‘เป็นเด็กดีของฉันล่ะ’
“ขอบคุณมากนะคะมี้ เย็นนี้พบกันค่ะ”
“ญาติของคนไข้ เชิญคุยกับหมอหน่อยครับ” ติณณ์กดปิดโทรศัพท์ในทันใดเมื่อเธอได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคยก่อนที่เธอจะลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง
เธอเหม่อมองไปที่ร่างของหญิงสาวบนเตียงอีกครั้งก่อนจะพาร่างของตัวเองเดินออกมาที่หน้าห้องตามที่หมอได้เรียกตัวของเธอออกมาก่อนหน้า
ซึ่งทุกครั้งเขาก็มักจะมีสีหน้าไม่ดีเมื่อมีข่าวคราวถึงอาการของคนที่นอนหลับใหลเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่บนเตียงนอน และครั้งนี้มันก็เป็นดั่งเช่นทุกครั้งที่เขาแสดงสีหน้าท่าทางเช่นนี้อีก...
“ติณณ์ก็รู้ใช่ไหมครับ เรื่องของคุณองศา...” เขาเอ่ยถามเธอเสียงแผ่วด้วยน้ำเสียงหนักใจและเธอไม่กล้าเลยที่จะเงยหน้าขึ้นสบมองเขาจนเต็มตา “หมอไม่ได้อยากตัดกำลังใจของติณณ์นะครับที่พยายามจะหาทางรักษาเธอ แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ต่อไป...หมอว่ามันเป็นการทรมานเธออยู่ฝ่ายเดียวนะครับ”
น้ำตาของติณณ์รินไหลลงมาเป็นสายเมื่อได้ยินเรื่องราวที่แสนน่าเศร้าใจที่เธอก็มักจะได้ยินอยู่ทุกครั้งเวลามาเยี่ยมเยียนองศา
แน่นอนว่าเรื่องนั้นเธอรู้ดี แต่เธอไม่สามารถตัดใจจากองศาได้ เธอไม่อยากปล่อยองศาไป และเธอ...เป็นคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่งที่น่ารังเกียจที่สุดในโลก
“เอาคำพูดของหมอไปคิดดูอีกครั้งนะครับ หมอไม่อยากให้ติณณ์ต้องเสียทั้งเงินและเสียทั้งเวลา” เขาเอื้อมมือมาตบบ่าของเธออีกครั้งอย่างให้กำลังใจ “และหมอก็รู้ว่าติณณ์ไม่ได้อยากทำในสิ่งที่กำลังทำอยู่เลย...”
เจนนี่ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้สำนักงานตัวใหญ่ในห้องทำงานของตัวเองหลังจากที่เธอเดินทางมาถึงที่นี่เมื่อไม่กี่นาทีก่อน จะว่าไปแล้วเจ้าเด็กนั่นก็หายไปเลยหลังจากที่เธอโอนเงินให้แล้วเสร็จสรรพ โดยที่เจ้าตัวบอกว่าจะไปเรียนและตอนนี้ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ว่างตอบเพราะไปเรียนอยู่ก็เป็นได้
เมื่อคืนเธอไม่น่าหมดแรงก่อนเลย จริง ๆ แล้วเธอยังไม่เพียงพอต่อสัมผัสด้วยซ้ำ แต่เพราะว่าเธอเหนื่อยเกินไปด้วยอายุอานามที่ไม่ใช่เด็ก ๆ เหมือนแต่ก่อนแล้ว
คิด ๆ ไปแล้วก็น่าหงุดหงิดกับร่างกายของตัวเองจริง ๆ ที่ถึงแม้ว่าเธอจะออกกำลังกายและทานอาหารครบห้าหมู่อย่างสม่ำเสมอแต่ก็ไม่อาจจะลบความจริงได้ว่าเธอกำลังแก่ตัวลงไม่เหมือนก่อนอีกต่อไป
เธออายุห่างกับเด็กนั่น 13 ปีเลยทีเดียวเชียวนะ !
ก๊อก ๆ
“บอสคะ อีกครึ่งชั่วโมงมีประชุมกับบอร์ดบริหารนะคะ”
“อืม...จัดเตรียมเอกสารไว้ให้พร้อมเลย” เธอตอบรับเลขาสาวก่อนจะลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงและไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าต่างกระจกในห้องทำงานของตน
ติณณ์เป็นเด็กคนแรกที่แววตาของเขาดูมีความมุ่งมั่นเหมือนกับเสือร้าย เขาดูมีแนวทางและดูเป็นเด็กฉลาดที่ไม่ยอมไขว้เขวกับสิ่งเร้ารอบ ๆ กาย
และนั่นมันเป็นสิ่งหนึ่งในตัวของเขาที่เธอกำลังรู้สึกกลัว เธอกลัวว่าเธอจะควบคุมเขาไม่ได้ เพราะเขาดูไม่เหมือนใครคนอื่น ๆ ที่ผ่านเข้ามาเพื่อหาความสนุกสนานหรือว่าเงินเลย เหมือนเค้ามีเป้าหมายแล้วว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่และแน่นอนว่าเธอไม่รู้
เธอไม่รู้ว่าติณณ์จะรู้ตัวเองหรือเปล่า...เมื่อคืนตอนที่เราทำกันอยู่เธอแอบเห็นแววตาของเขาเศร้าหมองราวกับมีเรื่องราวในใจบางอย่าง
แต่ว่าทำไมเธอจะต้องไปสนใจเขากันด้วยล่ะ!
