ตอนที่1 บันทึกรักสีเทา1
ณ หน้าผาสูงชันแห่งหนึ่ง
มีพื้นดินที่แข็งแรงลักษณะยาวยื่นออกไปจากร่มไม้ของภูเขาสูงเพื่อรับแสงแดดทอประกายร้อนแรงแผดเผาและรับสายลมรุนแรงด้วยความสูงของมัน
บนหน้าผาสูงชันนี้กำลังปรากฏร่างงามๆ ของสตรีผู้หนึ่ง นางผู้ซึ่งมีวงหน้าที่งดงามหาตัวจับได้ยาก เรียวคิ้วโค้งเว้า ดวงตาเรียวสวย ริมฝีปากได้รูปสีแดงสด ผิวพรรณนวลเนียนดั่งหยกสลัก
ผมสีดำขลับปล่อยสยายทิ้งตัวลงกรุยกรายไปตามแรงลมจนระเต็มแผ่นหลังบอบบาง ทุกอย่างช่างงดงามผิดกับอาภรณ์ที่สวมใส่ นางแต่งกายด้วยอาภรณ์เก่าๆ ขาดๆ สีหม่นหมอง ไม่ต่างจากดวงตาแววซึม
นางนั่งอยู่เพียงลำพังอย่างเดียวดาย ตรงหน้าผาสูงชันด้วยใบหน้าเรียบเฉยแววตาสงบนิ่งคล้ายกับวิญญาณล่องลอย กำลังเทเหล้าออกจากจอกตรงตำแหน่งของป้ายหน้าหลุมศพ อย่างเชื่องช้าแต่ทว่ามั่นคง
เมื่อเทเหล้าจนหมดจอกจึงนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นด้วยแววตาว่างเปล่าไร้อารมณ์ใดๆ หญิงสาวหยิบบันทึกเล่มเก่าที่มีสีของกระดาษออกเหลืองค่อนไปทางขุ่น
เนื่องจากมันผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน
นานยิ่งกว่านางที่มีอายุเพียงสิบเจ็ดปี
ในบันทึกเล่มนี้ได้เขียนบอกเล่าเรื่องราวและความรู้สึกทั้งหมดที่ผ่านมาเกี่ยวกับเจ้าของป้ายวิญญาณตรงหน้าได้เป็นอย่างดี เจ้าของบันทึกมีนามว่า หลิวม่านเซียง สตรีผู้งดงามปานล่มเมือง ซึ่งก็คือมารดาบังเกิดเกล้าของนางนั่นเอง
หญิงสาวมีนามว่า ม่านนี
ไม่มีชื่อสกุลรองรับ เนื่องจากว่าตระกูลของนางถูกฆ่าล้างตระกูลไปแล้วจนหมดสิ้นเมื่อครั้งที่นางเป็นแค่ร่างเล็กๆ อยู่ในครรภ์มารดา
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ม่านนีจึงเปิดบันทึกของมารดาออกอ่านอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจนับ
ในบันทึกของมารดานั้นได้บันทึกทุกอย่างทุกช่วงเวลาเอาไว้เป็นอย่างดี แม้แต่คำพูดที่มารดากำลังสนทนากับบิดาก็ถูกเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนทุกถ้อยทุกคำ
ม่านนีกวาดสายตาคู่งามที่ตัวอักษรทุกตัวอย่างใจเย็น
ตัวอักษรเหล่านั้นถูกเขียนเอาไว้ด้วยลายมืออันสวยงามมีเอกลักษณ์ของมารดา เจ้าของหลุมศพตรงหน้าม่านนี
‘ข้าหยางจื้อเฉิงยินดีที่ได้รู้จักแม่นาง’
เสียงทุ้มต่ำเปี่ยมเสน่ห์ยิ่งนักเอ่ยทักทายข้าที่กำลังยืนหลบมุมอยู่ภายในอุทยานของค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองของวังหลวง ข้าที่ออกจากจวนตระกูลหลิวมาแค่ครั้งแรกจึงไม่กล้าสู้หน้าผู้ใด แต่ทว่ากับองค์ชายสี่นามว่าหยางจื้อเฉิงกลับลดตัวมาทักทายข้าอย่างนี้ช่างเป็นบุญของข้ายิ่งนัก
ข้าตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“หม่อมฉัน หลิวม่านเซียง เพคะ”
