“เพนนี”
เสียงเรียกชื่อดังขึ้น
“พี่ลีไทน์”
ฉันมองคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงทางเดินห่างออกไปราวสองเมตรอย่างคาดไม่ถึง เมื่อครู่เขาเพิ่งโทรมา นึกว่าไม่ได้อยู่แถวนี้ซะอีก
ร่างสูงเดินเข้ามาด้วยท่าทางไม่ค่อยแน่ใจว่ามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า เขามองฉันกับคนบนรถเข็นด้วยแววตาสับสนปนสงสัย
ฉันกำราวรถเข็นแน่น ไม่อยากสบตาพี่ลีไทน์สักนิด เขาโผล่มาในช่วงเวลาที่แย่มากจริงๆ
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
เสียงพี่ลีไทน์ดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด
“เปล่าค่ะ นีกำลังจะไปส่งเขาที่ห้อง พี่มาพอดี นีฝากดูตาหนูแป๊บนึงได้ไหม”
ฉันพูดออกไปอย่างไม่ทันคิดให้ดี ไม่สิมันไม่มีเวลาให้คิดมากกว่า ใจฉันแค่อยากให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปเร็วๆ เท่านั้น
ที่จริงฉันไม่ได้คิดจะไปส่งเขาด้วยซ้ำ แค่จะไล่เขาออกจากห้องแล้วกลับเข้าไปหาลูก แต่ปากดังพลั้งพูดออกไปแล้ว เอากลับคืนก็ไม่ได้
“ได้ๆ เดี๋ยวพี่ดูให้” พี่ลีไทน์ตกปากรับคำอย่างช่วยไม่ได้ มองฉันกับฮานคล้ายอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่ทันนึกอะไรออก ฉันก็เอ่ยขึ้นมาซะก่อน
“ขอบคุณค่ะ นีจะรีบไปรีบกลับ”
ฉันบอกแล้วผลักรถเข็นไปข้างหน้าอย่างดุดัน ถ้าพื้นโรงพยาบาลไม่เรียบฮานได้ช้ำในไปแล้ว
“กีดกันพ่อไม่ให้เข้าใกล้ลูก แต่กล้าฝากลูกไว้กับคนอื่น กำลังคิดอะไรอยู่”
น้ำเสียงค่อนแคะดังขึ้นระหว่างทาง ฉันแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แม้ในใจอยากตะเพิดใส่เขาแทบคลั่งแต่ก็กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ไหว เลยได้แต่เก็บปากเงียบมาตลอดทาง จนถึงห้อง 807 ฉันเปิดประตู เข็นรถมาหยุดถึงข้างเตียง แล้วปล่อยมือ
“หวังว่าเราจะไม่เจอกันอีก ลาก่อน”
“จะรีบกลับไปหาลูกหรือหาใครล่ะ”
ฉันหันหลังเดินออกมาได้ไม่ถึงสองก้าวก็ต้องชะงักเพราะคำพูดทิ่งแทงของคนบนรถเข็น
ฉันหันกลับไปมอง ฮานยังคงนั่งนิ่ง แผ่นหลังของเขาตั้งตรง ทว่าลาดไหล่กว้างนั่นกลับทำให้รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ เป็นไหล่ของคนที่ฉันอยากพึ่งพิงในอดีต แต่ว่าตอนนี้ฉันไม่ต้องการมันอีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร หรือเข้าใจเรื่องของฉันกับพี่ลีไทน์ผิด ฉันไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายหรือแก้ตัวกับเขาให้เปลืองน้ำลาย
ปัง!
ฉันเดินออกมาพร้อมกับกระแทกประตูปิดโดยไม่คิดจะย้อนมองกลับไปอีกเป็นครั้งที่สอง
Han talks
เสียงประตูที่กระแทกปิดดังก้องอยู่ในหัว ผมรู้สึกแปลกๆ ภายในอก บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร รู้แค่ว่าไม่ชอบใจนักที่ถูกเพนนีปฏิบัติใส่เหมือนผมเป็นส่วนเกิน
จะว่าไปเมื่อก่อนผมก็คงแสดงท่าทีแบบนี้ใส่เพนนีเหมือนกัน ไม่คิดมาก่อนว่าสิ่งที่เคยทำเอาไว้จะย้อนกลับเข้าตัวเอง แล้วการที่ผมมานั่งทบทวนตัวเองแบบนี้ยิ่งแปลกไปกันใหญ่ บ้าเอ๊ย เป็นครั้งแรกที่ผมไม่รู้ว่าใจผมต้องการอะไร ทีแรกผมก็แค่จะแสดงตัวว่าเป็นพ่อของเด็ก แต่อะไรๆ มันกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่ผมคิด แล้วผมดันมาประสบอุบัติเหตุเอาในเวลานี้อีก ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะไม่เข้าข้างผมเอาซะเลย หรือจะเรียกว่ากรรมตามสนองดี
ภายในห้องเปิดแค่ไฟหัวเตียง ผมใช้มือข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกเลื่อนหน้าจอมือถือจัดการเรื่องราวต่างๆ เท่าที่พอทำได้ หลังคุยงานกับเพื่อนในทีมรถแข่งเสร็จผมเลื่อนดูข้อความในแชตไลน์ที่ยังไม่เปิดอ่าน
แม่ : ได้ยินว่าลูกรถชน เป็นอะไรมากหรือเปล่า
ผมมองโปรไฟล์รูปอูคูเลเล่ของคนส่งข้อความแววตาราบเรียบ ก่อนปัดผ่านโดยไม่คิดจะเปิดเข้าไปอ่าน เลื่อนลงมาข้างล่าง มีข้อความจากผู้ช่วยของปู่ และก็ปู่ รวมทั้งย่าด้วย แต่ไม่มีข้อความจากพ่อ บางทีเขาคงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม
แน่นอนว่าผมก็มีครอบครัวเหมือนคนอื่น แถมเป็นครอบครัวที่ใหญ่ซะด้วย
>> เฮียหมู
ผมกำลังคิดอะไรหลายอย่างเฮียหมูก็โทรมาพอดี
[เฮียหาคลิปจากกล้องหน้ารถตอนที่มึงโดนชนได้แล้วนะ กำลังให้แฮคช่วยแกะรอยรถที่ชนอยู่ น่าจะได้เรื่องเร็วๆ นี้]
“ไม่ต้อง”
ผมบอกสั้นๆ ปลายสายชะงักไปแวบหนึ่ง ถามกลับมาอย่างสงสัย [มึงไม่อยากจับตัวคนร้ายเหรอ]
“เสียเวลา เฮียเอาเวลาไปจัดการเรื่องรถที่จะลงแข่งในนัดหน้าเถอะ”
[แต่ว่าฮาน...]
“เฮียเชื่อผม ต่อให้ความจริงจะเป็นยังไงเรื่องที่ผมโดนชนเกือบตายก็ไม่เปลี่ยนอยู่ดี”
[เออมึงพูดถูก แต่อย่างน้อยเราก็จะรู้ไงว่ามันใช่อย่างที่เราคิดหรือเปล่า เราจะได้ระวังตัวมากขึ้น]
“....” ผมไม่ตอบอะไรกลับไป ถ้าเฮียคิดจะทำแล้วให้ผมพูดยังไงก็คงไม่ฟัง
[แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง อาการวันนี้]
“ดีขึ้นตามลำดับ”
[หนูนีล่ะ ได้ข่าวว่าไปอาละวาดถึงในห้องเลยเหรอ เป็นแม่ลูกอ่อนที่ร้อนแรงดีจริงๆ สิน่า]
“อืม น่าปวดหัวกว่าเรื่องที่โดนชนซะอีก” ผมนึกถึงท่าทีรังเกียจของเพนนี นึกถึงใบหน้าไร้เดียงสาของลูก และก็นึกถึงไอ้หน้าจืดที่โผล่มาตอนท้าย ดูเหมือนว่าผมต้องพยายามขึ้นอีกนิดเพื่อที่จะทวงสิ่งที่ควรเป็นของผมกลับมา ผมหมายถึงสิทธิ์ในความเป็นพ่อของลูก
ส่วนเพนนี... ถ้าไม่อยากกลับมาหาผม ผมก็ไม่อยากฝืน
ผมคุยธุระกับเฮียต่ออีกหลายนาทีก่อนจะวางสายไป ผมจ้องดูเวลาบนหน้าจอใกล้สี่ทุ่มแล้วแต่กลับไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด ทั้งที่หมอกำชับให้พักผ่อนเยอะๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีในการรักษาแต่ว่าพอคิดจะนอนในหัวผมก็ผุดภาพผู้ชายที่โผล่มาหาเพนนี แล้วยัยนั่นยังฝากลูกไว้กับผู้ชายคนนั้นโดยไม่ลังเลใจอีก มันจะหยามหน้าคนเป็นพ่อแท้ๆ อย่างผมเกินไปแล้ว ผมกดเข้าไปส่องเฟสบุ๊ค IG และก็ทวิตเตอร์ของเพนนี ก็เห็นแต่ไอ้หน้าจืดนี่เข้ามาไลค์ มาคอมเม้นต์แทบทุกโพสต์ ผมสงสัยว่าสองคนนี้สนิทสนมกันถึงขั้นไหน แต่คงยังไม่ถึงขั้นรักกันหรอก เพราะถ้าเพนนีมีคนอื่นคะนิ้งกับริกกี้ก็ต้องรู้และใครคนใดคนหนึ่งจะต้องคาบข่าวมาบอกผมโดยที่ผมไม่ต้องเอ่ยปากถามให้เสียฟอร์มแน่นอน
Penny Talks
ฉันตรงดิ่งกลับมาที่ห้องด้วยความร้อนใจ ฝากลูกไว้กับคนอื่นฉันไม่สบายใจเลยต่อให้คนคนนั้นจะเป็นคนคุ้นเคยอย่างพี่ลีไทน์ก็ตาม
ฉันผลักประตูเข้ามา ภายในห้องเงียบสนิท ไฟเกือบทุกดวงถูกปิดยกเว้นตรงโซฟา พี่ลีไทน์ที่นั่งอยู่ตรงนั้นหันมามอง สีหน้าชื่นมื่นขึ้นทันที
“มาแล้วเหรอ”
“อื้ม ตาหนูหลับแล้วเหรอ” ฉันยิ้มบางตอบ เดินมาดูลูกเป็นอย่างแรก เห็นตาหนูนอนหลับตาพริ้มก็ค่อยเบาใจแต่ก็ประหลาดใจไปพร้อมกัน นึกว่าจะงอแงไม่ยอมนอนเพราะไม่เห็นแม่ซะอีก แม้ว่าก่อนหน้านี้ลูกจะเล่นเต็มที่และเลยเวลานอนไปแล้วก็เถอะ
“อืม หลับง่ายมาก ไม่รู้ว่าเพลียหรือว่าง่วงมากก็ไม่รู้นะ แล้ว... เมื่อกี้มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า ทำไมเขาอยู่กับนี”
“เขามาเอง นีไม่ได้เรียก”
“บังเอิญจังเลยนะ พี่ได้ยินมาเหมือนกันว่าฮานรถชน แต่ก็ไม่นึกว่าจะอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน”
ฉันมองลูกเงียบๆ ไม่มีความเห็นใดๆ กับเรื่องนั้น แต่ก็ไม่อยากได้ยินอะไรที่เกี่ยวกับฮานด้วยเหมือนกัน เอ่ยถามพี่ลีไทน์อย่างเพิ่งนึกได้
“แล้วพี่มีติวหนังสือแถวนี้เหรอ แวะมาดึกจัง”
“พี่เพิ่งติวเสร็จน่ะ ก็เลยแวะมาเยี่ยม ยังไงก็เป็นทางผ่านกลับห้อง”
“อ่อ แล้วตอนที่โทรมาพี่อยู่แถวนี้เหรอ”
“อืม พี่จะโทรมาถามว่าอยากได้อะไรไหมจะซื้อขึ้นมาให้ แต่นีไม่รับ อีกอย่างพี่ก็อยู่หน้าลิฟต์แล้วก็เลยขึ้นมา นี่พี่ไม่ได้มารบกวนอะไรนีใช่หรือเปล่า” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเกรงอกเกรงใจ
ฉันต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายเกรงใจ “นีน่ะไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ พี่นั่นแหละจะเหนื่อยขับรถ นี่ก็ดึกแล้วน่าจะรีบกลับไปนอนได้แล้วนะ”
“โห ไล่เลยเหรอ”
“ไม่ได้ไล่ค่ะ แต่เป็นห่วง ไม่อยากให้ขับรถดึกๆ ดื่นๆ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องขับรถกลางคืนพี่ชินแล้วล่ะ บางทีติวกันถึงตีหนึ่งตีสองก็มี”
เขาบอก ไม่อยากให้ฉันคิดมาก ฉันไม่รู้จะเถียงยังไงเลยได้แต่ถอนหายใจแล้วยิ้มตอบแบบเนือยๆ พี่ลีไทน์ถามไถ่อาการตาหนูและอยู่คุยกับฉันเกือบครึ่งชั่วโมง ก่อนกลับเขายังลงไปซื้อโจ๊กกับน้ำผลไม้มาให้ฉันอีกห้ามก็ไม่ฟัง บางทีการกระทำของเขามันก็มากเกินไปสำหรับคำว่าพี่น้อง แต่ฉันไม่อยากคิดอะไรมาก และก็หวังว่าพี่ลีไทน์จะไม่ได้คิดอะไรมากเช่นกัน