เฉิงอ๋องอี้หยาง ตั้งใจจะอ้อยอิ่งนั่งประทับอยู่หอซูซู สักระยะ หากไม่ใช่เพราะรถม้าที่กำลังแล่นมาตรงมาที่นี่ ทำให้ชายหนุ่มลุกขึ้นสะบัดชายเสื้อกำลังจะเร้นกายออกไป ทว่าสายตาพลันสะดุ้งหยุดที่หญิงสาวชาวบ้านผู้หนึ่ง ที่กำลังยืนจ้องมองรถม้าคันนั้นอยู่
มือที่ประคบกุมกันอยู่เช่นนั้น
สีหน้าท่าทางกัดริมฝีปากเช่นนั้น
นางก็เป็นเช่นนั้น
ในยามที่จิตใจกำลังหวาดหวั่น คราวแรกที่มาจวนอ๋อง นางที่จะกระทำเช่นนี้อยู่บ่อย ๆ
มุมปากของเฉิงอ๋องเกิดรอยยิ้มขึ้นจาง ๆ คล้ายเยาะหยันตัวเอง ใบหน้าดุจหยกแกะสลักฉาบด้วยอารมณ์ซับซ้อนละเอียดแม้กระทั่งองค์รักษ์ผู้ที่อยู่ข้างกายยังไม่อาจจะคาดเดา เพียงมองตามสายตาผู้เป็นนาย
แม้ซูอินจะอยู่ในร่างเด็กสาวชาวบ้าน ใบหน้ารูปร่างสามัญสวมใส่เสื้อผ้าหยาบ ทว่าราศีของกุ้ยเฟยเมื่อชาติที่แล้วเป็นสิ่งที่บดบังสายตาไปได้
จงถังตระหนกภายในใจ
ในเมืองฉางอันยังคงมีสตรีที่โดดเด่นอยู่ไม่น้อย
ซูอินไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังมีคนจ้องมองตนเองอยู่ เมื่อได้มาพบเจอสตรีที่เคยเป็นศัตรูของนางเมื่อชาติที่แล้ว นางจึงกำลังระงับสติตนเองให้สงบ
องค์หญิงต้าอันเล่อ
เมื่อรถม้าจอดนิ่งสนิทสตรีสูงศักดิ์ผู้หนึ่งก็ออกมา นางกำลังปรี่ตรงเข้าไปใน หอซูซู สักพักก็ออกมา ใบหน้างดงามนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด
หรือว่าเมื่อสักครู่ เฉิงอ๋อง ประทับอยู่ที่นี่
ซูอินรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว ขอบตาเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมา นางแหงนหน้ามองขึ้นไปยังชั้นสอง ซึ่งตอนนี้ว่างเปล่ามีเพียงม่านสีขาวที่กำลังปลิวไสว มือของนางกำแน่นขึ้นแล้ว นางดึงใบหน้ากลับแล้วเร่งฝีเท้าออกไปจากที่ตรงนั้น
ท่าทีเช่นนั้นของซูอิน ทำให้จงถังผู้ที่ผ่านประสบการณ์มามาก ไม่อาจจะมองผ่าน เขามีความรู้สึกว่าทั้งเฉิงอ๋องและองค์หญิงต้าอันเล่อ ล้วนเป็นผู้ที่แม่นางผู้นั้นคุ้นเคย จงถังจึงตัดสินใจสืบเรื่องราวของซูอินลับ ๆ
ซูอินหลังจากจัดการซื้อเครื่องเขียนเสร็จก็เร่งฝีเท้ากลับ เรื่องราวในชาติที่แล้วไม่ต่างอะไรกับหมอกควัน จะไขว่คว้าอย่างไรก็ไม่อาจจะหวนคืน จะให้นางเดินเข้าไปบอกเฉิงอ๋องว่าตนคือ หลี่ซูอิน ย่อมเป็นไม่ได้ ไม่เพียงแต่ไม่ได้ประโยชน์ ชีวิตก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้
ตะวันเริ่มขึ้นมาอยู่ตรงหัว ซูอินจัดเตรียมอุปกรณ์ออกมานั่งวาดภาพอยู่กลางเรือน ภาพวาดทิวทัศน์เสริมสิริมงคล ย่อมมีผู้สนใจขายได้ราคาหลายอีแปะ หลังจากตวัดพู่กันไปไม่นานภาพวาดก็วางเรียงกันหลายสิบภาพอยู่กลางเรือน นางพยายามวาดให้ฝีมือไม่โดดเด่นและสามารถขายได้ แม้อยากจะแสดงฝีมือเต็มที่แต่ไม่อาจจะทำเช่นนั้นได้
เมื่อเริ่มเย็น ทุกคนก็กลับมา
สวีซื่อเห็นบุตรสาวคนเล็กกำลังวาดภาพก็เบาฝีเท้าลงกลัวจะเป็นการรบกวน ต่างจากซูอินเมื่อมองเห็นมารดาก็วางพู่กันลงแล้วเดินไปหยิบรับถาดขนม ก่อนจะเดินไปตักน้ำมาให้มารดาดื่ม
“ท่านแม่ น้ำเจ้าค่ะ”
เมื่อก่อนแม้ซูอินจะใช่เด็กสาวแข็งกระด่าง ทว่าจะมีท่าทางอ่อนหวานอ่อนโยนก็เมื่อนางมีสิ่งภายในใจ สวีซื่อจึงถอนใจแล้วเอ่ยขึ้น
