Chapter 1 《 Part 4 》

1807 คำ
Han Talks. ประตูถูกเปิดเข้ามา ผมชะโงกคอดูก่อนจะเห็นร่างหนาอวบของเฮียหมูเดินย่ำเท้าหนักๆ เข้ามาในห้อง เกาะขอบเตียง มองสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า แววตาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงและหวั่นกลัวอยู่ลึกๆ “ไง ได้ข่าวถูกชน อุบัติเหตุหรือว่าอะไร” สามวันแล้วที่ผมนอนเป็นผักอยู่โรงพยาบาล แขนหัก กระดูกร้าว ช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้ เฮียเพิ่งจะโผล่มาแถมยังเลือกเวลาที่คนอื่นๆ กลับกันไปหมดแล้ว นั่นแปลว่าเรื่องที่เราคุยกันอยู่ตอนนี้ย่อมต้องเป็นความลับ ผมมองตอบสายตาจริงจังแบบที่รู้กันแค่สองคนของเฮียหมูแล้วสะกดอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านเอาไว้ พูดในสิ่งที่รู้สึกออกไป “สังหรณ์อยู่เหมือนกันว่าคงไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา” “แล้วสงสัยใครไหม” เฮียหมูกัดฟันพูด ผมนิ่งเงียบไม่ตอบคำ ครุ่นคิดอะไรในใจเงียบๆ ผมยังไม่ทันตอบเฮียก็รีบร้อนพูดต่อ “ให้เฮียส่งคนมาเฝ้าไหม” “อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย” เฮียหมูพยักหน้าแต่ก็ยังไม่วางใจ “ให้เฮียมาอยู่เป็นเพื่อนไหม” “เฮีย” ผมเอ่ยเสียงเข้ม เฮียหมูเงียบลงชั่วครู่ก็อ้าปากพูดขึ้นอีก “เฮียไม่สบายใจว่ะ ถ้ามีคนลอบเข้ามาทำร้ายมึงจะทำยังไง” “นี่ก็สามวันแล้ว ถ้าจะมาก็คงมาแล้ว” “ไม่แน่หรอก มันอาจจะยังไม่รู้ว่ามึงยังไม่ตาย” “หรือไม่ก็ไม่ได้จะเอาให้ตาย” “....” เฮียหมูชะงัก มองหน้าผมนิ่ง ใคร่ครวญตามคำพูดของผม ทว่าสีหน้าก็ไม่ได้คลายความวิตกลงแม้แต่นิดเดียว “ยังไงเฮียก็ปล่อยมึงไว้แบบนี้ไม่ได้ เฮียไม่สบายใจ จริงสิ หนูนีเป็นไง ให้หนูนีกับลูกมาอยู่เป็นเพื่อนไหม” “….” “ได้ยินว่าเพิ่งไปเจอหนูนีมา ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” เฮียหมูพูดด้วยท่าทางกระตือรือร้น ริกกี้กับคะนิ้งคงไม่ได้เล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้านหลังนั้น ความตื่นตัวบนหน้าเฮียค่อยๆ เผือดหายไปเมื่อเห็นสีหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ของผม “หมายความว่ายังไง ยังไม่ได้คุยกันเหรอ” “คุย แต่แย่กว่าที่คิด” “หนูนีโกรธมากเหรอ” “อืม” “แต่หนูนีหลงมึงมากหนิ ไม่น่าจะโกรธได้นานหรอก แล้วนี่รู้เรื่องมึงหรือยัง” “ไม่รู้สิ คะนิ้งน่าจะบอกแล้วมั้ง” “แล้วมาเยี่ยมหรือเปล่า” ผมส่ายหน้า ตั้งแต่ได้สติก็ไม่เห็นวี่แววว่าเพนนีจะมา จากสายตาหมดเยื่อใยที่เพนนีใช้มองผม ก็พอเข้าใจแล้วว่าเธอคงหมดความสนใจในตัวผมแล้วจริงๆ จะเหลือก็แต่ร่องรอยในอดีตที่เธอยังเก็บเอาไว้ …ลูกของผม “เฮียจะลองไปคุยดู” “เฮีย?” ผมใจสั่นไหวอย่างไม่รู้สาเหตุเมื่อได้ยินเฮียพูดขึ้นมาแบบนั้น แต่แทนที่ผมจะรีบห้ามปรามไม่ให้เฮียเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องนี้ ผมกลับไม่ได้พูดอะไรเลย ตรงข้ามกลับคาดหวังแปลกๆ ลุ้นว่าเฮียจะทำได้หรือเปล่า “เชื่อใจเฮียได้เลย เฮียมีวิธี” Penny บ่ายวันหนึ่ง ฉันกำลังวิ่งข้ามถนนเพื่อจะกลับไปหาตาหนูที่บ้านยายนวลภา พี่ดาวพยาบาลพิเศษคนใหม่ที่คะนิ้งจ้างมาดูแลยายนวลภาเพิ่งโทรมาบอกว่าตาหนูอ้วก ถ่ายเป็นน้ำ แล้วก็ไข้ขึ้นสูง ก็ถึงว่าเมื่อเช้าดูซึมๆ ไม่ค่อยอ้อนแม่เท่าไหร่ วันนี้แม่ฉันมีธุระต้องใช้รถ มาส่งฉันกับตาหนูตอนเช้าเสร็จก็ขับรถไปทำงาน ฉันเลยต้องวิ่งออกมาเรียกแท็กซี่ที่หน้ามหาลัยกลางคาบเรียนแบบนี้ ปี้บบบบ เสียงแตรรถดังขึ้นกะทันหัน ฉันอยู่กลางถนนพอดีถึงกับสะดุ้งหัวใจหล่นตุบไปอยู่ตาตุ่ม เจ้าของรถที่เป็นคนบีบแตรเลื่อนกระจกลงแล้วชะโงกหน้าออกมาตะโกนเรียก “หนูนี” คิ้วฉันขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งกว่าเดิม เมื่อเห็นหน้าของคนในรถโตโยต้า 86 TRD สีดำปลาบที่เด่นกระแทกตาคันนั้น “เฮียหมู” ฉันรีบข้ามถนนมาอีกฝั่งทันทีที่มั่นใจแล้วว่าปลอดภัย ไม่ได้สนใจคนในรถเท่าไหร่นัก คิดแค่ว่าคงเป็นเรื่องบังเอิญที่เจอกับเฮียหมูที่นี่ แม้จะรู้สึกเคืองนิดๆ ที่ถูกบีบแตรใส่ ทำให้ฉันตกใจ แล้วยังพลอยเป็นเป้าสายตาคนอื่นไปด้วย น่าอายชะมัด ฉันข้ามถนนมาได้ ก็รีบมองหาแท็กซี่ มีคันหนึ่งกำลังวิ่งออกมาจากมหาลัยติดไฟว่าง ฉันยืดคอรออย่างใจจดใจจ่อ ยังไม่ทันได้ระยะโบกมือเรียก ก็มีคนอื่นที่อยู่ใกล้กว่าโบกตัดหน้าไปดื้อๆ บ้าชะมัด! ฉันสบถอย่างหัวเสีย สอดสายตามองหาคันใหม่ทันใดนั้นรถ 86 TRD ก็วิ่งเข้ามาจอดเทียบฟุตปาธ ร่างสูงท้วมเปิดประตูออกมา เดินอ้อมหลังรถมาหาฉัน “เฮีย…” ฉันก้าวถอยหลังอย่างรู้สึกไม่ไว้ใจ “หนูนีบังเอิญจริงๆ กำลังคิดถึงก็ได้เจอเลย