ปัจจุบัน...
"ยาหยี เรียนจบแล้วหนูต้องเข้าไปช่วยพ่อดูแลบริษัทนะ"เศรษฐากล่าวกับญาตาลดาผู้เป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของเขา
เศรษฐามีลูกสาวเพียงคนเดียว และอยู่กันมาแค่2คนเนื่องจากภรรยาของเขาได้จากไปด้วยโรคร้ายตั้งแต่ญาตาลดายังอายุแค่5ขวบ เขาจึงกลายเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว
วันนี้ลูกสาวของเขาเติบโตพร้อมที่จะช่วยงานในบริษัทเขาได้แล้ว แต่เธอไม่ค่อยชอบงานบริหาร เพราะเนื่องด้วยจากข่าว ทำให้ตอนเด็กเธอถูกล้อว่าเป็นลูกของฆาตกรเธอจึงไม่คิดที่จะไปยุ่งกับบริษัทที่พ่อดำรงค์ตำแหน่งมาตลอด15ปี เธอจึงเลี่ยงที่จะเรียนสายอื่นและดันชอบการออกแบบ ตั้งแต่เรียนจบมาลูกสาวของเขาก็ปฏิเสธที่จะเข้าไปช่วยงานมาโดยตลอด แล้วไปทำงานสายแฟชั่นเสื้อผ้าแทน เพราะความฝันของเธอนั้นอยากเป็นดีไซเนอร์ อยากออกแบบเสื้อผ้าสวยๆให้คนอื่นได้ใส่ และเธอก็ทำมันออกมาได้ดีโดยมีตัวเธอเองเป็นนางแบบ ด้วยหน้าตาที่สวยละมุนมองมุมไหนๆก็มีเสน่ห์ และหุ่นนางแบบที่เฟอร์เฟคไปซะทุกสัดส่วน เลยทำให้งานของเธอมีคนสนใจเป็นอย่างมาก เธอเริ่มจากหลักสิบจนตอนนี้ยอดขายเสื้อผ้าของเธอทะลุไปหลักหมื่นชิ้นต่อเดือน
"หยีไม่ทำได้ไหมคะ หยียังอยากทำแบรนด์เสื้อผ้าอยู่เลย"ญาตาลดากล่าวออดอ้อนผู้เป็นพ่อที่มักจะเกลี่ยกล่อมให้เธอไปทำด้วยอยู่บ่อยครั้ง
"เข้ามาช่วยพ่อก่อนสักปีได้ไหม พ่อมีงานที่ต้องทำแต่ระหว่างนี้ให้หนูดูแลแทนพ่อก่อน ถ้าหนูมาดูแลแทนพ่อ1ปีพ่อจะปล่อยให้หนูไปทำตามความฝันและจะไม่ก้าวก่ายชีวิตที่หนูเลือกเด็ดขาด"
"งานอะไรคะ"เธอถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"ความลับ บอกใครไม่ได้"เขากระซิบที่ข้างหูลูกสาวคนสวยประหนึ่งว่ามันเป็นความลับจริงๆอย่างที่เขาพูด
ตั้งแต่เด็กจนโตมา พ่อของเธอได้เข้ามาดูแลบริษัทที่เป็นของคนอื่น ตลอดเวลาที่เธออยู่กับพ่อนั้นเธอถามตลอดว่าทำไมถึงได้มาเอาบริษัทคนอื่นตามที่ข่าวบอก แล้วพ่อเป็นคนทำแบบที่ข่าวพูดจริงๆใช่ไหม แต่คำตอบที่ได้กลับมามันกลับไม่เคยชัดเจนเลย จะมีก็แต่เพียงคำพูดว่า "มันเป็นหน้าที่ของพ่อที่ต้องทำ อย่าใส่ใจคำพูดคนอื่นให้เชื่อใจพ่อ แล้วเมื่อถึงเวลาพ่อจะบอกเองว่าทำไม"
ไนท์คลับ แห่งหนึ่งชื่อดังย่านใจกลางเมือง
เสียงเพลงในคลับดังขึ้นมาขณะที่ขายาวๆของร่างสูง ที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็หล่อดูดีไปทุกกระเบียดนิ้ว คิ้วเข้มหนาเรียงเส้นสวยงามขมวดคิ้วอย่างขุ่นเคืองใจที่ถูกสายตาของสาว จับจ้องราวกับจะเข้ามาขย้ำเขาอย่างไร้มารยาท หากแต่เพียงเขาไม่ชอบสายตาพวกนี้ แววตาคมดั่งเหยี่ยวมองหาโต๊ะเพื่อนของเขาที่ถูกจองไว้แล้วในค่ำคืนนี้ ก่อนที่จะไปสะดุดกับหญิงสาวร่างบางคนหนึ่งที่กำลังยกแก้วที่มีน้ำสีอำพันกระดกอย่างกับเป็นน้ำเปล่า ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตมีประกาย คิ้วเรียงเส้นสวยเป็นทรง จมูกโด่งรั้นเชิดเบาๆ ปากเล็กๆสีแดงที่ถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติกทับด้วยลิปกลอสอีกทีเพิ่มความอวบอิ่มหน้าจูบเข้าไปอีก ผมยาวดัดลอนสวยถึงกลางหลังทำให้ดูผมหนา ยิ่งมองยิ่งมีเสน่ห์จนแทบจะละสายตาไปจากเธอไม่ได้ ใบหน้าอ่อนหวานแต่ทว่ากลับมีลูกเล่นและดูซุกซน น่ารักน่ามองเข้าจะละสายตาแทบไม่ได้ เขายังมองอยู่อย่างนั้นราวๆ5นาทีจนสุดท้าย เพื่อนรักของเขาก็มาเรียกสติให้ออกจากภวังค์
ปึ่ก!