“มีงานเลี้ยงอีกใช่หรือไม่ ไม่ใช่ว่าแม่ไม่อยากให้เจ้า แต่ว่าตอนนี้พี่ชาย พี่สาวเจ้ากำลังจะออกเรือน เงินทองก็ต้องเตรียมไว้ให้มาก แม่จะให้เจ้าทั้งหมดอีกไม่ได้ ซูเอ๋อร์ ครั้งนี้ไม่ไปได้หรือไม่”
ซูอินลอบตกใจ
นางไม่คิดว่ามารดาจะมีความคิดเช่นนั้น จึงเอ่ยปากชี้แจง
“ท่านแม่มีงานเลี้ยงจริง ทว่าลูกเองก็เตรียมการไว้แล้ว ภาพวาดพวกนี้ ข้าจะนำไปขายไม่รบกวนท่านอีกแล้ว”
สวีซื่อชำเลืองมองภาพวาด นางรู้ว่าบุตรสาวมีฝีมือวาดภาพ เมื่อก่อนเพื่อฝึกฝีมือ หมดกระดาษและสีไปไม่น้อย ทว่าที่ทำไปก็เพื่อให้ตัวเองได้ไปเฉิดฉายแสดงฝีมือในงานเลี้ยงของสำนักศึกษา ไม่เคยจะมีความคิดความอ่านจุนเจือครอบครัว
ทว่าใครบ้างไม่เติบใหญ่มีความคิดอ่านมากขึ้น
“ซูเอ๋อร์ รู้ความแล้ว”
เสียงมารดาจึงอ่อนโยนลงพลางรู้สึกผิดที่กล่าวร้ายให้บุตรสาว เหล่าพี่ชายพี่สาว เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าที่ตึงขึ้นเมื่อสักครู่ก็ผ่อนคลายลง
ตะวันคล้อยต่ำลงจนเกือบไร้แสงสว่าง จางอั่นจึงได้กลับถึงบ้าน เมื่อมองเห็นอาหารมื้อเย็นก็สีหน้าตึงขึ้น
“ท่านพี่ นี่เป็นอาหารฉลองที่ลูกสามขายภาพได้ ท่านล้างมือแล้วก็นั่งลงเถอะ”
เมื่อเอ่ยชื่อ บุตรสาวคนเล็ก สีหน้าทมึงของจางอั่นก็ดึงกลับทันที สำหรับเขาไม่ว่าบุตรสาวคนนี้จะทำอะไรล้วนดี
“ซูเอ๋อร์ รู้ความยิ่งนัก”
เขารีบนั่งลงหยิบตะเกียบทานข้าวด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม ครอบครัวชาวบ้านไม่มีพิถีพิถัน เรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารก็ไม่เคร่งครัด พวกเขาเอ่ยพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่าง ๆ ซูอินอยากให้ครอบครัวเบิกบานจึงหยิบเงินออกมา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ วันนี้ข้าขายภาพได้แม้จะเป็นเงินไม่มาก ทว่าต่อไปนี้ข้าจะไม่เกียจคร้านแล้ว”
คนในครอบครัวจางมองเงินหลายร้อยอิแปะ อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าตกตะลึง วันนี้พวกเขาขายขนมได้เงินกำไรเพียง 50 อิแปะเท่านั้น แต่น้องสาวนั่งวาดภาพสิบกว่าภาพกลับหาเงินได้มากกว่าพวกเขาทั้ง 3 คนอีก
จางอั่นหยิบเงินขึ้นมาด้วยความรู้สึกปลาบปลื้ม ความรักความเอ็นดูที่มีให้บุตรสาวผู้นี้ไม่เสียทิ้งจริง ๆ เมื่อมองเงินเสร็จเขาก็วางมันลงไปในมือบุตรสาว
“เงินจำนวนนี้ในเมื่อเจ้าหามาได้ ก็เก็บไว้ใช้ เจ้ายังต้องเตรียมตัวหลายอย่าง การคบหาสมาคมล้วนต้องมีค่าใช้จ่าย”
จางเจินหันไปสบตากับจางซุน ลงสิ่งที่บิดาพูดพวกเขาเองก็คาดการณ์ไว้แล้ว
จางซูอินยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วเอ่ยขึ้น
“บิดา เงินที่ต้องใช้ลูกได้เตรียมไว้แล้ว หรือท่านมองข้าเป็นคนอื่น จึงไม่อยากจะรับเงินจำนวนนี้” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความน้อยใจของบุตรสาว จางอั่นจะทนฟังได้อย่างไร จึงรีบเอ่ย
“พ่อจะคิดอย่างนั้นได้อย่างไร เอาล่ะ เอาล่ะ ในเมื่อลูกมีความคิดกตัญญูย่อมเป็นสิ่งที่ดี เงินจำนวนนี้ให้แม่เจ้าเก็บไว้ให้”
นางจางได้ยินเช่นนั้นก็หยิบเงินขึ้นมาใส่กระเป๋าทันที หากมีเงินครอบครัวขัดสนน้อยลง การแต่งงานของบุตรชายและบุตรสาวย่อมสามารถหาคู่ครองที่ดีได้