เราน่าจะมีชะตาต้องกันว่าไหม” เฮียพูดติดตลก ออกแนวปากหวานเล็กน้อย ฉันชำเลืองมองถนนแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่ายังไม่มีแท็กซี่ผ่านมาถึงยอมพูดด้วย “อืม แล้วเฮียมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ” “ก็มาหาหนูนีนั่นล่ะ” “มาหานี? มาหาทำไม มีธุระอะไร” “เฮียมีเรื่องอยากคุยน่ะ ไม่เอาน่า อย่าทำท่าทางห่างเหินใส่เฮียแบบนั้นสิ เฮียมาดีนะ” “ขอโทษนะเฮีย นีกำลังรีบ มีอะไรไว้ค่อยคุยกันทีหลัง” ฉันบอกแบบผ่านๆ ระหว่างชะเง้อคอมองหารถที่ไม่มีวี่แววว่าจะผ่านมาสักคัน ให้ตายสิ ยิ่งเป็นห่วงลูกอยู่ด้วย ไม่รู้ป่านนี้ตาหนูจะเป็นยังไงบ้าง “นี่น้องนีจะไปไหนหรือเปล่า ให้เฮียไปส่งได้นะ” เฮียหมูคงสังเกตุเห็นท่าทางร้อนใจของฉันถึงได้เสนอทางเลือกให้ ฉันมองใบหน้าใสซื่อแบบจริงใจสุดๆ ของเฮียอย่างรู้สึกสองจิตสองใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงไม่รีรอที่จะกระโดดขึ้นรถไปกับเฮีย แต่สถานการณ์และความสัมพันธ์ของพวกเราในตอนนี้จะบอกว่าไม่สนิทก็ได้ จะว่าไปเมื่อก่อนก็ไม่เคยมีใครชวนฉันขึ้นรถง่ายๆ แบบนี้มาก่อน ฉันต้องใช้ความพยายามแทบตายกว่าจะได้นั่งรถของพวกเรดซันแต่ละคน “ไม่เป็นไรค่ะ นีเกรงใจ” ฉันเมินสายตาจากใบหน้าผิดหวังของเฮียหมูไปที่ถนน ถ้ายังไม่มีแท็กซี่จะกดออดเรียกวินมอร์ไซค์แล้วนะ “เพนนี?” ฉันหันขวับไปตามเสียงเรียก รู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันทีที่เจอเขาที่นี่ “พี่ลีไทน์” พี่ลีไทน์เดินออกมาจากร้านข้าวพร้อมเพื่อนสามสี่คน เขาหันไปส่งสัญญาณบอกเพื่อนให้รุดหน้าไปก่อนแล้วจ้ำอ้าวตรงดิ่งมาหาฉัน “เพนนีมาทำอะไรตรงนี้ ไม่เข้าเรียนเหรอ” เขาถามพลางเหลือบมองผู้ชายร่างสูงท้วมกับรถแรงม้าสูงที่จอดอยู่ด้านหลังฉันด้วยสายตาสงสัย แต่ฉันไม่มีเวลามาอธิบายเรื่องนั้น คว้ามือเขามาจับแบบที่ปกติไม่เคยทำ “พี่ลีไทน์นีมีเรื่องจะขอร้อง” “หืม…” เขามองหน้าฉันอย่างอึ้งๆ ก่อนจะหลุบมองมือที่โดนฉันจับแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาฉันอีกรอบ “ได้สิ จะให้ทำอะไร พูดมาเลย” เขาพูดอย่างไม่ลังเล ฉันตื้นตันและรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของพี่ลีไทน์จนแทบจะโผเข้ากอด แต่ก็ต้องยั้งใจเอาไว้แล้วเอ่ยขอบคุณเขาแทน “ขับเร็วกว่านี้ไม่ได้เหรอพี่” ฉันบอกอย่างร้อนใจ มองถนนเบื้องหน้าแล้วรู้สึกเหมือนระยะทางมันไกลกว่าปกติ ทั้งๆ ที่ก็เป็นถนนเส้นเดิมที่ใช้สัญจรไปมาทุกวัน “ตาหนูยังไม่หยุดถ่ายเลย พี่ดาวไลน์บอกเมื่อกี้” ฉันกำโทรศัพท์ในมือแน่น มองใบหน้าด้านข้างของคนขับด้วยสายตาร้อนใจ ฉันไลน์บอกเรื่องตาหนูป่วยให้ทุกคนในบ้านรู้แล้ว แต่ละคนก็ยิงคำถามกลับมารัวๆ จนตอบไม่ทัน แม่ก็โทรมา คะนิ้งก็โทรถามโน่นถามนี่วุ่นวายไปหมด แต่ก็ไม่มีใครอยู่ใกล้ตาหนูเท่าฉัน แม่ก็ติดงานออกมาไม่ได้ ส่วนคะนิ้งอยู่กับริกกี้บอกว่าจะรีบตามมาให้เร็วที่สุด “นี่ก็รีบแล้ว เพนนีใจเย็นๆ นะ ตาหนูมีคนคอยดูแลอยู่” พี่ลีไทน์ยังคงปลอบใจฉันในทำนองเดิมเหมือนทุกครั้งที่ฉันเร่งเร้าอย่างไร้เหตุผล Line! ~ พี่ดาว : น้องตัวซีดมากเลยค่ะ ให้ดื่มเกลือแร่แล้วแต่ก็ยังไม่ดีขึ้น กำลังพาน้องไปโรงพยาบาล น้องนีอยู่ไหนแล้วคะ หัวใจฉันกระตุกวูบเมื่ออ่านข้อความล่าสุด รีบกดโทรออกอย่างไว เสียงสัญญาณดังไม่ถึงสองทีปลายสายก็กดรับ “พี่ดาว” [น้องนี พวกพี่ออกมาแล้วนะคะ] “นีใกล้จะถึงแล้วค่ะ หลุดโค้งนี่ก็เข้าเขตหมู่บ้านแล้ว” [งั้นน้องนีตามมาที่โรงพยาบาลเลยค่ะ น้องภามถ่ายไม่หยุดเลย พี่กลัวน้องจะช็อกก่อน…] ระหว่างที่พี่ดาวกำลังคุยก็มีเสียงร้องไห้งอแงของตาหนูดังแทรกเข้ามาตลอดเวลา เบาบ้างดังบ้างสลับกับเสียงปลอบประโลมของยายนวลภาเป็นช่วงๆ แต่ก็เหมือนสถานการณ์จะไม่ดีขึ้นเลย “คลีนิกใกล้ๆ ไม่มีเหรอคะ” ฟังจากเสียงร้องที่เริ่มแผ่วแรงลงทุกทีของตาหนูฉันก็ยิ่งร้อนใจ กลัวลูกจะเป็นอะไรไปก่อนถึงโรงพยาบาล [ปิดหมดค่ะ ก่อนหน้านี้ให้คนออกไปดูแล้ว ช่วงนี้ส่วนมากคลินิกจะไม่เปิด ต้องรอเย็นๆ] พี่ดาวพูด ตุ้บ [ไม่ขว้างนะครับ ป้าช่วยหนูหยิบหน่อย…] เสียงวุ่นวายดังขึ้น ฉันรู้ทันทีว่าตาหนูต้องก่อเรื่อง “เกิดอะไรขึ้นน่ะพี่ดาว” [ภามโยนขวดเกลือแร่ทิ้งอีกแล้ว น้องนีรีบตามมาที่โรงพยาบาลนะ] บอกเสร็จพี่ดาวก็วางสายไปเลย ฉันกำลังจะขอเฟสคอลกับลูกได้แต่อ้าปากค้าง คิดว่าถ้าตาหนูได้เห็นหน้าฉันอาจจะสงบขึ้นบ้างก็ได้ แต่ก็ไม่ทันได้พูด… ฉันเอาโทรศัพท์ลงอย่างไม่สบายใจ รีบหันไปบอกพี่ลีไทน์ให้กลับรถแล้วมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลแทน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม