอิญอีก ส่วนปีนี้ฉันเริ่มมั่นใจว่าไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญ “พี่ไม่ได้เรียกร้อง แค่อยากให้” พี่บิวก็ยังนิ่งขรึมเหมือนเดิม “พี่จีบเนลอยู่หรือเปล่าพี่บิว” ถ้าบอกว่าฉันเพิ่งจะเริ่มคิด เริ่มจะเริ่มสงสัยก็เลยประมวลจากทุกอย่างที่พี่บิวทำให้ฉันและทำร่วมกับฉัน ทุกครั้งหลังจากเล่นที่ร้านเสร็จ เราจะกลับด้วยกันและแวะทานข้าวก่อนจากกันตลอด ไปรับไปส่ง คอยช่วยเหลือเวลาที่รายงานของฉันมีปัญหา ไม่ค่อยพูดแต่คอยอยู่ข้าง ๆ ช่วยเหลือตลอดเวลา “นานแล้วนะ” “หือ?” “เพิ่งรู้ตัวเหรอ” “…” เอิ่ม ฉันควรตกใจวิธีการจีบ หรือตกใจที่เพิ่งรู้ว่าโดนจีบ “ให้พี่เป็นแฟนเนลได้ไหม” “…” “เนลเป็นแฟนพี่มานานแล้ว” เอิ่มที่สอง ฉันไปเป็นแฟนพี่เขาตอนไหน “พี่บิวหยอกเนลเล่นใช่ม้า” ฉันเจื่อนยิ้มแก้เก้อ บอกเลยไม่เคยคิดเรื่องชู้สาวอะไรแบบนั้นกับพี่บิวเลย คิดกับพี่เขาแค่พี่ในวงคนหนึ่งเท่านั้น “หน้าพี่เหมือนคนหยอกเล่นเหรอเนล” สีหน้าพี่บิวจริงจังมากเลยอะ แบบนี้ฉันควรทำยังไงดี “...” เงียบไปเลยดีกว่าไหม “พี่ขอโทษ” พี่บิวหันหน้าไปอีกด้าน น้ำเสียงของพี่เขาผิดหวัง “ถือว่าพี่ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเนลแล้วกัน” “พี่บิว” “พี่โอเค” ไม่โอเคหรอก แล้วต่อจากพรุ่งนี้ไปก็จะไม่มีอะไรเหมือนเดิมระหว่างฉันกับพี่บิว ฉะนั้นฉันควรพูดอะไรบ้างแล้ว “เนลคิดว่าพรุ่งนี้เราคงจะไม่เหมือนเดิม ถึงแม้พี่บิวจะบอกให้เนลลืม เนลควรพูด ไม่ใช่เงียบ” “...” พี่บิวหันกลับมานั่งตัวตรงแล้วก้มหน้ามือสองข้างของเขาประสานกัน “เนลไม่เคยคิดเรื่องแบบนั้นกับพี่บิวเลยค่ะ เนลไม่คิดว่าพี่บิวจะคิดอย่างนั้นกับเนล แต่ถึงเนลจะคิด เรื่องของเรามันก็เป็นไปไม่ได้ค่ะ” “ทำไม เนลจะหลอกพี่ว่าเนลมีแฟนแล้วอย่างนั้นเหรอ พี่บอกไว้ก่อนเลยนะว่าพี่ไม่เชื่อ เพราะพี่ไปรับไปส่งมอ ห่างกับเนลแค่ตอนนอนเท่านั้น เนลจะเอาเวลาที่ไหนไปมีแฟน” อะใช่ จริงอย่างที่พี่บิวพูด เราห่างกันแค่นั้น กับนาน ๆ ครั้งที่ฉันไปหายายเฟื่องฟ้าที่บ้านสวนกับพี่เรซ “เนลไม่มีแฟนมานานแล้วค่ะ” ตั้งแต่จบกับแฟนคนแรก ฉันก็ไม่มีแฟนอีกเลย นี่ก็หลายปีมาแล้ว “แล้วทำไมเรื่องของเราจะเป็นไปไม่ได้ พี่ดีไม่พอ หรือพี่จน พี่ไม่เหมาะสม หรือเพราะพี่เป็นแค่นักดนตรีไม่มีอนาคต” “เนลมีคู่หมั้นแล้วค่ะ” เรื่องนี้ฉันไม่เคยพูดให้พี่ ๆ ในวงฟังเพราะคิดว่ามันคือเรื่องส่วนตัว “...” “...” ต่างคนต่างเงียบกันเลยทีนี้ “พี่ไม่เคยรู้” “เนลไม่เคยบอกใคร” “...” “ผู้ใหญ่อยากให้เราหมั้นกัน แต่เนลกับเขาตกลงเป็นแค่พี่น้องกันค่ะ” “ถ้างั้นเนลกับพี่ก็...” “เนลบอกพี่บิวแล้วไงว่าเนลไม่เคยคิดแบบนั้นกับพี่บิว” “ลองเก็บไปคิดได้ไหม เผื่อว่าเนลจะมองพี่บ้าง พี่จะไม่เข้าไปวุ่นวาย เคยอยู่แบบไหนก็จะอยู่แบบนั้น ไม่ก้าวก่ายเนลเลย” “พี่บิว เนลไม่อยากให้ความสัมพันธ์เรามัน...” “ลองดูหน่อยได้ไหม ถ้าไม่ชอบพี่ ก็ไม่เป็นไร ปล่อยให้พี่ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวพี่เหนื่อยพี่ก็หยุดเอง ขอแค่อย่าเปลี่ยนไป” “...” ไม่ให้เปลี่ยนงั้นเหรอ แค่คิดก็หนักใจแล้วไหม เออ ถ้าฉันโสด ไม่มีพันธะอะไรเลย ฉันจะไม่หนักใจสักนิด “นะครับ” พี่บิวหันมาทำหน้าอ้อนเบา ๆ แววตาฉายความเศร้า “ค่ะ” เพราะเราคุ้นเคยกัน ใกล้กันจนเกินไป ทำให้ฉันไม่กล้าที่จะปฏิเสธ หักหาญน้ำใจเหมือนคนอื่น ๆ ที่เข้ามาข้องแวะในชีวิตของฉัน “แต่เนลหวังว่าถ้ามันไม่โอเค ความสัมพันธ์พี่น้องในวงจะยังอยู่นะคะ ไม่งั้นเนลคงไม่กล้าร่วมงานกับพวกพี่” พูดดักไว้ก่อนเลย แต่ถ้ามันแย่จริง ๆ ฉันก็แค่ตัดใจจากสิ่งที่รักแล้วเดินออกจากวง อาจจะเสียใจบ้าง แต่เดี๋ยวมันก็ผ่านไป “อืม พี่สัญญา” “ค่ะ งั้นเนลขึ้นหอนะ พี่บิวขับรถระวังด้วย” “ครับ” ฉันเปิดประตูลงจากรถ หอบช่อดอกไม้และกล่องของขวัญมาด้วย ฉันไม่ได้พูดพล่ามกับพี่บิวเรื่องไม่เชื่อคำสัญญา เพราะคิดเอาไว้ว่าถ้าทุกอย่างไม่เป็นตามที่ตกลงเอาไว้ ฉันก็แค่เดินออกมาจากจุดนั้น ฉันไขกุญแจเข้ามาในห้อง กดสวิตซ์ไฟข้างผนังห้อง “เฮ้ย” ร้องออกมาด้วยความตกใจเพราะมีผู้ชายนั่งหันหลังอยู่บนเตียงนอนของฉัน เขาหันหน้าไปทางหน้าต่าง กระจกประตูระเบียงสะท้อนทำให้ฉันเห็นว่าใครที่อยู่ในห้อง “ไปไหนมา” คือคำถามที่เขาส่งมาโดยที่ไม่ได้หันมามองฉัน “ทำงาน แต่พี่อะมาทำไร แล้วมาทำไมไม่โทรหาเนลก่อน เข้ามาในห้องเนลมาแบบนี้เนลไม่ชอบเลย” ฉันบ่นอุบอิบพร้อมกับเดินเอาของที่พี่บิวให้มาเก็บ “งานไร” อะไรกัน มาจุ้นเรื่องฉันทำไมกัน ที่ผ่านมาไม่เคยสนใจฉันไหม “เรื่องของเนล” เมื่อฉันตอบประโยคนี้ ร่างสูงที่นั่งอยู่บนที่นอนลุกขึ้นเดินมาทางฉัน “ทำไมน้องพูดไม่น่ารัก แล้วนี่ดอกไม้อะไร กล่องอะไร ใครให้มา ผู้ชาย?” “ไม่เอาพี่เรซ ขอร้องนะอย่ายุ่งเรื่องของเนล เพราะเนลไม่เคยยุ่งเรื่องของพี่ เราตกลงกันแล้วมะ...” “นี่แต่งตัวอะไร โป๊ไปไหมนิเนล แล้วนี่กี่โมงแล้วเพิ่งจะกลับ น้องทำงานอะไร” “...” มาตั้งคำถามใส่ฉันทำไมนัก แล้วเวลาทำงานฉันก็แต่งตัวแบบนี้อยู่แล้วไหม นี่เบาแล้วเถอะ คือฉันใส่เสื้อครอปแขนยาว กางเกงยีนส์ขายาว “พี่เป็นพี่ มีสิทธิ์ถาม” เขาจ้องหน้าและเดินเข้ามาใกล้ฉันเพิ่มมากกว่าเดิม อะไรคือการเอาเรื่องเกิดก่อนมาอ้าง อ้างเรื่องนี้ฉันจะชนะหรือไง แล้วฉันก็เริ่มคันจมูก อยากจะจาม “หยุดตรงนั้นเลย ฮะ ฮะ ฮัดชิ้ว!” “โทษที” พี่เรซถอยห่างจากฉัน “เนลบอกกี่ครั้งแล้วว่าเนลแพ้แมว พี่เรซอยากให้เนลตายหรือไง” “พี่ไม่ได้ตั้งใจ” “ไม่ได้ตั้งใจแต่เล่นนั่งบนเตียงของเนล แบบนี้คืนนี้เนลจะนอนยังไง” ฉันชักสีหน้า ไม่เคยจะใส่ใจเรื่องสำคัญที่ฉันบอก ฉันบอกเขาบ่อยมากว่าฉันแพ้แมวนะ พอบอกก็เหมือนว่าเขาจะรับรู้ แต่บางครั้งเวลามาเจอฉันก็มีขนแมวกลิ่นแมวติดมาบ้าง “...” “พี่เรซรีบพูดเรื่องของพี่มาแล้วก็กลับไปเถอะ” “...” เขาไม่พูดแต่ถอดเสื้อออก “ดะ เดี๋ยว เฮ็ดหยังน่ะ ถอดเสื้อทำไม” ฉันถอยห่าง ไอ้พี่เรซนึกคึกอะไรขึ้นมาหรือเปล่าเนี่ย “ที่นี่นอนไม่ได้แล้ว ไปนอนคอนโดพี่กัน” “ฮะ!” อิหยัววะ “พี่ไม่อยากอยู่คนเดียว ไปอยู่เป็นเพื่อนพี่หน่อย” “...” “พี่ไม่ทำอะไรเด็กน้อยอย่างหนูหรอก ไม่มีอารมณ์” “...” ฉันยังนิ่ง “ที่นี่มีขนแมวที่ติดตัวพี่แล้วไหม เดี๋ยวให้แม่บ้านมาทำความสะอาดแล้วค่อยกลับมา ปะ” พี่เรซลากฉันออกจากห้อง “ดะ เดี๋ยว พี่จะไปทั้งอย่างงี้จริงออ” “อืม ถ้าให้ถอดหมดไม่น่าจะไหว แค่นี้คงไม่ได้มีขนแมวแล้วมั้ง” พูดจบก็ลากฉันออกจากห้องเลย สภาพคือใส่แค่บ็อกตัวเดียว เกินไปไหมอะ ชอบโชว์เหรอ ถึงจะดึกแล้วก็เถอะ “แล้วในรถอะ ในรถก็มีกลิ่นไหม” “อดทนแป๊บเดียว” เออ พูดง่ายดี ไม่แพ้บ้างไม่มีทางเข้าใจกันหรอก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม