ภามกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมแล้ว ไม่ถ่าย ไม่อ้วกเหมือนวันแรกที่เข้าโรงพยาบาล หมออนุญาตให้กินข้าวตามปกติ อยู่ดูอาการอีกหนึ่งคืน ถ้าไม่มีอะไรพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้
แม่กับลุงมาเยี่ยมหลังเลิกงาน พอรู้ว่าหลานกลับมากินได้ก็ขนของกินมาจากบ้านเต็มไปหมด
ฉันมองตาหนูหยิบรถแครอทสลับกับเค้กฟักทองที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำใส่ปากโดยมียายกับตาคอยเชียร์อยู่ข้างเตียงไม่หยุด
“หืม นี่รถใหม่เหรอทำไมยายไม่เคยเห็น”
แม่หยิบพวงกุญแจรถมินิคูเปอร์ขึ้นมา ฉันใจหายเบาๆ กลัวแม่สงสัย ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้คิดจะซ่อนตั้งแต่แรก จริงๆ เอาไปซ่อนไม่ได้มากกว่า ตาหนูเห่อขนาดนั้นไม่มีทางปล่อยให้ห่างมือแน่ๆ แต่ตัวกุญแจรถยนต์ฉันแยกออกมาเก็บไว้ต่างหากแล้ว โชคดีที่ลูกไม่ได้สนใจมันมากเท่ารถคันสีเหลือง เลยไม่มีปัญหา
ฉันลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ แอบลุ้นตัวโก่งว่าภามจะหลุดปากบอกยายเรื่องพ่อ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ปริปากถึงฮานเลย ไม่รู้ว่าลืมจริงๆ หรือตั้งใจ แต่ลูกยังไม่ถึงสองขวบด้วยซ้ำ จะไปมีความคิดซับซ้อนแบบนั้นได้ยังไง น่าจะจำที่แม่สอนได้มากกว่า เรื่องที่ห้ามเรียกฮานว่าป๊าต่อหน้ายาย
“ลุงลีซื้อให้เหรอครับ?” ยายเดา ฉันถึงกลับโล่งใจเปลาะหนึ่ง แต่ก็ยังแอบกลัวว่าความลับจะถูกเปิดเผย
“ยุ...” ตาหนูทำเสียงเดิมย้ำๆ ยื่นมือไปคว้ารถในมือยายมาถืออย่างหวงของ ยายยิ้มอ่อนคืนรถให้หลานอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนหันมาพูดกับฉัน
“พรุ่งนี้จะกลับยังไง แม่กับลุงขับรถมาคนละคัน เดี๋ยวแม่ทิ้งรถไว้ให้เผื่อว่านีต้องใช้รถพรุ่งนี้”
“แม่ไม่ต้องขับรถไปทำงานเหรอ”
“เดี๋ยวติดรถลุงไปได้ พรุ่งนี้ไม่มีงานด่วน”
“อืม”
ฉันพยักหน้า มีรถไว้ใช้ก็สะดวกดี เวลาออกจากโรงพยาบาลก็กลับบ้านได้เลยไม่ต้องรอคนมารับให้วุ่นวาย แต่ทำไม... ทั้งที่ไม่ควรติดใจอะไร ฉันกลับรู้สึกไม่ดีขึ้นมา ดันนึกถึงรถที่ฮานยัดเยียดให้
เขารู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ค่อยสะดวกสบายเวลาเดินทางไปไหนมาไหน หรือแค่เดาเอา... แค่อยากหาอะไรมาเอาใจฉันแล้วหวังว่าฉันจะลืมเรื่องราวทั้งหมด มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ ฮานไม่เคยสนใจฉันมาก่อนไม่มีทางที่เขาจะมาห่วงใยความเป็นอยู่ของฉันหรอก
ฉันพยายามปัดความรู้สึกทิ่มแทงออกไปจากใจ ดึงความสนใจกลับมาที่ภาพตรงหน้า เสียงเจื้อยแจ้วของตาหนูที่ชัดบ้างไม่ชัดบ้างเวลาสื่อสารกับตากับยายทำให้ฉันยิ้มออก จิตใจคลายความเศร้าหมองเป็นปลิดทิ้ง
นี่สินะที่เขาบอกว่าลูกคือยาบำรุงหัวใจของพ่อแม่ คิดถึงตรงนี้แล้วก็อดเสียใจขึ้นมาไม่ได้ที่เคยทำตัวแย่กับแม่
“สามทุ่มกว่าแล้วนะแม่” ฉันเตือนเมื่อเห็นทั้งคู่เล่นกับหลานเพลินจนลืมเวลา ไม่อยากให้ขับรถดึก อีกอย่างตาหนูเองก็เลยเวลานอนมาเยอะแล้วด้วย
“อ้อ นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องรีบไปทำงาน แม่คงนอนเฝ้ากับลูกแล้ว” แม่พูด
“เอาน่า พรุ่งนี้ตาหนูก็ได้กลับบ้านแล้ว เรากลับกันก่อนเถอะ หลานจะได้นอน นีก็พักผ่อนด้วยนะลูก เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกคน”
“ค่ะลุง”
ฉันยิ้มส่งทั้งคู่จนกระทั่งออกประตูไป แล้วหันมามองลูกชายสุดที่รักด้วยสายตาเข้มงวด
“ตายายกลับแล้ว ภามก็ได้เวลานอนแล้วเหมือนกัน”
ฉันฝืนตัวลูกให้นอนราบลงบนเตียง เพราะลูกไม่เต็มใจ ยังคงห่วงเล่นอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ในมือก็เห็นมีแต่รถสีเหลืองคันนั้น... ถ้าเป็นคันอื่นฉันจะไม่รู้สึกอะไรเลย
“มะ... แจ... ย นะ ยุ หนา..ย”
“หือ? นอนได้แล้ว แม่นีจะปิดไฟละนะ”
ฉันจับแก้มย้วยๆ น่าฟัดของลูก กำชับให้นอน โน้มหน้าลงไปจะหอมหน้าผากเล็กเพื่อบอกฝันดี ฝ่ามือป้อมๆ ก็ยกขึ้นมาดันปากฉันไว้ทันที ฉันชะงัก มองสบสายตากลมแป๋วเปล่งประกายแวววาวที่แฝงรอยดื้อรั้นของลูกไม่รู้จะสะเทือนใจหรือมันเขี้ยวก่อนดี
ฉันผละออกห่างแล้วตีหน้าเศร้า “แม่นีหอมไม่ได้เหรอ”
ลูกเม้มปากสนิทใบหน้าเรียบตึงเมื่อไม่ได้ดั่งใจ แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนจะร้องไห้เพราะกลัวแม่งอน
ไม่รู้ว่าฉันรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่ช่วงที่เข้าโรงพยาบาลเหมือนลูกจะเอาแต่ใจตัวเองขึ้น ยิ่งได้เจอฮานด้วย ยิ่งรู้สึกเหมือนจะดื้อกับแม่มากกว่าเดิม
“งั้นแม่นีปิดไฟแล้วนะ” ฉันไม่พูดถึงเรื่องกุญแจที่ลูกร้องจะเอาก่อนหน้านี้ เดินออกมาปิดไฟตามที่บอกเหลือไว้เพียงดวงเดียวข้างผนัง แล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา ความเงียบโรยตัวลงชั่วครู่ เสียงกลั้นสะอื้นก็ดังขึ้น
“ภาม...”
ฉันตกใจ ผุดลุกขึ้นนั่งอย่างไว มองไปที่เตียงก็เห็นว่าลูกกำลังนั่งอยู่แล้วมองมาที่โซฟาด้วยดวงตาเปียกรื้น
หัวใจฉันสะท้านไหว รีบลุกขึ้นไปหาลูกโดยไม่เสียเวลาคิด “หนูเป็นอะไร ไหนบอกแม่นีสิครับ”
ตาหนูส่ายหน้า แต่อ้าแขนโผเข้ากอดแม่เหมือนหวาดกลัวอะไรสักอย่าง
ฉันรู้สึกใจแป้วลงทันที ลูบหัวลูกเบาๆ โดยไม่รู้จะพูดอะไร ไม่ใช่ไม่ทรมานที่แกล้งทำเป็นไม่สนใจลูก แต่ฉันไม่อยากให้ภามได้ทุกอย่างที่ขอจนเคยตัว ต่อไปถ้าอยากได้อะไรขึ้นมาคงไม่มีใครขัดใจได้อีกแล้ว
ฉันค่อยๆ ผลักลูกลงนอน แต่ลูกยึดมือข้างหนึ่งของฉันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ดวงตากลมแป๋วจ้องเขม็งราวกับกลัวว่าจะทำแม่หาย เห็นแล้วเอ็นดู อยากก้มลงไปฟัดแก้มน้อยๆ ให้หายมันเขี้ยว
“นอนนะครับ เดี๋ยวแม่นีนั่งเฝ้าตรงนี้”
“มะ นอน...” ลูกพยายามดึงฉันขึ้นไปนอนด้วย ทำไมอ้อนเก่งอย่างนี้นะ แม่ใจละลายหมดแล้ว ฉันเอามือเกลี่ยแก้มตาหนูเบาๆ ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“นอนเถอะ ดึกแล้ว” ฉันเอ่ยเบาๆ ตาหนูหลับตาลงอย่างว่าง่าย ฉันมองใบหน้าตอนหลับของลูกชั่วครู่เท่านั้นประตูก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ฉันหันไปมอง เส้นขมับตึงเครียดขึ้นมาฉับพลัน
“ยูงง” ตาหนูที่เพิ่งล้มตัวลงนอนลุกขึ้นมานั่งตัวตรงทันที
ฉันหันมองลูก ก่อนหันกลับไปมองคนที่ประตูอย่างว้าวุ่นใจ อยากตะโกนถามว่ามาทำไม แต่ก็ไม่อยากให้ลูกสัมผัสกับน้ำเสียงเกรี้ยวกราดแบบนั้นไปด้วย
ครั้งนี้เขานั่งวีลแชร์มาเอง ไม่มีคนคอยพยุงอย่างก่อนหน้านี้ ฉันมองเขาเลื่อนเข้ามาในห้องอย่างพูดอะไรไม่ออก
“นอนกันแล้วเหรอ”
“เข้ามาทำอะไร” ฉันพยายามส่งสายตาไล่ให้ฮานรีบออกไป ก่อนที่ตาหนูจะให้ความสนใจเขาไปมากกว่านี้
“นอนไม่หลับ” ฮานบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ท่าทางไม่สะทกสะท้านต่ออารมณ์คนรอบข้างของเขาชวนให้รู้สึกฉุนมากกว่าเดิม
“ใครสน รีบๆ ออกไปเลยนะ”
ฉันบอกอย่างไร้เยื่อใย ถลึงตาไล่ ฮานเบนสายตาจากฉันไปที่เตียงราวกับฉันเป็นเพียงอากาศธาตุ
“อยากไปนอนห้องป๊าไหม”
“จะทำอะไร” ฉันถามเสียงแข็ง แต่ฮานไม่ใส่ใจตอบ เขายังคงพูดกับตาหนูต่อประหนึ่งว่าเสียงของฉันเป็นแค่เสียงแมลงหวี่แมลงวันไร้ความหมาย
“มีของเล่นเยอะแยะเลย ไปดูไหม”
“ปาย…”
ลูกยกมือขึ้นอย่างต้องการให้อุ้ม ฉันทั้งโกรธทั้งกังวลที่เห็นลูกเชื่อคนง่ายเกินไป แค่เขาเอาของเล่นมาล่อก็จะไปซะแล้ว
“ไม่ได้นะภาม นี่เลิกมาตอแยฉันกับลูกสักทีเถอะ ออกไปได้แล้ว”
ฉันหันไปตะเบ็งเสียงใส่ฮานอย่างลืมตัว ตาหนูที่กำลังระริกระรี้ชะงักงันหน้าหงอยลงทันควัน ขณะที่ฮานยังคงตีมึนอย่างไม่ย่อท้อ
“พรุ่งนี้ก็กลับบ้านกันแล้วไม่ใช่เหรอ นี่คงเป็นโอกาสเดียวที่จะได้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้เหรอเพนนี”
เขาเอ่ยขึ้น สีหน้าและแววตาที่คล้ายกับกำลังอ้อนวอนแม้จะไม่มากแต่ก็ไม่บ่อยที่จะได้เห็นทำให้ฉันรู้สึกสงสารและประหลาดใจขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ฉันจะใจอ่อนเพราะคำพูดไม่กี่คำของเขาไม่ได้
“ไม่ ออกไปเดี๋ยวนี้” ฉันบอกอย่างไม่ลังเล
“จะพูดกันดีๆ ไม่ได้เลยเหรอ” ฮานถามกลับ แววตาคมเข้มกำลังถามหาเหตุผลจากการพูดจาที่เอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่ของฉัน
แต่ว่าฉันไม่มีเหตุผลที่ต้องพูดดีๆ กับฮาน
“บอกให้ออกไป ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง”
ฉันกับฮานมองตากันอย่างไม่ลดละอยู่อย่างนั้นไม่รู้นานขนาดไหนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ฉันดังขึ้น ฉันละสายตาจากฮานอย่างจำใจ เดินมาหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างโซฟา ก่อนจะเห็นชื่อคนที่โทรมา
พี่ลีไทน์...
เป็นครั้งแรกที่ฉันลำบากใจที่จะรับสายของเขา จดๆ จ้องๆ อย่างไม่รู้จะทำยังไงดีครู่หนึ่งแถมยังโดนสายตาของฮานที่มองมากดดันอีก สุดท้ายฉันก็กดปิดเสียงแล้วบีบโทรศัพท์เอาไว้ในมือแน่น หันไปมองฮานด้วยสายตาผลักไสไล่ส่ง
“ยังไม่ออกไปอีก”
“ทำไมไม่รับล่ะ”
“เรื่องของฉัน ไม่ต้องยุ่ง”
ฮานจ้องฉันอยู่อย่างนั้น เขาไม่พูด แต่แววตากลับเต็มไปด้วยแรงบีบคั้นราวกับว่าฉันไปทำอะไรผิดมา ซึ่งฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องกลัวที่จะรับสายพี่ลีไทน์ต่อหน้าเขา
“มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย”
ฉันเดินเข้ามาจับรถเข็นฮาน ผลักเขาออกนอกประตูอย่างเหลืออด ฮานไหวไหล่ด้วยท่าทางตกใจและตั้งตัวไม่ทัน ถึงจะอยากต่อต้านฉันแค่ไหนเขาในสภาพนั้นก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี