บทที่ 01
นรินดาพาหัวจะปวด [1]
“โอ้โห สภาพ” พิมพ์พัชรเบิกตาโพลงเมื่อเห็นสภาพเพื่อนรักที่สวมชุดนอนแขนยาวขายาวเดินตรงมาขึ้นรถเธอ ไม่แต่งหน้าไม่ว่าแต่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงจนแทบจำไม่ได้
ปกติแล้วหากไม่แต่งหน้าแต่งตัวพร้อมจะพบปะผู้คน คุณหนู นรินดาไม่มีทางก้าวเท้าออกจากห้องแน่ๆ พิมพ์พัชรคิดว่ามันจะต้องมีอะไรผิดพลาดตรงไหนสักอย่าง
“ออกรถเลย” หันมาสั่งพลางยกมือขึ้นจัดทรงผมที่ยุ่งอยู่แล้วให้ดูยุ่งขึ้นอีก
“เกิดอะไรขึ้นกับแกวะ ผีเข้าเหรอ แล้วนี่แกไปเอาชุดนอนใครมาใส่ ในตู้เสื้อผ้าแกมีเสื้อมีแขนตั้งแต่เมื่อไร” พิมพ์พัชรถามด้วยความแปลกใจ
หากตัดยูนิฟอร์มทำงานออกไป เสื้อผ้าที่นรินดาเลือกใส่ล้วนแล้วแต่เป็นแบรนด์เนมที่มีเนื้อผ้าน้อยนิดแต่ราคาแพงกระเป๋าฉีกทั้งนั้น
“ขอซื้อต่อน้ององุ่นมาน่ะสิ”
องุ่นคือน้องนักศึกษาที่พักอาศัยอยู่ห้องติดกันกับนรินดาและถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมาตลอด หน้าตาจัดว่าจิ้มลิ้ม ลุคดูคุณหนูไม่แตกต่างจากนรินดามากนัก ทว่ารสนิยมกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ขอซื้อต่อเนี่ยนะ”
“เออ จำเป็นน่ะ”
“คนอย่างคุณหนูนรินดามีความจำเป็นอะไรถึงได้ไปขอซื้อชุดนอนต่อจากคนอื่น แกสะกดคำว่าของมือสองเป็นตั้งแต่เมื่อไร”
ได้ยินแล้วนรินดาถึงกับถอนใจ กลอกตาไปมาแล้วค่อยๆ ดึงแขนเสื้อขึ้นให้พิมพ์พัชรดูรอยแผลที่เธอถูกเศษกระจกกระเด็นใส่
“อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนแกไปทะเลาะกับแมวจรที่บ้านพ่อแกมา”
บาดแผลเล็กๆ ประปรายเต็มแขนราวกับถูกแมวข่วน แต่ พิมพ์พัชรรู้ดีว่าไม่ใช่ เพราะคนอย่างนรินดาไม่มีทางทะเลาะกับสัตว์เล็กๆ หรอก
มองหน้ากันไปมองหน้ากันมาแล้วต่างฝ่ายต่างถอนหายใจ พิมพ์พัชรจำต้องเลิกแกล้งโง่เพราะดูจากสีหน้า เสื้อผ้าและทรงผมของเพื่อนแล้ว เหตุการณ์ดูไม่น่าเป็นปกติ
“ไหนแกเล่ามาซิว่าเมื่อคืนแกทำอะไรลงไปบ้าง”
“ทุบรถไปแปดคัน”
“แปดคัน!”
