ลับหลังร่างสตรีชรา หลินหลินก็หันหน้าไปทางหญิงรับใช้สองคน สองคนข้างกายนี้ก็เป็นคนที่ดีต่อเจ้าของร่างนี้ไม่แปรเปลี่ยน ไม่ว่าจางชิงหลินประสบเคราะห์กรรมอะไร พวกนางก็ไม่ทอดทิ้ง แถมยังเอาชีวิตเข้าแลกขอร้องให้ปล่อยนายของพวกนางไปในตอนที่ฮ่องเต้โฉดสั่งให้จางชิงหลินคลุมผ้าผืนเดียวไปยืนตากหิมะ นับว่าเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์
ในสถานการณ์ที่น้ำใจเบาบางเช่นกระดาษ แต่ก็ยังคงมีคนที่มีคุณธรรม น้ำมิตรเหลืออยู่ จิตใจที่ห่อเหี่ยวไม่รู้สาเหตุ แม้ไม่ใช่เจ้าของร่างพลันชุ่มชื้นขึ้น
“ลู่เจียว จิวฮุ่ย ท่านยายของข้าชื่อแซ่อะไร”
คำถามของผู้เป็นนายทำให้สองบ่าวมองหน้ากัน แล้วลู่เจียวก็เป็นฝ่ายพูด “คุณหนูคงได้รับบาดเจ็บและเกิดความกระทบกระเทือนจนความจำเสื่อมจึงจำไม่ได้ใช่ไหมเจ้าคะ”
หลินหลินรีบรับคำ “ใช่ ข้าจำอะไรไม่ค่อยได้ ต่อไปอาจต้องพึ่งพวกเจ้า อย่าเพิ่งรำคาญข้าก็แล้วกัน”
“พวกบ่าวไม่มีทางรำคาญเจ้าค่ะ ท่านยายของท่าน แซ่หลวน ชื่อซูฮวาเจ้าค่ะ จวนนี้เป็นของท่านตาคุณหนู ท่านตาเป็นขุนนางขั้นสี่ในสำนักบัณฑิตแต่เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ที่จวนนี้จึงมีแต่ท่านยายพักอยู่ อ้อ ยังมีท่านลุงกับท่านป้าอยู่ด้วยเจ้าค่ะ ท่านลุงของท่านเป็นรองแม่ทัพพายัพเจ้าค่ะ”
หลินหลินพยักหน้า ฟังลู่เจียวกับจิวฮุ่ยสลับกันบอกเล่าเรื่องในครอบครัวฝ่ายมารดาให้ฟัง จนนางเข้าใจทะลุปรุโปร่ง พอฟังทุกอย่างจบนางก็เปิดปากหาว สองบ่าวเห็นดังนั้นก็พากันขอตัวออกไปเพื่อให้นางพักผ่อน หลินหลินเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว จึงลุกขึ้นจากเตียงที่แกล้งหาวนอนเพื่อให้สองบ่าวออกไป หลินหลินลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างขบคิดเรื่องราวต่างๆอยู่เงียบๆ สายลมหิมะกระทบใบหน้าจนหนาวเหน็บ ต่อไปนี้เธอต้องอยู่ในยุคชิงแห่งนี้ ต้องอยู่ไปอีกนานแค่ไหนกัน หลินหลินหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย
“เออ แล้วบทละ กำหนดเดตไลน์ใกล้เข้ามา ยุคราชวงศ์ชิงยังไม่มีไวไฟ แล้วฉันจะทำงานยังไง ไม่มีสัญญาณเน็ตของค่ายโทรศัพท์ไหนส่งสัญญาณข้ามภพได้ซะด้วย ซวยเลยโดนเล่นงานแน่” เรื่องนี้เรื่องใหญ่มาก พลาดเรื่องอื่นยังพอทน แต่พลาดส่งบทก็เหมือนถูกปลดกลางอากาศ นักเขียนบทสาวกลุ้มจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เช้าวันต่อมา หลินหลินเดินมานั่งกินอาหารเช้ากับครอบครัวสกุลหลวน ประมุขชราของบ้านเห็นหลานรักออกมากินข้าวได้ก็ยิ้มกว้างตรงข้ามกับหลินหลินที่เอาแต่ครุ่นคิดทั้งคืนจนนอนไม่หลับเช้านี้จึงอยู่ในสภาพอิดโรย