“ฉันว่าฉันสนใจยัยเด็กนั่นมากเกินไปแล้ว!” เธอสะบัดหัวไล่ความคิดของตัวเองสองสามครั้งและกลับมานั่งลงที่เก้าอี้ดังเดิม
มือบางเอื้อมขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาก่อนจะพิมพ์ข้อความอะไรบางอย่างและส่งกลับไปยังปลายทางที่ยังไม่มีการตอบรับใด ๆ กลับมาเลยเพราะอาจจะกำลังเรียนอยู่ก็เป็นได้
“วันนี้ไม่ต้องเข้ามาหาฉัน เธอจะไปทำอะไรก็ไป”
“ติณณ์!” ร่างสูงหันหน้าไปตามเสียงเรียกของเพื่อนสนิทก่อนจะวางโทรศัพท์ลงที่ข้างกายเพราะดันไปเห็นแจ้งเตือนของมัมมี้ที่เธอยังไม่ได้ตอบก่อนหน้า “รู้ข่าวเรื่องการแสดงของปี 3 หรือยัง?” เจ้าหล่อนถามออกมาอย่างสดใสและเดินเข้ามาเกาะแขนของเธอเอาไว้อย่างที่มักจะทำเป็นประจำเสมอ
ไอรีนเป็นเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของเธอที่มหาลัยฯ เพราะนิสัยที่มักจะเงียบขรึมของเธอนั้นทำให้ไม่มีใครอยากที่จะเข้าใกล้ บวกกับท่าทีเฉิ่ม ๆ ของเธอด้วยแหละคนถึงไม่ค่อยให้ความสนใจ
มีแต่ไอรีนนี่แหละที่มักจะตามตื้อเธอเสมอเวลาไปไหนมาไหน สุดท้ายก็กลายเป็นเธอที่ซี้กับเจ้าหล่อนที่สุดจนคุยกันได้ทุกเรื่อง และแน่นอนว่าไอรีนรู้ถึงเรื่องการงานของเธอที่ไม่ได้อยากจะปิดบังเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวอยู่แล้ว
“การแสดงอะไรนะ?” เธอเอ่ยถามออกไปเพราะไม่เห็นจำได้ว่ามีงานอะไรเลย อันที่จริงเธอไม่สนใจด้วยแหละ เธอไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมงานอะไรเลยเพราะเธอมีหน้าที่แค่เรียนหนังสือและก็ทำงานเท่านั้น
“เนี่ย! เป็นเพราะว่าไม่สนใจอะไรเลยไง” เธอยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเพราะเธอก็เป็นแบบนี้ของเธออยู่แล้ว
อีกอย่างงานที่เธอทำก็ต้องคอยเอาใจมัมมี้อยู่เสมอด้วย ถ้าเกิดเธอกลายเป็นเด็กกิจกรรมแล้วเวลามัมมี้เรียกตัวขึ้นมาเธอก็แย่น่ะสิ
“รีนก็รู้ว่าเราไม่สนใจงานอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว”
“แต่งานนี้เป็นภาคบังคับ ไม่ทำอาจารย์ไม่ให้จบปี 3” เจ้าหล่อนพูดออกมาพลางขยับตัวออกมาสบมองเธออย่างจริงจัง “เสาร์ – อาทิตย์นี้ก็ต้องไปค่ายด้วยนะ พวกเขาจะหารือกันเรื่องบทการแสดงพร้อมกับหานักแสดงด้วย แล้วติณณ์ก็จะต้องไปด้วย อย่าลืมไปบอกมัมของเธอไว้ก่อนล่ะ”
“ที่ไหนล่ะ?”
“เห็นบอกว่าจะไปทะเลกันนะ”
“หาเรื่องไปเที่ยวกันสิไม่ว่า...” เธอบ่นออกมาพึมพำและสบมองไปที่โทรศัพท์ของตัวเองอีกครั้ง “วันมะรืนก็วันเสาร์แล้ว ทำไมพวกเขาถึงพึ่งมาบอกเอาตอนนี้ล่ะ”
“หัดอ่านแชทกลุ่มห้องก่อนโทษคนอื่นนะติณณ์! เขาบอกกันล่วงหน้ามาเป็นเดือน ๆ แล้ว” ไอรีนเอ็ดใส่เธอแต่เธอก็ยังทำเป็นเมินเฉยไม่สนใจสิ่งใด “เดี๋ยวพรุ่งนี้เราเตือนอีกที เลิกเรียนแล้วก็รีบกลับไปเตรียมตัวล่ะ”
“ปะ งั้นกลับบ้านกัน” เธอลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงอีกครั้งเพราะขี้เกียจจะโดนบ่นอีกแล้ว
“เราเตือนทีไรก็ชอบว่าเราบ่นทุกที!”