“เออ ขี้เกียจกดลิฟต์เอาคันข้างบนลงมา มันช้า ก็เลยได้แค่แปด”
นรินดาบอกอย่างไม่ใส่ใจ นึกแล้วรู้สึกเสียดายขึ้นมาเพราะที่ชั้นสองน่าจะยังมีอีกสักแปดถึงเก้าคันให้เธอทุบเล่น
ถอนหายใจก่อนจะดึงแขนเสื้อกลับลงมาปิดรอยแผลเอาไว้ตามเดิม นี่ถ้าไม่ติดว่าไม่อยากให้คนที่บ้านใหญ่เห็นแล้วเป็นห่วง เธอคงไม่เลือกแก้ปัญหาด้วยวิธีงี่เง่าแบบนี้แน่ๆ
“แกนี่มันสุดตีนจริงๆ แล้วนี่เรียกให้มารับไปส่งบ้านใหญ่แต่เช้าขนาดนี้ แสดงว่าคุณตารู้เรื่องแล้วใช่ไหม”
“แหงสิ งานใหญ่ขนาดนั้นคงมีพวกปากหอยปากปูโทรรายงานคุณตาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว นี่ยัยพิมพ์”
“อะไร แกเรียกแบบนี้ทีไร เงาหัวฉันจะหายทุกทีเลยนะ”
“ไม่หายหรอกน่า เรื่องนี้ฉันเอาตัวรอดได้ ไม่ทำให้แกเดือดร้อนหรอก”
“แสดงว่ายังมีเรื่องอื่นอีกเหรอ แกเหงามากหรือไงถึงได้หาเรื่องให้ตัวเองปวดหัวไม่เว้นวันเนี่ย” พิมพ์พัชรบ่นอุบ แต่เคยทิ้งเพื่อนลงเสียที่ไหน “อะไร เล่ามาสิ”
“เมื่อวานฉันเจอคุณภพในงาน”
“คุณภพไหน”
“ข้ามภพ เศรษฐนิกุล”
ชื่อและนามสกุลของเขาคือสิ่งที่นรินดาจดจำขึ้นใจ ไม่มีทางลืม
“คู่หมั้นแกน่ะเหรอ”
นั่นแหละเหตุผลที่เธอต้องจดจำเขา
“เขากลับมาจากอเมริกาตั้งแต่เมื่อไร”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง” นรินดาพูดแล้วเหมือนจะรู้สึกโมโหขึ้นมาอีกรอบ
ในขณะที่พิมพ์พัชรมองหน้าเพื่อนแล้วได้แต่ถอนหายใจ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อนรินดาเป็นฝ่ายอยากหมั้นกับเขาเอง
“บางทีเหตุผลที่คุณตาโทรตามฉันไปวันนี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องงานเลี้ยงเมื่อคืนก็ได้”
นรินดานอนคิดเรื่องนี้มาทั้งคืนแล้ว เพราะสำหรับเธอ การทุบรถแปดคันไม่มีความหมายเท่ากับใบหน้าของคู่หมั้นที่ไม่เคยให้เกียรติเธอในฐานะคู่หมั้นเลยสักครั้ง แม้แต่การกลับมาของเขาเธอก็ไม่รู้ แต่เขากลับไปปรากฏตัวในงานเลี้ยงของคนที่เขาเองก็รู้ว่าเธอแสนจะเกลียด
“ถอนตัวตอนนี้ยังทันนะยัยนริน” พิมพ์พัชรหว่านล้อมด้วยความหวังดี เพราะเธอรู้ว่าเหตุผลของการหมั้นหมายระหว่างนรินดากับข้ามภพไม่ใช่เพราะความรัก แต่เป็นเพราะความเกลียดต่างหาก