“ชิงหลินเจ้าหายแล้วหรือถึงได้ออกมา”
เพราะหลายวันที่ผ่านมา สตรีชราให้บ่าวนำอาหารไปให้หลานสาวในห้อง แต่วันนี้หลินหลินอยากออกมาพบทุกคนจึงบอกบ่าวว่าจะไม่กินอาหารในห้องอีก
หลินหลินค้อมตัวตอบด้วยความนอบน้อม “ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ อยากออกมากินอาหารกับท่านยาย แล้วก็อยากคารวะท่านลุงกับท่านป้าด้วย ข้ามาอยู่ที่จวนนานแล้วแต่ยังไม่ได้คารวะท่านลุงท่านป้าเลย” หลินหลินบอกแล้วกวาดตามองคนที่อยู่ตรงโต๊ะอาหารทุกคน
นางมองเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำ ผิวสีทองแดง ที่จอนผมมีผมสีขาวแซม มองเหมือนคนที่ผ่านการลำบากจากการสู้รบมามาก ข้างๆกันมีสตรีใบหน้าขาวผ่องด้วยความเมตตานั่งอยู่ เมื่อกวาดมองไปอีกก็พบเห็นบุรุษร่างกำยำ ใบหน้าหล่อเหลาด้วยวัยหนุ่ม มองดูน่าจะราวๆยี่สิบกว่าๆกำลังยิ้มมาให้ หลินหลินเผลอยิ้มตาหวาน
‘แอบฟินเบาๆ’
‘หล่ออ่ะ จะว่าไปหล่อเหมือนนักแสดงนำเรื่องจูล่งที่กำลังออกฉาย’
“พวกเราครอบครัวเดียวกันไยต้องรีบมาคารวะ อีกทั้งเจ้ายังป่วยอยู่ เพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายมา ลุงกับป้าเข้าใจ ล้วนไม่มีใครถือสาเจ้าหรอก” หลวนหย่งสือบอก
“ทำให้ท่านลุงกับท่านป้า รวมถึงทุกคนต้องเป็นห่วงแล้ว” หลินหลินค้อมกายบอก ใบหน้าก้มต่ำ ทำให้ทุกคนในสกุลหลวนไม่สบายใจ เพราะเป็นห่วง
หลินหลินซาบซึ้งน้ำใจของทุกคนที่มีต่อเจ้าของร่าง แล้วต้องเอี้ยวหน้าน้อยๆไปมองเมื่อมีมือบอบบางของสตรีมาประคองนางให้ไปนั่งร่วมโต๊ะ นางมองดูก็เห็นเป็นภรรยาของหย่งสือนั่นเอง
“เจ้าอย่าได้คิดมาก นั่งลงกินข้าวกันเถอะ ไม่ต้องคิดมากว่าเจ้ามาที่นี่แล้วจะทำให้พวกเราลำบาก” กุ้ยฟางหรงบอกพร้อมรอยยิ้ม นางไม่มีบุตรสาวพอเห็นจางชิงหลินก็รู้สึกเมตตา เมื่อตอนที่หลานสาวมีวาสนาสูงส่งเป็นฮองเฮา นางก็ไม่กล้าตีสนิทด้วยแต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว
ฟางหรงถอนใจเฮือก มองวาสนาแสนอาภัพของหลานสาวด้วยความเห็นใจจางชิงหลินเป็นคนมีน้ำใจไม่เคยลืมตระกูลเดิม ตอนที่เป็นฮองเฮาก็ส่งมอบของดีๆมาให้ตระกูลฝ่ายมารดาไม่ขาด
“ป้าจะให้บ่าวนำน้ำแกงไก่ที่ป้าตุ๋นไว้มาให้เจ้าดื่ม”
‘ทำไมทั้งชีวิตจริงและในละคร ชอบน้ำแกงไก่ตุ๋นกันจัง ที่จริงอยากกินรังนกตุ๋นแต่ไม่กล้าบอก’
“ขอบคุณท่านป้ามากเจ้าค่ะ ข้ากินอะไรก็ได้” หลินหลินตอบ
“เจ้าหายดีเมื่อไรพี่ชายจะพาเจ้าไปเดินชมดอกท้อ ตอนนี้ดอกท้อกำลังผลิดอกบานงดงามคงทำให้ใจเจ้าแช่มชื่นขึ้นบ้าง”
หลินหลินมองไปทางคนพูดแล้วยิ้มอย่างสุภาพ “ได้ยินว่าพี่หย่งเล่อไปเป็นทหารประจำอยู่ชายแดนความเป็นอยู่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” นางได้ยินพวกสาวใช้พูดกัน หลวนหย่งเล่อเป็นบุตรของลูกพี่ลูกน้องของกุ้ยฟางหรง หย่งสือกับกุ้ยฟางหรงไม่มีบุตรด้วยกันจึงรับหย่งเล่อมาเป็นบุตรบุญธรรม
“พี่สบายดี ชายชาติทหารย่อมไม่กลัวความลำบาก ขอบใจที่เป็นห่วงพี่”
หย่งเล่อมองนานแล้วเผลอสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นสายตาของท่านพ่อมองเขาอยู่
หลินหลินอมยิ้ม มองพี่ชายคนนี้ด้วยสายตาชื่นชม ถ้าเปรียบเทียบในยุค2018 บุรุษแบบหย่งเล่อเรียกว่าสุภาพบุรุษ หลินหลินไม่กล้าเพ่งมองนานเพราะกลัวจะเสียมารยาทถึงอยากจะแอบชมความหล่อต่ออีกหน่อยก็ตาม แต่สตรีในยุคนี้ต้องสงวนท่าที จึงหลุบตาลงต่ำ อย่างไรเสียเจ้าของร่างนี้ก็เป็นอดีตฮองเฮา
“เอาล่ะ กินอาหารกันเถอะ ก่อนที่จะเย็นชืดเสียหมด” หลวนซูฮวาพูดขึ้น นางดีใจที่ลูกหลานรักใคร่ปรองดองกัน แม้สกุลหลวนจะไม่ใช่สกุลใหญ่ แต่ก็ปึกแผ่นมั่นคงด้วยความเอื้ออาทรต่อกัน
หลินหลินกินอาหารมื้อนั้นด้วยความอบอุ่น นางกินได้หลายคำเพราะความหิวที่แล่นจู่โจม กินเสร็จลู่เจียวกับจิวฮุ่ยก็ประคองนางออกไปเดินรอบจวน
หลินหลินนั่งพักที่ใต้ต้นท้อมีเสื้อคลุมกันหนาวคลุมร่างอย่างดี นางขบคิดถึงสถานการณ์ของนาง ทุกคนในจวนดีต่อนาง แต่ถ้าหากนางยังอยู่ที่จวนแห่งนี้จะทำให้ทุกคนลำบาก หลวนหย่งสือและหลวนหย่งเล่อมีหน้าที่ทางการทหาร หากว่าคนในราชสำนักสืบรู้ถึงความเกี่ยวโยงกันก็จะทำให้ทั้งหย่งเล่อและหย่งสือลำบาก
หากว่านางต้องการหลีกเลี่ยงเคราะห์กรรมนี้ เพื่อไม่ให้ตัวนางเองและคนในครอบครัวสกุลหลวนลำบาก ยิ่งสืบเรื่องราวจากสองสาวใช้ทุกอย่างที่หลินหลินเคยฝันล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจริง