ครึ่งชั่วยามต่อมา
พระสนมมู่เซียนนั่งมองหญิงสาวผู้มีพระคุณที่ยังคงนอนไม่ได้สติด้วยความเป็นห่วง หลังจากพาจางม่านอวี้มาบ้านพักของมารดา นางได้ให้สาวใช้ของบ้านไปตามหมอมาดูอาการและทำบาดแผลให้คนได้รับบาดเจ็บ พอรู้จากหมอว่า แม่นางคนนี้ไม่เป็นอะไรมาก มู่เซียนรู้สึกโล่งใจ นางเฝ้ารอให้อีกฝ่ายหนึ่งฟื้นเสียก่อน นางจึงกลับวัง
“ทหารกับขบวนเกี้ยวมารอแล้วเพคะพระสนม”
ซือเหมี่ยวรายงานพระสนม หลังเกิดเหตุร้ายกับเจ้านายสาว นางได้ไปแจ้งกับนายอำเภอที่ทำหน้าตกใจเมื่อรับรู้ข่าว นายอำเภอจึงส่งเกี้ยวพร้อมนายทหารหลายสิบนายอารักขาพระสนมมู่เซียนกลับวัง
“ข้ารู้แล้ว ข้าจะรอให้แม่นางคนนี้ฟื้นก่อน”
“เพคะพระสนม” ซือเหมี่ยวว่าตามพระสนมมู่เซียนทุกอย่าง นางรับคำและถอยหลังเดินออกจากห้อง
“พระสนมไปนั่งพักในห้องก่อนดีไหมเพคะ แม่นางคนนี้ฟื้นหม่อมฉันจะให้สาวใช้ไปตาม” เทียนเซียงบอกบุตรสาว
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าจะรอแม่นางคนนี้ที่นี่เจ้าค่ะท่านแม่” เทียนเซียงไม่พูดคำใดต่อ นางเฝ้ารอจางม่านอวี้ฟื้นพร้อมบุตรสาวในห้อง และในที่สุดการรอคอยของสองแม่ลูกก็มาถึง
“พระสนมเพคะ แม่นางฟื้นแล้วเพคะ” เทียนเซียงรีบบอก เมื่อเห็นคนที่นอนไม่ได้สติ กำลังเปิดเปลือกตาขึ้น
“โอ๊ย!” จางม่านอวี้แกล้งร้องเจ็บ ขยับตัวหมายจะลุกขึ้นนั่ง มู่เซียนเห็นดังนั้นจึงรีบมาประคองจางม่านอวี้ทำทีมองไปรอบห้องที่ไม่คุ้นตา “ที่นี่ที่ไหนเจ้าค่ะ”
“บ้านแม่ข้าเอง” มู่เซียนตอบ ก่อนจะถามประโยคคำถามที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นห่วง “เจ้าเป็นยังไงบ้าง เจ็บแผลหรือเปล่า”
“แล้วท่านล่ะเจ้าคะ เป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยหรือไม่เจ้าคะ” มู่เซียนซาบซึ้งในคำถามของอีกฝ่ายยิ่งนัก แม้ว่าตัวเองเจ็บยังเป็นห่วงนาง
“ข้าขอบใจเจ้ามากที่มาช่วยข้า ถ้าไม่ได้เจ้า ป่านนี้ข้าคงฆ่าตัวตายหนีความอับอายไปแล้ว”
มู่เซียนกล่าวขอบใจจากใจจริง ในความรู้สึกของมู่เซียน การที่อีกฝ่ายช่วยเหลือตนถือเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวง
“ข้าเต็มใจช่วยท่านเจ้าค่ะ ข้าทนเห็นผู้หญิงโดนรังแกไม่ได้เจ้าค่ะ”
“เจ้าชื่ออะไร”
“ข้าชื่อจางม่านอวี้เจ้าค่ะ”ขณะที่จางม่านอวี้ตอบ ดวงตานางมองพระสนมมู่เซียนไปด้วย ความสวยงามของมู่เซียนสมคำร่ำลือ ตัวจริงสวยกว่าที่โจษขานไปทั้งแคว้น มิน่าเล่าฮ่องเต้ถึงรักและหลงใหลมู่เซียน
“ข้าจะตอบแทนความดีของเจ้า เจ้าอยากได้อะไร เงินหรือว่าทองคำ เครื่องประดับหรืออะไรก็ได้ ข้าให้เจ้าตามที่เจ้าต้องการ”
“สิ่งที่ข้าต้องการ ท่านคงให้ข้าไม่ได้เจ้าค่ะ” น้ำเสียงประโยคนี้ช่างเศร้าหนัก มู่เซียนได้รับฟังแล้ว พลอยเศร้าไปด้วย
“เจ้าต้องการอะไร ไหนบอกข้าสิ เผื่อข้าให้เจ้าได้”
“มันเป็นเรื่องที่ท่านให้ข้าไม่ได้เจ้าค่ะ แต่ถ้าท่านอยากรู้ ข้าก็จะบอก ข้าไม่อยากให้มีวันมะรืนนี้ เพราะวันนั้นข้าต้องเป็นของผู้ชายที่ข้าไม่ได้รัก เห็นไหมเจ้าคะว่า ท่านให้ข้าไม่ได้”
มู่เซียนถึงกับอึ้งกับคำขอที่จางม่านอวี้ต้องการ เท่าที่นางเห็นทั้งแววตาและน้ำเสียงของอีกฝ่าย มันบอกถึงความเศร้าอันใหญ่หลวง
“ถ้าเจ้าหมายถึง เจ้าต้องแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้รัก เรื่องนี้ข้าพอช่วยเจ้าได้นะ เจ้าบอกข้ามาสิว่า เจ้าต้องแต่งงานกับใครและด้วยเหตุผลอะไร ถ้าข้าช่วยเจ้าได้ข้ายินดีช่วย”
“ไม่มีใครหรือเทพองค์ใดช่วยข้าได้เจ้าค่ะ ทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว” จางม่านอวี้เอ่ยเสียงเบาและค่อนข้างสั่น “ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ ขอบคุณท่านมากที่คิดช่วยข้าและทำแผลให้”
“เจ้าไม่อยากรู้หรือว่า คนที่เจ้าช่วยคือใคร ถ้าเจ้ารู้บางทีเจ้าอาจจะเปลี่ยนความคิดที่ว่า ไม่มีใครช่วยเจ้าได้ก็ได้นะ”
“ข้าไม่อยากรู้เจ้าค่ะ เพราะถึงรู้ไปท่านก็ช่วยข้าไม่ได้อยู่ดี อีกอย่างข้าคิดว่า เราคงไม่เจอกันอีกเจ้าค่ะ ข้าลานะเจ้าคะ”
จางม่านอวี้แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่า หญิงสาวผู้งดงามตรงหน้าคือใคร เพื่อให้สมบทบาท ก่อนยิ้มบางส่งให้มู่เซียน วาดเท้าลงจากเตียง
“เจ้าไม่ให้ข้าช่วยเหลือเรื่องนั้น ข้าขอไปส่งเจ้าที่บ้านได้ไหมเป็นการตอบแทนที่เจ้าช่วยข้า”
“ข้ากลับเองดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ต้องการให้ท่านลำบาก...” จางม่านอวี้ต้องหยุดคำพูด เมื่อมู่เจียวเหยาเปิดประตูผัวะเข้ามา
“เจ้าเป็นยังไงบ้างมู่เซียน ได้รับบาดเจ็บที่ไหนหรือเปล่า”
มู่เจียวเหยาเอ่ยถามน้องสาว คงจะมีเพียงเขาคนเดียวที่ไม่ได้พูดกับพระสนมมู่เซียนด้วยราชาศัพท์
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้วท่านพี่” มู่เซียนตอบพี่ชาย
“ข้อขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
“อย่าเพิ่งสิ ข้าจะไปส่งเจ้าที่บ้าน” มู่เซียนรั้งไว้
“ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจ้า สำคัญมากด้วย ข้าว่าเราไปคุยกับที่ห้องข้าดีกว่านะ” สีหน้าและน้ำเสียงของมู่เจียวเหยาเต็มไปด้วยความร้อนใจ ซึ่งมู่เซียนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้น
“ข้าขอตัวนะเจ้าคะ” จางม่านอวี้ใช้โอกาสนี้เดินออกจากห้อง มู่เซียนมองตามจางม่านอวี้ ก่อนจะเดินตามพี่ชายไปยังห้องของเขาที่อยู่ติดกัน
เมื่อจางม่านอวี้เดินออกมาจากบ้านเทียนเซียง นางเดินทิ้งห่างบ้านหลังนั้นราวครึ่งลี้ หลินหลินที่นั่งรออยู่ในร้านขายซาลาเปารีบลุกเดินมาหาเจ้านายสาว
“เป็นไงบ้างคะคุณหนู” หลินหลินถาม
“สำเร็จตามแผน” จางม่านอวี้ตอบ หลินหลินยิ้มกว้าง “เรากลับวังกันเถอะ”
“เกี้ยวรออยู่ทางโน้นเจ้าค่ะ” จางม่านอวี้พยักหน้า ก่อนที่ทั้งสองจะเดินไปยังจุดที่เกี้ยวรออยู่ จางม่านอวี้ไม่อยากให้ใครสะดุดตากับการเดินทางกลับวังของนาง จึงนัดแนะกับหลินหลินให้นำเกี้ยวมาไว้ตรงจุดนี้
แผนการของจางม่านอวี้สำเร็จตามคาด นางมั่นใจว่าเหตุการณ์วันนี้จะทำให้มู่เซียนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจตน และที่จางม่านอวี้ทำทีไม่ต้องการรู้ว่ามู่เซียนเป็นใคร รวมถึงไม่ได้บอกว่าตนเป็นใคร แต่ได้เปรยไว้ว่าวันมะรืนเปรียบเสมือนวันที่เศร้าที่สุดในชีวิต วันนั้นจะเป็นวันเริ่มต้นทำความรู้จักกับพระสนมมู่เซียนอย่างเป็นทางการ แล้วจะเป็นวันเริ่มต้นล้วงความลับจากนางพญาแห่งตำหนักใน เป็นงานหินงานหนึ่งที่จางม่านอวี้ต้องทำให้สำเร็จ