นั่นคือการพบกันครั้งแรกของพวกเรา ซึ่งนำมาซึ่งการนัดพบเจอกันอีกหลายครั้งหลายคราจนเกิดความสัมพันธ์เกินห้ามใจในครั้งต่อมา
โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งของแคว้นหยางเป่ยที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่โตที่สุดรโหฐานที่สุดเหมาะสำหรับพวกสตรีและบุรุษสูงศักดิ์ใช้เป็นที่นัดหมายพบปะเจอะเจอ เรานัดพบกันในนั้น หลังจากที่ได้นัดเจอกันมาแล้วหลายครั้งหลายคราที่โรงน้ำชานอกเมือง
ภายในห้องพักห้องหนึ่งในโรงเตี๊ยมแห่งนั้นเป็นสถานที่ที่เราสองใช้สำหรับนัดพบกันเพื่อบอกรักกันอย่างซาบซึ้งตราตรึงใจ
ในเมื่อความรักมันกำลังท่วมท้นล้นใจพวกเราจึงเลือกที่จะกระทำอย่างนี้ ใครไหนเลยจะห้ามสิ่งที่เกิดขึ้นในยามนี้ได้แม้แต่ใจของข้าเอง
‘ข้ารักเจ้าเหลือเกิน ม่านเซียง ข้ารักเจ้า’
เสียงกระซิบกระซาบของ หยางจื้อเฉิง ที่กำลังแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์อยู่บนเรือนร่างงดงามของข้าเมื่อข้าได้ตัดสินใจยินยอมยามเมื่อเขาไม่อาจห้ามใจ
’ข้าก็รักท่าน จื้อเฉิง ข้ารักท่าน รักเหลือเกิน’
ข้าตอบกลับไปด้วยความรู้สึกจากใจจริง
‘มีเพียงเจ้าที่ข้ารัก ข้าอยากแต่งงานกับเจ้าเหลือเกิน ม่านเซียง’
เขาบอกกล่าวแก่ข้าว่าอย่างนั้น น้ำเสียงของเขายามเอ่ยคำนั้นช่างนุ่มนวลน่าฟังเหลือเกิน
‘ข้าเองก็เช่นกัน จื้อเฉิง ข้าอยากแต่งงานกับท่าน แค่ท่านที่ข้าจะยอมแต่งงานด้วย’
ข้าตอบกลับไปด้วยใจที่คิดเช่นนั้นจริงๆ
ม่านนีอ่านบันทึกของมารดามาถึงตรงนี้ นางละสายตาออกจากบันทึกเล่มนี้แล้วมองเหม่อไปยังทิศทางอันไกลโพ้นสุดลูกหูลูกตาด้วยสายตาว่างเปล่าเฉกเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ชั่วครู่ต่อมาเสียงระฆังกังวานดังแว่วอยู่ไกลๆ
จากระฆังสีทองอันใหญ่อันหนึ่งดังส่งต่อมาเป็นทอดๆ ให้ระฆังสีทองอันต่อมาได้ส่งเสียงไพเราะไม่แตกต่างให้แก่เมืองหลวงของแคว้นหยางเป่ยแห่งนี้ เช่นนั้นมันจึงดังมาให้ม่านนีที่กำลังนั่งอยู่บนหน้าผาสูงชันได้ยิน เสียงระฆังนั้นดังไปจนถ้วนทั่วทั้งเมือง หยางเป่ยเลยทีเดียว
เสียงระฆังนั้นกำลังบ่งบอกถึงพิธีเฉลิมฉลองที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากการให้กำเนิดโอรสจากสนมคนหนึ่งของฮ่องเต้แคว้นหยางเป่ยแห่งนี้
ฮ่องเต้พระองค์นี้มีพระนามว่า หยางจื้อเฉิง
พระองค์ทรงมีฮองเฮาอยู่เคียงข้างเป็นหงส์คู่มังกรมาเนิ่นนานและมีสนมคนโปรดอีกหลายนางจนเต็มวังหลัง
พระองค์ทรงเป็นบิดาของนางเอง
บิดาของม่านนี
แต่ทว่า พระองค์ไม่ทรงทราบว่ามีธิดาอยู่ตรงนี้อีกหนึ่งคน
ธิดาของพระองค์กำลังนั่งตรงนี้ นางกำลังนั่งอยู่ที่นี่
เป็นเพื่อนอยู่หน้าหลุมศพที่แสนจะเดียวดายของสตรีที่พระองค์ทรงเคยบอกว่ารักนักหนา
ม่านนีนั่งฟังเสียงระฆังแว่วดังอยู่อย่างนั้นพลางก้มหน้าลงอ่านบันทึกของมารดาต่ออย่างเลื่อนลอย