“นอกจากคำว่าของมือสอง ก็คำว่าถอยนี่แหละที่คนอย่างคุณหนูนรินดาสะกดไม่เป็น” นรินดายืนกรานอย่างหนักแน่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือว่าจะต้องแลกด้วยอะไร เธอก็จะไม่ยอมให้การหมั้นของเธอกับเขาต้องสูญเปล่า
หากเหตุผลที่คุณตาเรียกตัวเธอไปที่บ้านใหญ่วันนี้ไม่ใช่เรื่องที่เธอก่อเอาไว้เมื่อคืน ซึ่งคงจะไม่ใช่แน่ๆ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาไม่ว่าเธอจะก่อเรื่องอะไร คุณตาก็เคยไม่เป็นเดือดเป็นร้อนถึงกับโทรเรียกเธอไปพบตั้งแต่เช้าตรู่ เธอจึงคาดเดาว่าเรื่องที่ทำให้คุณตาของเธอร้อนใจในวันนี้น่าจะมีอยู่เพียงเรื่องเดียวนั่นก็คือเรื่องที่ข้ามภพกลับมาแล้วเพราะนั่นหมายความว่าเธอกำลังจะต้องแต่งงานกับเขา
“นี่ยัยนริน”
“ขอบใจที่มาส่ง รอรับโทรศัพท์ด้วยล่ะ เผื่อฉันโดนคุณตาตัดออกจากกองมรดก แกเป็นที่พึ่งสุดท้ายของฉันเลยนะยัยพิมพ์”
“เฮ้อ เฮียคุณเขาคงไม่ปล่อยให้น้องสาวของเขาไปตกระกำ-ลำบากกับฉันหรอกมั้ง” พิมพ์พัชรแกล้งว่าเพราะหางตาเหลือบไปเห็น ‘เพียงคุณ’ ลูกพี่ลูกน้องของนรินดาเดินมาพอดี
“ผู้พิทักษ์แกมาโน่นแล้ว ฉันล่ะสงสารคุณตาจริงๆ มีหลานอยู่สองคนก็รวมหัวกันก่อเรื่องไม่เว้นวัน”
“ไว้รอให้แกยอมมาเป็นหลานสะใภ้คุณตาฉันเมื่อไร ค่อยมาพูดว่าคุณตาฉันน่าสงสารก็แล้วกัน”
“ฝันไปเถอะ ฉันอยากมีผัว ไม่ได้อยากมีพ่อเพิ่ม ไปๆ แกรีบๆ ลงไปเลย ชิ่ว!” พิมพ์พัชรสะบัดมือไล่
นรินดาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะรีบลงจากรถ ปิดประตูรถได้ พิมพ์พัชรก็ขับรถออกไปทันทีเพราะตั้งใจจะหลบหน้าเพียงคุณโดยเฉพาะ
“จะรีบไปไหนกัน”
“มันไม่ได้แต่งหน้าน่ะเฮีย” นรินดาแก้ตัวแทน
เพียงคุณมองตามท้ายรถของพิมพ์พัชรออกไปแล้วได้แต่ส่ายหัว ไม่เข้าใจนักหรอกว่าทำไมอีกฝ่ายถึงให้ความสำคัญกับการแต่งหน้ามากกว่ามารยาทในการพบเจอกัน
“คุณตารออยู่ใช่ไหมคะ”
“ยังต้องถามอีกเหรอ แล้วนี่ทำไมมาทั้งชุดนอน” เพียงคุณถามเสียงเข้ม
“รีบค่ะ กลัวมาเตี๊ยมกับเฮียไม่ทัน”
“เหอะ! มาตงมาเตี๊ยมอะไร มาตีสักเพียะนี่ เล่นใหญ่เกินเบอร์ไม่เข้าเรื่อง รู้ไหมว่าแม่เราถือไม้เรียวรออยู่ในห้องรับรองแล้ว”
“แม่อยู่ด้วยเหรอคะ” นรินดาทำตาโต เพราะปกติแล้วไม่ว่าเธอจะก่อเรื่องอะไร คุณตาจะเป็นด่านหน้าคอยปกป้องเธอเสมอ
“เฮียถึงได้บอกว่าเราเล่นใหญ่เกินเบอร์ไงล่ะ ไปทำอีท่าไหนทางนั้นเขาถึงได้ต่อสายตรงถึงแม่เรา”
“ยัย...”