"ฟินซ์ ไรเดอร์ ได้เจอหน้าสักทีนะมึง ดูดีเหมือนตอนคอลวิดิโอด้วยกันเลย"ผู้ชายร่างสูงที่สูงพอๆกับเขาตบไหล่เพื่อนที่เอาแต่ยืนจ้องอะไรบางอย่างเอ่ยขึ้นเพื่อเรียกสติก่อนจะแซวในใบหน้าอันหล่อเหลาที่ดูท่าทางจะเป็นจุดสนใจของสาวๆระเเวกนี้ไม่น้อย
"กวิน! กูมองหามึงตั้งนานแล้วไอ้ฐานทัพล่ะ"
"แหม มองหากูกล้าพูดนะมึง..."กวินภพ หนุ่มหล่อร่างสูงใบหน้าคมเข้มเอ่ยอย่างไม่เชื่อในคำพูดเพื่อน
"พูดมากเหมือนเดิมเลยนะมึง"ฟินซ์พูดเสียงเรียบ
"ไอ้ฟิน์ ไอ้กวิน ทางนี้"ฐานทัพชายหนุ่มร่างสูง ใบหน้าหล่อเหลาไปทางตี๋ หล่อไม่แพ้เพื่อนอีก2คน หากแต่ว่าเขาดูสุภาพเรียบร้อยกว่า เอ่ยเรียกเพื่อนทั้งคู่ให้เข้ามานั่งโต๊ะที่มีของมึนเมาพร้อมฉลองการกลับมาของเพื่อนรักที่ห่างหายไม่เจอกันมานานนับ15ปี แต่เพราะอะไรน่ะหรอที่เขายังคงสนิทกัน
หลังจากที่ฟินซ์ไปอยู่เมืองนอกได้1ปีพอเริ่มปรับตัวได้ เขาก็หาทางติดต่อเพื่อนสนิทเพียง2คนของเขาด้วยวิธีเข้าไปเล่นเกมส์และคุยกันในแอพเกมส์ก่อนที่จะดึงกันไปตั้งกลุ่มแล้วคุยกัน ทั้ง3สนิทกันมากแต่ฟินซ์กำชับเอาไว้ว่าห้ามบอกเรื่องที่เขายังมีชีวิตรอดให้ใครได้รับรู้และบอกให้เพื่อนเรียกเขาว่าฟินซ์ ไรเดอร์แทน เนื่องจากคนอื่นจะได้เข้าใจว่ากฤษณ์ตฤณนั้นได้จากโลกนี้ไปพร้อมๆกับพ่อแม่ของเขาแล้ว และวันนี้วันที่เขากลับมาเขาก็รู้ว่าเพื่อนกลับมาเพราะจุดประสงค์อะไร และเขาทั้งคู่ก็พร้อมที่จะช่วยเพื่อค้นหาความจริง
กวินภพ หนุ่มหล่อคมเข้ม เป็นตำรวจ และฐาปกรณ์ หนุ่มหล่อตี๋ เป็นทนาย ด้วยเหตุนี้เขาถึงต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนทั้ง2คน เพื่อสืบหาความจริงทั้งหมด
"ฉลองๆ"ฐานทัพกล่าวก่อนจะเทแอลกอฮอล์ใส่ในภาชนะทั้ง3ใบแล้วยื่นให้เพื่อนๆ
เพล้ง!