“ติณณ์ยังไม่ได้พูดอะไรนะ...”
“แต่ติณณ์คิดในใจ เรารู้!” ก่อนที่เธอจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขันพร้อมกับยกมือขึ้นไปลูบผมของเจ้าคนขี้บ่นเบา ๆ พร้อมกับเราทั้งสองที่ออกเท้าเดินต่อไปด้วยกัน
ไอรีนก็เปรียบเสมือนครอบครัวของเธออีกคนหนึ่ง เธอคิดไม่ออกเลยว่าถ้าวันไหนไอรีนต้องกลายไปเป็นเหมือนกับองศา...เธอจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้อย่างไร
เจนนี่ทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องรับแขกหลังจากที่เธอเลิกงานและเดินทางกลับคอนโดในทันที เธอไม่ชอบทำงานนอกเวลา และก็ไม่อนุญาตให้พนักงานทำงานนอกเวลาด้วยเพราะมันเสียสุขภาพ
มือบางเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะปรากฎข้อความว่ารับทราบของเบบี๋และแน่นอนว่าตอนนี้เธอกำลังรู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่บอกไปว่าไม่ต้องให้เขามาหา
ตลอดทางที่เธออยู่บนท้องถนนเพื่อกลับมายังที่พักเธอปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอเอาแต่คิดถึงสัมผัสของเขาจนตัวเองเผลอเหม่อและเกือบจะฝ่าไฟแดงอยู่หลายที และพอตอนนี้จะเรียกให้เขามาหาเธอก็กลับกลายเป็นไม่กล้าไปซะงั้นเพราะกลัวเด็กมันจะว่าเอาได้ว่าเธอพูดคำไหนไม่เป็นคำนั้น
“เฮ้อ...” เจนนี่ถอนหายใจและลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงเพื่อหวังที่จะไปชำระร่างกายเพื่อให้สมองได้ผ่อนคลายกับเรื่องอย่างว่าบ้าง
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
แต่แล้วเสียงโทรศัพท์จากแอปพลิเคชันหนึ่งก็ดังขึ้นมาให้เธอต้องหันหลังกลับมาดูว่าใครโทรมาหากัน ถ้าเป็นคนโทรมาติดต่อเรื่องงานเธอจะไม่คุยด้วยแล้วเพราะนี่มันไม่ใช่เวลาทำงานแต่เป็นเวลาพักผ่อนของเธอ
BaByTinn
“มี้ขา...คิดถึงเบบี๋ไหมคะ?” เสียงทุ้มต่ำสดใสจากปลายสายพาลให้รอยยิ้มของเธอประดับขึ้นมาบนใบหน้าอย่างไม่ทันได้รู้สึกตัว
“มีอะไร?” แต่เธอก็ทำเป็นเสียงแข็งตอบรับกลับไปเพราะยังไม่อยากให้เด็กมันได้ใจว่าเธอเอาแต่คิดถึงสัมผัสของเขาจนตัวเองเผลอทำเรื่องบ้าบอไปแล้วหลายอย่าง “ฉันบอกตอนไหนว่าเธอโทรหาฉันได้?”
“แต่ในกฎที่มี้พูดเมื่อเช้าไม่มีเรื่องนี้นี่คะ...” เขาต่อล้อต่อเถียงด้วยน้ำเสียงสดใสจนเธอไปต่อไม่เป็นเลยว่าควรจะพูดอะไรต่อไป “เปิดกล้องได้ไหมคะ? บี๋คิดถึงมี้” ไม่รอให้เธอตอบรับ เขาก็กดคลอวิดีโอมาในทันทีให้เธอได้แต่ชั่งใจแต่สุดท้ายก็ยอมกดเปิดรับ
ภาพแรกที่ปรากฎออกมาทำเอาความคิดถึงของเธอยิ่งเพิ่มพูนทวีคูณขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าเบบี๋ของตัวเองพึ่งอาบน้ำเสร็จและตอนนี้ผมของเขาก็กำลังเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ
“เดี๋ยวบี๋ไปหยิบหูฟังเดี๋ยวเดียวนะคะ” และเขาก็ตั้งกล้องเอาไว้พร้อมทั้งหันเอี้ยวไปด้านหลังเผยให้เห็นลอนกล้ามจาง ๆ ที่เธอชื่นชอบ
ราวกับว่ามันเป็นเครื่องปลุกอารมณ์ของเธอชั้นดีเลยล่ะ เพราะตอนนี้เธอราวกับถูกจุดไฟ และต้องการให้เขามาหาเธอเดี๋ยวนี้ โดยไม่สนใจอะไรอีกแล้วว่าเขาจะมองว่าเธอเป็นคนไม่รักษาคำพูดหรือเปล่า...
“มี้ได้ยิน...”
“ฉันให้เวลาเธอ 20 นาที และเธอจะต้องมาถึงที่นี่...”