“หยุดเลย ไม่ต้องไปโทษเขา”
โดนเพียงคุณดุอีกรอบ นรินดาได้แต่ยืนทำหน้างอ
เพียงคุณมองแล้วได้แต่ถอนหายใจ ถึงเขาจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเธอ แต่ก็ไม่ได้พอใจนักที่อีกฝ่ายกล้าโทรมารบกวน นรินทิพย์’ กลางดึก
“เฮียจะช่วยนรินใช่ไหมคะ”
“ก่อเรื่องเองก็รับผิดชอบเองสิ”
“โธ่เฮีย นรินเป็นน้องเฮียนะคะ”
“เฮียถึงได้มายืนอยู่นี่ไง ถ้ายื่นใบลาออกจากการเป็นพี่เราได้ เฮียทำไปตั้งนานแล้วไม่รู้เหรอ” เพียงคุณเหลือบมองนรินดาด้วยหางตา แต่คนถูกตำหนิกลับยิ้มกว้างทั้งยังกอดเอวเขาเอาไว้แน่น ถือว่าตัวเองเป็นน้องสาวที่เขารักและคอยถือหาง ปากบ่นไม่หยุดแต่เคยขัดใจเธอเสียที่ไหน
บรื้นนน~
ไม่ทันจะได้พากันเข้าบ้านก็มีรถยนต์อีกคันขับเข้ามา นรินดาถอนหายใจเพราะจำได้ว่าเป็นรถของคุณลุงบดินทร์
‘บดินทร์’ หนุ่มใหญ่ที่ตามจีบนรินทิพย์ แม่ของนรินดามาตั้งแต่สมัยที่แม่ของนรินดายังสาวทั้งสองครอบครัวรู้จักมักคุ้นกันมาตั้งแต่รุ่นคุณตา สนิทสนมและไปมาหาสู่กันอยู่ตลอด
ทว่านรินทิพย์กลับปฏิเสธบดินทร์ครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะไป ตกลงแต่งงานกับวิทวัส ถึงอย่างนั้นบดินทร์ก็ยังยืนหนึ่งในตำแหน่งเพื่อนที่แสนดีของนรินทิพย์มาตลอด จนถึงตอนนี้ก็ยังมีแต่ความหวังดีกับนรินทิพย์อยู่เสมอ รวมถึงเอ็นดูนรินดามากๆ
ส่วนเหตุผลที่ทำให้นรินดาถอนหายใจไม่ใช่เพราะรังเกียจหรือมีอคติกับบดินทร์ ตรงกันข้าม ลึกๆ แล้วเธอเข้าใจในความหวังดีของเขาที่มีต่อแม่ของเธอ หนำซ้ำยังแอบเชียร์ให้แม่ของเธอใจอ่อนเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่แม่ของเธอกลับยังกอดใบทะเบียนสมรสเอาไว้แน่น แม้จะแยกกันอยู่กับวิทวัสมาร่วมยี่สิบปีแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเซ็นใบหย่าโดยเด็ดขาด
ส่วนเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เธอถอนหายใจก็เพราะรู้ว่าวันนี้บดินทร์คงไม่ได้แวะมาที่นี่เพียงลำพังอย่างทุกที แต่มาพร้อมกับข้ามภพ หลานชายตัวตึงที่เพิ่งกลับมาจากอเมริกา ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่คิดเอาไว้ เพราะข้ามภพก้าวเท้าลงมาจากฝั่งคนขับจริงๆ
“สวัสดีค่ะคุณลุงบดินทร์” นรินดายกมือไหว้พร้อมกับทักทายเขาอย่างคนคุ้นเคย
“งานใหญ่เลยใช่ไหมตัวแสบ”
“ถึงมือนรินดาแล้ว ไม่ใหญ่ได้เหรอคะคุณลุง นรินรีบไปก่อนนะคะ เฮียบอกว่าทางนั้นโทรมาฟ้องแม่แล้ว ถ้านรินโดนแม่ตี คุณลุงต้องช่วย
นรินนะคะ” นรินดายกมือขึ้นป้องปากกระซิบกระซาบก่อนจะรีบเดินเข้าไปในบ้านทันที ไม่ทักไม่ทายข้ามภพที่เดินตามหลังบดินทร์มาติดๆ สักคำ ไม่มองเขาแม้แต่หางตา