เสียงแก้วทั้ง3ใบกระทบกัน ก่อนที่ทั้งสามจะกระดกขึ้นดื่นจนหมดแก้ว
"ว่าแต่แกเถอะไอ้ฟินซ์ กลับมาครั้งนี้แกจะเอายังไง เริ่มจากตรงไหน"กวินภพเปิดประเด็น
"ก็คงไปสมัครงานพรุ่งนี้เลย"เขาไม่ชอบรออะไรนานๆ รีบทำรีบจบ เพราะเขารอมานานเกินไปแล้ว
"แกรีบจังวะ ไม่เที่ยวอีกสักหน่อยหรอ"ฐานทัพเอ่ยเสริมที่เพื่อนเร่งรัดที่จะรีบทำจนเกินไป
"ฉันไม่ได้มาเที่ยว!"เสียงเรียบนิ่งกล่าว
"แกคิดว่าลุงเศรษฐาจะทำแบบนั้นจริงๆหรอวะ"ฐาปกรณ์เอ่ยถาม เพราะเท่าที่เห็นมาตั้งแต่เล็กจนโตเขาก็ดูซื่อตรง ดูเป็นคนดีไม่มีท่าทางว่าจะเป็นคนที่จะฆ่าใครได้เลย อีกอย่างเขาโตมากับเศรษฐาเพราะพ่อของเขาเป็นเพื่อนรักของเศรษฐาและพ่อของฟินซ์ 3คนนี้เป็นเพื่อนรักกัน ดูยังไงก็ไม่น่าจะทำร้ายกันหรือเปล่า
"ฉันไม่รู้ ฉันถึงมาสืบให้แน่ใจ ฉันไม่ปล่อยให้การตายของพ่อแม่ฉันเสียเปล่า อย่างน้อยฉันจะได้รู้ว่าเพราะอะไรทำไมต้องฆ่ากันด้วย"เสียงกดต่ำนั่น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาแค้นแค่ไหน และเขาจะต้องทวงความยุติธรรมให้พ่อแม่ของเขาให้ได้ ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิตเท่านั้นหากแต่ว่าต้อวไม่ได้ทำให้ใครตาย แต่ถ้าตายทั้งเป็นก็คงไม่แน่
"คนที่ไว้ใจสุดท้ายมักจะร้ายที่สุด แกไม่เคยได้ยินคำนี้หรอฐานทัพ"กวินภพเอ่ย ก่อนที่จะค่อยๆวิเคราะห์ในฐานะที่เขาเป็นตำรวจ
"แต่จากที่ฉันได้ใกล้ชิดมา ฉันคิดว่ายังไงก็ไม่น่าจะใช่"ฐาปกรณ์ทำท่าครุ่นคิด
"แต่ถึงยังไงก็ต้องมีหลักฐานให้แน่ใจก่อน ที่สำคัญอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะถ้าไม่ใช่อย่างที่ข่าวใส่สีแกอาจจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตที่ทำร้ายคนบริสุทธิ์"กวินภพกล่าวเตือน
"ลุงชวัลเคยพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้แกฟังไหมฐานทัพ"ฟินซ์หันไปถามข้อมูลเพิ่มเติม เพราะชวัล เศรษฐา และพ่อของเขาเป็นเพื่อนรักกัน ต้องมีพูดเรื่องราวอะไรให้ลูกชายฟังบ้าง ชวัลเป็นทนายประจำตระกูลของเขาและเป็นเพื่อนรักของพ่อเขาด้วย เลยรู้สึกสงสัยในพินัยกรรมที่มอบบริษัทให้เพื่อนอีกคนนั่นก็คือเศรษฐาแทนที่จะเป็นคชา ลุงแท้ๆที่เป็นพี่ชายของพ่อเขา เรื่องนี้มันต้องมีอะไรมากกว่าที่คิด
"ฉันเคยถามเรื่องพินัยกรรมบ้านแกนะ แต่พ่อฉันบอกอ่านไปหมดแล้ว คุณลุงเซ็นต์ยกบริษัทให้ลุงเศรษฐาจริงๆ พ่อเล่าว่าตอนไปที่เกิดเหตุคุณลุงยังไม่เสียเลยทีเดียว แต่พยาบาลบอกว่าคุณลุงเรียกหาพ่อฉันและคุณลุงเศรษฐา พอตามมาท่านก็ถามหาแต่แกแต่ไม่มีใครพบเเกเลย ท่านก็คงคิดว่าแกก็น่าจะตายไม่น่ารอดเลยเซ็นต์ยกบริษัทให้ลุงเศรษฐาแทนก่อนที่จะสิ้นใจพอดี พ่อฉันบอกว่าพ่อเป็นคนเขียนพินัยกรรมฉบับนั้นเองกับมือแต่ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมากกว่านี้นะ"ฐาปกรณ์ร่ายยาวให้เพื่อนฟัง มันค่อนข้างที่จะแปลกๆไปหน่อยไหม
"แล้วทำไมไม่ให้ลุงฉัน มันแปลกๆไหม"เขาเอ่ยอย่างสงสัย ซึ่งไม่เคยมีใครหาคำตอบได้
"ไม่ไว้ใจหรือเปล่า"กวินภพออกความเห็น
"สายเลือดเดียวกันแต่มอบให้คนอื่น ไม่แปลกไปหน่อยหรอ"ฟินซ์ยังคงครุ่นคิด เพราะอะไรกันทำไมพินัยกรรมนั้นถึงได้มอบให้คนนอก เขาต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้