บ้านของลี่เหลียนฮวานั้นสร้างแบบเรียบง่ายแต่แข็งแรง สองห้องนอน หนึ่งห้องโถง หนึ่งห้องน้ำ ก็ถือว่าธรรมดา รอบบ้านปลูกต้นท้อไว้ข้างกำแพงบ้านหนึ่งต้น ทำให้บ้านดูน่าอยู่มากขึ้น ดูเหมาะสำหรับครอบครัวเล็ก ๆ อยู่กันตามประสาพ่อแม่ลูก
การเลี้ยงอาหารแขกวันนี้เป็นจานเนื้อสองจาน จานผักสามและแกงอีกหนึ่ง รสชาตินั้นพอกระเดือกได้ ก็เข้าใจนะว่านิยมรสชาติแท้จากธรรมชาติ แต่มันจืดไปมั้ย เน้นจืดและเค็ม ถ้าให้ลองคิดขำ ๆ แบบคนไม่มีความรู้ทางการแพทย์อะไรเลย เธอเดาว่าโรคยอดฮิตในยุคนี้คือโรคไต แบบว่าวันไหนไม่ได้กินเค็ม เหมือนชีวิตขาดการเติบเต็มอะไรประมาณนี้ รสชาติก็ดาษดื่น ยังกล้าเอามาให้สามีกับลูกเธอกิน ช่างมั่นใจในเสน่ห์ปลายจวักจริง ๆ
ซูฉีและครอบครัวเข้าไปนั่งร่วมงานได้ไม่นาน นังเฒ่าหยินก็เดินมาเรียกสามีแธอไปช่วยยกข้าวยกของแล้ว แน่นอนว่าเธอมองสามีจนลู่จิวได้แต่ปฏิเสธไป การกระทำนี้ทำให้นังเฒ่านั้นไม่พอใจมาก ชักสีหน้าและตำหนิลู่จิวไปหลายคำ ตำหนิเสร็จก็เดินไปช่วยงานเหลียนฮวาต่อ ปัญญาอ่อนรึไงยะ
ชิ
เมื่อเจ้าภาพจัดการกล่าวแนะนำตัวและขอบคุณแขกในงานเรียบร้อยก็ได้เวลาทานอาหารเสียที เอาหม้อมาตั้งจนเย็นหมดแล้วล่ะมั้ง เธอหันมาสนใจป้อนข้าวลูก ปล่อยหน้าที่จับผิดจิกกัดให้เซี่ยงจูไป พอดีวันนี้คนสวยมาปฏิบัติหน้าที่กับกองประกวดมิสยูนิเวิร์สน่ะ ทำอะไรต้องนึกถึงภาพลักษณ์
“ท่านแม่..ไม่อร่อย ทำไมมันจืดจังขอรับ”
เจ้าคิงคองที่เป็นคนกินไม่เลือก กินเหมือนเขมือบตอนนี้กำลังทำหน้าแหย ๆ ถามผู้เป็นแม่ ปกติอาหารที่ท่านแม่ทำให้เขากินนั้นอร่อยมาก มีแต่ของแพง ๆ อร่อย ๆ ไม่จืดแบบนี้
คิงคองที่กินอาหารจากห้างมาเป็นเวลานานติดต่อกัน ทำให้ตอนนี้ลิ้นน้อย ๆ นั้นไม่ชินรสชาติของอาหารทั่วไปในยุคนี้เท่าไหร่นัก
“กินเข้าไปอีกสี่คำ เดี๋ยวกลับบ้านแล้วแม่ทำอะไรให้กิน”
“ขอรับ”
ถึงรสชาติจะไม่ถูกปากแต่ก็ยังเป็นอาหาร เขายังจำเมื่อก่อนได้ เวลากินข้าวนั้นเขาไม่เคยอิ่มเลย ยิ่งเขาชอบออกกำลัง เขาไม่เคยกินข้าวอิ่ม แต่ตั้งแต่ท่านแม่หายป่วยเขาก็ได้กินอิ่มจนแน่นท้อง ทั้งยังอร่อยมาก ๆ อีกด้วย
ทางด้านอี๋นัวนั้นเธอให้สามีดูแลให้ลูกกินอาหาร ซึ่งผลที่ได้ก็ไม่ต่างจากเจ้าคิงคองมากนัก ต่อมรับรสของเด็ก ๆ นั้นน่าจะชินกับรสชาติหลากหลายไปแล้ว การให้กลับมากินอาหารจากธรรมชาติแบบนี้จึงไม่ถูกปากมากนัก
ต่างกับชาวบ้านที่ได้กินอาหารจานเนื้อ อาหารจานเนื้อนั้นต้องเป็นเทศกาลหรือมีงานสำคัญเท่านั้นชาวบ้านถึงจะซื้อมากิน การที่เหลียนฮวาทำอาหารจานนี้เลี้ยงชาวบ้านนั้นนับว่าได้หน้าและเรียกความเอ็นดูจากคนในหมู่บ้านได้ดี
“ลูกสาม ซานเอ๋อร์ อี๋เอ๋อร์ เหตุใดกินน้อยนักเล่า เหลียนฮวาตั้งใจทำสุดฝีมือเชียวนะ รสมือนั้นนับว่าเลิศล้ำ”
“ภรรยาลูกทำอาหารให้กินก่อนมาแล้วขอรับท่านแม่ ตอนนี้ยังอิ่มอยู่เลยขอรับ”
“ใช่ขอรับท่านย่า อาหารของท่านแม่อร่อยที่สุดในโลก”คิงคองน้อยได้ทีจึงเริ่มโอ้อวดว่าตนได้กินอาหารอร่อยทุกวัน อี๋นัวนั้นเพียงพยักหน้าหงึกหงักตามพี่ชายเท่านั้น
“อาหารชาวบ้านธรรมดาจะอร่อยกว่าศิษย์จากสำนักใหญ่ได้อย่างไร”
“ท่านป้าหยินเคยออกไปกินอาหารข้างนอกด้วยหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงรู้รสชาติอาหารในสำนักชื่อดังได้เล่า ข้าก็อยากลองชิมบ้าง”
เริ่มเลอออ เซี่ยงจู แกต้องสู้ แกต้องชนะ ฉันเชื่อมั่นในตัวแกนะเพื่อนรัก ไปเลยค่ะกะเทยยยยยยยยย
“ข้าจะไปเคยกินได้อย่างไรเล่าเจ้านี่ก็ เหลียนฮวานั้นมาจากสำนักหัตถ์เทวะ ทั้งนางยังเป็นถึงศิษย์สายใน นางย่อมคุ้นชินรสชาติของอาหารในสำนัก เช่นนั้นยามปรุงอาหารอย่างไรก็ต้องปรุงตามรสชาติที่คุ้นชินอย่างไรเล่า ยามนางมาพักอยู่บ้านข้าก็ได้มีโอกาสได้กินอาหารฝีมือนาง คนบ้านหยินติดใจรสมือนางกันทั้งนั้น ฮ่าฮ่าฮ่า”
แหวะ สะดีดสะดิ้ง
“เป็นเช่นนั้นเองหรือ ข้ารึก็นึกดีใจ เผื่อว่าจะได้ไปลองชิมเองดูบ้าง ที่แท้ก็ชิมเอาจากรสมือแม่นางลี่นั่นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า”
“เป็นดังเจ้าว่า นางมาพักอยู่กับฮวาเอ๋อร์ของข้าก็ช่วยข้าเบาแรงไปเยอะเลยล่ะ นางช่างเก่งงานบ้านงานเรือน ไม่นึกว่าเป็นถึงผู้ฝึกตนจะเก่งด้านนี้ หากได้เป็นสะใภ้ข้าก็คงเบาใจว่าลูกข้าจะมีคนดูแลอย่างดีกับเขาบ้าง”
ไม่ว่าเปล่านางยังส่งสายตาชำเลืองมองซูฉีเป็นการสื่อว่า นางกำลังพาดพิงถึงผู้ใด ชาวบ้านส่วนใหญ่นั้นรู้ดีว่าลู่จิวต้องทำงานบ้านเอง สายตามากมายหลากหลายความรู้สึกส่งตรงมายถึงเธอ บ้างก็อิจฉาที่นางได้สามีที่คอยดูแลให้เธออยู่แบบสบาย ๆ ไม่ต้องทำงาน บ้างก็เป็นสายตาตำหนิที่เธอไม่ทำหน้าที่ภรรยา ปล่อยให้สามีต้องทำงานทั้งในและนอกบ้าน
เธอทำเป็นมองไม่เห็นสายตาที่ส่งมา ส่งยิ้มบาง ๆ ให้แม่สามีและเหลียนฉวา ราวกับไม่รับรู้ว่าแม่สามีพาดพิงถึงเธออยู่
“ลูกสะใภ้หรือ ตายจริง มิใช่ว่าลูกชายบ้านหยินแต่งภรรยาทุกคนแล้วหรอกหรือท่านป้า หรือแม่นางลี่มีใจคิดอยากได้สามีของผู้ใดหรือเจ้าคะ ข้าว่าอย่าเลยนะเจ้าคะแม่นางลี่ ยังสาวยังสวยเหตุใดจึงอยากเข้าไปสร้างความช้ำใจให้ลูกและภรรยาผู้อื่นเล่า ขายหน้าสำนักหัตถ์เทวะกันพอดีนะเจ้าคะ”
เธอมันแน่มากเซี่ยงจู พึ่งรู้สึกว่ามองดูคนอื่นด่าคนที่เราเกลียดมันสะใจกว่าด่าเองเสียอีก ถึงว่า นังเฒ่านั่นชอบนั่งมองสะใภ้ใหญ่ด่าเธอ
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ ข้าจะไปแทรกกลางครอบครัวผู้อื่นได้อย่างไรกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยงจู สายตาของชาวบ้านก็เริ่มเปลี่ยนไป สตรีที่ริอาจคิดอยากได้สามีผู้อื่นหาใช่คนดีไม่ เป็นได้เพียงนังแพศยาน่ารังเกียจเท่านั้นแหละ และดูเหมือนว่าเหลียนฮวาจะรับรู้ความคิดของชาวบ้าน นางจึงรีบปฏิเสธออกมาโดยเร็ว
“เช่นนั้นก็ดีแล้วแม่นางลี่ ข้ารึก็นึกว่าท่านมีใจชอบพอสามีของสหายข้า ที่แท้คงเป็นเพียงชาวบ้านคิดกันไปเองแล้วข้าต้องขออภัย”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอบคุณที่เตือนข้านะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องเกรงใจ อย่างไรก็คนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน ข้าก็ทุกข์ใจแทนท่าน เห็นว่าท่านทั้งทำอาหาร ทั้งปักผ้าให้สามีและลูกของสหายข้าน่ะสิ ข้าก็อดเป็นห่วงท่านไม่ได้ หากคิดไปแย่งสามีของซูฉีจริงท่านคงจะอยู่ลำบากสักหน่อย เห้อ ดีแล้วที่ท่านไม่ได้คิดอยากได้สามีของสหายข้า”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ขอบคุณแม่นางอัน ข้าเพียงช่วยตอบแทนท่านพี่ลู่จิวที่ช่วยดูแลชิงอีแทนพี่ชายข้ามาหลายปีเท่านั้น หาได้คิดเป็นอื่น”
“เป็นเช่นนั้นข้าก็สบายใจ อย่าได้ไปริคิดแยกคู่ยวนยางของผู้อื่นเลย บาปกรรมมันมีจริง ดีจริง ๆ ที่แม่นางหาใช่คนเช่นนั้น”
จิ๊จิ๊ ไม่ผิดหวังที่คบกันเลยนะเซี่ยงจู ที่นางย้ำเรื่องแย่งสามีผู้อื่นบ่อยก็เพราะเธอบอกเองแหละว่าให้จี้จุดไหนถึงจะคุมเกมได้ และเพื่อนรักก็ไม่ทำให้ผิดหวังจริง ๆ อีดอก..บัวนั่งยิ้มเจื่อนหน้าถอดสีไปแล้ว เธอจึงยกแขนเสื้อมาบังหน้าแล้วแอบยิ้มเงียบ ๆ ซึ่งการกระทำของเธอก็ไม่พ้นสายตาของสามีที่มองเธออย่างรู้ทัน
‘สายตานั่นมันอะไรกัน โง่จริงปะเนี่ย ทำไมสายดูรู้ทันอย่างกับจิ้งจอกตัวผู้แบบนั้นเล่า แต่ว่านะ สายตาแบบนี้มันเร้าจังเลยน้า เอาไปอีกหนึ่งแต้มสำหรับสายตาทรงเสน่ห์’