พี่ลีไทน์นั่งเป็นเพื่อนฉันจนถึงสองทุ่มครึ่งก็ขอตัวกลับ ฉันเดินออกมาส่งเขาหน้าบ้าน
ระหว่างทางกลับเข้าบ้าน เสียงไลน์ก็เตือนขึ้น ฉันเอาโทรศัพท์ในมือขึ้นมาดูก่อนจะเห็นข้อความที่ทำให้ต้องหยุดเดิน
Line~
S : แก ฉันได้ยินบุ้งมันบอกว่าแกจะไม่ไปรับน้องที่เชียงคานเหรอ
กิจกรรมรับน้องที่มหาลัยจบลงไปตั้งแต่เทอมที่แล้ว เพราะมีตาหนูทำให้เข้าร่วมได้ไม่เต็มที่ โชคดีที่การรับน้องทุกวันนี้ไม่เข้มงวดเหมือนแต่ก่อน ไม่งั้นฉันอาจจะมีปัญหาก็ได้
ถึงจะผ่านช่วงรับน้องของมหาลัยมาแล้ว แต่สายรหัสยังไม่เฉลย จะไปเฉลยที่ค่ายรับน้องนอกสถานที่ เห็นว่าเป็นธรรมเนียมของคณะ ทุกคนต้องเข้าร่วมไม่งั้นจะไม่มีทางรู้เลยว่าใครเป็นพี่รหัส ถ้าเป็นฉันคนก่อนอาจจะตื่นเต้นและกำลังจดจ่ออยู่กับการแกะรอยหาพี่รหัสเหมือนเด็กปีหนึ่งทั่วไป แต่ฉันในตอนนี้กลับไม่ได้ยี่หระต่อเรื่องราวในมหาลัยแม้แต่น้อย อย่างเดียวที่ฉันให้ความสำคัญก็คือลูก
แต่การตอบคำถามพวกนี้ก็ยังสร้างความลำบากใจให้ฉันอยู่ดี
เพนนี : อืม
S : ทำไมอ่ะ
เพนนี : ที่บ้านไม่ให้ไป
ฉันโกหก แม่ยังไม่รู้เรื่องนี้เลย ถ้าฉันขอก็คงไปได้ แต่ฉันห่วงลูก ไม่อยากจากไปไหนไกลๆ เกินหนึ่งคืน กำหนดการของค่ายครั้งนี้คือสามวันสองคืน แค่คิดฉันก็ทนไม่ไหวแล้ว
S : แล้วเรื่องพี่รหัสล่ะ
เพนนี : ไม่รู้เหมือนกัน
S : เสียใจอ่ะ นึกว่าจะได้ไปด้วยกัน
ฉันส่งสติ๊กเกอร์ขอโทษเอสแล้วเก็บโทรศัพท์ลงอย่างไม่มีอะไรจะพูดต่อ เดินกลับเข้าบ้าน
“ลีกลับแล้วเหรอ”
แม่อุ้มตาหนูที่อยู่ในชุดนอนผ้าฝ้ายลงบันไดมา กวาดตามองไปรอบๆ อย่างสงสัย ก่อนจะปล่อยตาหนูที่กำลังดิ้นลงบนพื้น
“กลับแล้ว ...ไงสุดหล่อทำไมยังไม่นอนครับ”
ฉันยื่นมือไปหาลูกที่เดินตุปัดตุเป๋เข้ามาหา ระหว่างทางมีเตะโดนตัวบล็อกบนพื้นด้วย แล้วก็ก้มเก็บติดมือก่อนเดินมาหาแม่
“มะ...” ตาหนูยื่นบล็อกในมือที่เป็นรูปรถเก๋งมาให้ ฉันรับมาดูพลางเลิกคิ้ว
“อะไรครับ ให้แม่เหรอ”
ตาหนูเบียดขึ้นมานั่งบนตักแล้วโอบแขนรอบคอฉันก่อนจะโน้มหน้ามาจุ๊บแก้ม
ภายในใจฉันพลันอุ่นวาบที่อยู่ดีๆ ลูกก็มาแสดงความรักแบบนี้ ถึงจะเป็นการกระทำประสาเด็กก็เถอะ ฉันชำเลืองสายตาไปทางแม่ที่นั่งอยู่บนโซฟาและกำลังมองเราด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา อยากถามแม่ว่าที่ตาหนูทำแบบนี้เพราะงอแงอะไรมาหรือเปล่า แม่ยิ้มเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“ไม่ยอมให้ยายพาเข้านอนน่ะสิ สุดท้ายก็ต้องพาลงมาหาแม่”
“อ้อ...” ฉันมองรถไม้ในมือ งั้นนี่ก็คือสินบนที่จะให้แม่นีพาเข้านอนน่ะสิ
เข้าใจทำนะตาหนู ไม่รู้ติดมาจากใคร
ฉันลูบหลังลูกเบาๆ แล้วหอมแก้มย้วยหนึ่งฟอด “...แม่นียังทำงานไม่เสร็จเลย ภามให้ยายนอนเป็นเพื่อนไปก่อนได้ไหม เดี๋ยวแม่นีเสร็จแล้วจะรีบไปเปลี่ยนกับยายนะครับ”
“มะ”
ไม่ฟัง แถมยังดึงคอเสื้อกับเส้นผมแม่ด้วย
“ภามไม่เอาลูกแม่นีเจ็บ”
ฉันแกะมือตาหนูออกจากเส้นผม แต่ลูกก็ยังเกาะแกะไม่เลิก นั่งเหยียดขาอยู่บนตักแล้วก็เอาหน้ามาซบกับอกแม่อย่างไม่ยอมไปไหน
ความอุ่นจากร่างเล็กๆ ทำฉันเริ่มใจอ่อน
กระทั่งแม่ที่นั่งดูอยู่ก็ยังทนมองไม่ไหว “นีพาตาหนูขึ้นนอนเถอะ ถ้างานด่วนก็ให้ตาหนูหลับแล้วค่อยลงมาทำ นี่ก็ได้เวลานอนแล้วด้วย”
ได้ยินแม่พูดฉันก็ไม่ได้เถียง พยักหน้าตามที่แม่บอก ก่อนจะมองไปที่ประตู “แล้วคะนิ้งล่ะ”
ก่อนออกไปยัยนั่นไม่ได้บอกว่าจะกลับหรือเปล่า ฉันเองก็ลืมถาม
“โทรมาบอกลุงแล้วว่าอาจจะกลับเช้า ปิดบ้านได้เลยไม่ต้องรอ”
“อ่อ”
“เพนนี”
ฉันกำลังอุ้มตาหนูกำลังจะลุกขึ้น แต่เสียงเรียกของแม่ก็ทำให้ฉันชะงัก มองหน้าแม่อย่างรอฟัง
“เพื่อนริกกี้... คงไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นหรอกนะ”
ฉันสูดหายใจลึก มองตอบสายตาคาดเดาของแม่ด้วยสายตาเรียบนิ่ง แต่กลับรู้สึกสั่นไหวอยู่ในใจ
“นีไม่รู้เหมือนกันค่ะ คะนิ้งไม่ได้บอกรายละเอียด นีพาตาหนูขึ้นนอนก่อนนะ แม่ก็อย่าอยู่ดึกล่ะ” พูดเสร็จฉันก็เดินออกมาทันที เป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากพูดถึงเขาต่อหน้าลูก
ไม่อยากให้ตาหนูได้ยินได้ฟังอะไรทั้งนั้น
เสียงนาฬิกาปลุกที่ดีที่สุดคือเสียงร้องไห้ของลูก ยิ่งเป็นช่วงเดือนแรกยิ่งแทบไม่ได้นอน โชคดีมีคนช่วยเลี้ยงหลายคนฉันถึงสามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้โดยที่จิตใจไม่ผุพังไปมากกว่าที่เป็น
เสียงร้องดังมาจากทางเตียงนอน้ด็กที่อยู่ข้างๆ
ฉันงัวเงียลุกขึ้นหรี่ตามองนาฬิกาสะท้อนแสงบนโต๊ะหัวเตียง ตีสี่ห้าสิบ... ถึงจะอยากล้มตัวลงนอนต่อแค่ไหนก็ต้องตัดใจ เอี้ยวตัวไปเปิดไฟหัวเตียงก่อนขยับมาที่เตียงตาหนู
“แม่อยู่นี่... แม่อยู่นี่...”
ฉันโน้มหน้าเข้าไปใกล้ให้ลูกเห็นหน้า ก่อนจะเช็กผ้าอ้อมและก็เป็นอย่างที่คิด ลูกอึ
ฉันอุ้มลูกเข้าห้องน้ำอย่างสะลึมสะลือ ทำความสะอาด เปลี่ยนผ้าอ้อมจนเสร็จ เจ้าตัวเล็กก็หยุดร้องพอดี ฉันอุ้มลูกกลับมาที่เตียง ชวนมขวดใหม่ให้ รอจนลูกหลับค่อยลงมาช่วยงานบ้านข้างล่าง
ไม่นานแม่กับลุงก็เดินตามกันลงมาเพื่อเตรียมอาหารเช้า แม่เข้าครัว ส่วนลุงเก็บขยะในบ้านออกไปทิ้งข้างนอกก่อนจะซื้อน้ำเต้าหู้ที่หน้าปากซอยติดมือกลับมาด้วย ทำเป็นกิจวัตรแบบนี้ทุกเช้า
“วันนี้นีมีเรียนช่วงบ่ายใช่เปล่า” แม่ถามระหว่างนั่งกินมื้อเช้ากันสามคนในครัว
“อืม”
“บอกยายนวลหรือยังล่ะ”
“บอกแล้ว” ฉันตอบอย่างไม่ใส่ใจ แม่มองฉันพุ้ยข้าวเข้าปากแล้วถอนหายใจเหมือนมีเรื่องอะไรในใจ ทำให้ลุงที่สังเกตเห็นความผิดปกติเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องห่วงหรอกโย คุณแม่ท่านไม่ว่าอะไรหรอก”
คุณแม่ที่ลุงพูดถึงก็คือยายนวลภา ยายของคะนิ้ง ซึ่งจะนับตามสายเลือดแล้วก็ไม่เกี่ยวกับฉันเลย
ยายนวลภาเป็นแม่ของแม่คะนิ้งที่เสียไป แม้แต่ลุงที่เป็นลูกเขยยังไม่ถูกนับญาติตั้งหลายปี เพิ่งจะกลับมาติดต่อกันเมื่อเร็วๆ นี่เอง
เห็นว่ายายนวลภาโกรธที่ลูกสาวมาคบกับคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างลุง ก็เลยโกรธและตัดหางทั้งคู่ปล่อยวัด หลังจากภรรยาเสีย ลุงคณินก็เลี้ยงดูคะนิ้งคนเดียวจนมาเจอกับแม่ฉันเนี่ย
ความสัมพันธ์ของแม่กับลุงตอนแรกฉันก็ไม่เห็นด้วยหรอก เคยทะเลาะกับแม่ขั้นรุนแรงก็เพราะเรื่องนี้ ที่หนีออกจากบ้านไปก็เนื่องจากไม่พอใจที่แม่แต่งงานใหม่ทั้งที่พ่อฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ เป็นอะไรที่พอคิดย้อนกับไปแล้วก็ยิ่งเห็นถึงความงี่เง่าและสิ้นคิดของตัวเอง
ถ้าแม่กับพ่อรักกันดี ชีวิตคู่มีความสุข ก็คงไม่แยกทางกันแล้วไปแต่งงานกับพ่อหม้ายลูกติด... ฉันไม่เคยคิดถึงความรู้สึกที่แม่ต้องเผชิญเลยสักนิด
ฉันเคยเป็นลูกที่แย่มาก...
“แต่โยก็เกรงใจท่านอยู่ดีนี่คะ โยกลัวท่านจะคิดว่าพวกเราเอาภาระไปให้”
แม่ยังคงคิดมาก ทุกครั้งที่มีเรียนฉันจะพาตาหนูไปฝากไว้กับยายนวลภา ที่นั่นมีทั้งแม่บ้านและก็พยาบาลพิเศษที่คอยดูแลยายนวลภา จึงเหมาะที่จะพาเด็กไปฝากไว้
“แม่ไม่ต้องห่วง ยายนวลไม่ใช่คนที่จะยอมทำอะไรโดยไม่เต็มใจ ที่ทำท่าไม่พอใจเวลาเราไปรบกวนน่ะก็แค่ทำไปอย่างนั้นเองที่จริงยายแอบยิ้มอยู่ต่างหาก แค่ปากไม่ตรงกับใจเฉยๆ ”
“ยัยนีไปเอาความมั่นใจมาจากไหน”
“ก็นีเคยไปอยู่กับยายตั้งแต่ตาหนูยังไม่เกิด ทำไมนีจะไม่รู้ล่ะ”
“ลูกคนนี้นี่จริงๆ เลย ห้ามพูดแบบนี้ต่อหน้าท่านเด็ดขาดเข้าใจไหม” แม่ปราม พลางมองมาด้วยสายตาไม่พอใจนิดๆ
“นีรู้น่า...” ฉันบอกอย่างขอไปที
ลุงคณินหัวเราะเบาๆ กับบทสนทนาของเราสองแม่ลูก ไม่ได้พูดอะไรอีก
จนได้เวลาที่ทั้งคู่ต้องออกไปทำงาน เจ็ดโมงเช้าพอดี แม่หันมาสั่งความอีกรอบเกี่ยวกับฟืนไฟ พร้อมกับกำชับว่าอย่าลืมล็อกประตูตอนออกไปข้างนอก
“กับข้าวตาหนูวางอยู่ในชั้นนะ แม่ใส่กล่องเอาไว้แล้ว”
“รู้แล้ว ย้ำสามรอบแล้ว”
ฉันบอกอย่างขี้คร้านจะฟังหลายๆ หน แม่พ่นลมหายใจพรืด ก่อนยื่นมือออกมาระหว่างยืนอยู่หน้าประตู ฉันเดินเข้าไปหาอย่างรู้งาน แล้วแม่ก็ดึงฉันเข้าไปกอดหลวมๆ
“แม่เป็นห่วงลูกนะ อย่าทำอะไรเกินตัว เข้าใจไหม”
“เข้าใจค่ะแม่ ไปได้แล้ว ลุงรอแล้วโน่น”
“อืมๆ ”
แม่พยักหน้าแล้วรีบสวมรองเท้าเดินไปขึ้นรถคันเดียวกับลุง ส่วนรถคันของแม่ แม่ทิ้งไว้ให้ฉันขับไปเรียน
หลังลุงกับแม่ออกไปแล้ว ฉันรีบวิ่งขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนชุดลำลองก่อนเพราะอยู่บ้านคนเดียว ถ้าชักช้าตาหนูตื่นมันจะทำอะไรลำบาก ส่วนชุดนักศึกษาเอามาห้อยไว้ในรถ รอไปเปลี่ยนที่บ้านยายนวล
ตาหนูตื่นแล้ว ร้องไห้งอแงเหมือนเดิม แต่พอเห็นหน้าแม่ก็หยุดร้องทันควัน ฉันยกตัวลูกลงจากเตียง จับแขนเล็กๆ ขยับขึ้นลงเบาๆ พร้อมกับร้องเพลงเจ้านกน้อยไปด้วย พอลูกหายงัวเงียและรู้สึกตัวมากขึ้นก็อุ้มมาเข้าห้องน้ำ อาบน้ำล้างหน้าล้างตาโชคดีที่วันนี้ไม่งอแง ยอมลงอ่างอย่างว่าง่าย
ฉันอุ้มตาหนูลงมาข้างล่างหลังเสร็จภารกิจในห้องน้ำ วางลูกไว้ที่พื้นในห้องโถงปล่อยลูกเล่นคนเดียว ส่วนฉันเข้ามาเตรียมข้าวเช้าให้ลูกในครัว
“ข้าวมาแล้วครับ... มีล้อรถระเบิดด้วยยย” เวลาอาหารต้องเล่นใหญ่ ไม่งั้นจะไม่ดึงดูดและไม่ยอมกินให้
“ภามดูนี่ แม่นีมีล้อรถตั้งหลายเส้น งั่บ... อื้ม! ล้อรถวันนี้อร่อยมาก กินแล้วจะมีเสียงบรื้นๆ ออกมาจากท้องด้วย บรื้นๆ ”
“บรืน~ บรืน~”
ตาหนูอ้าปากรับหอมหัวใหญ่ทอดทันที แล้วก็เลียนเสียงฉันพลางกระโดดเหยงๆ เท่าที่ร่างเล็กๆ จะทำได้อย่างชอบอกชอบใจ
“อ๊ะๆ เติมน้ำมันด้วย” ฉันส่งโจ๊กให้ ตาหนูอ้าปากรับแล้วก็ส่งเสียงบรืนๆ จนเศษอาหารกระเด็นออกมาจากปาก
“เวลาเติมน้ำมันให้ดับเครื่องก่อนรู้ไหม เลอะหมดแล้ว”
“....” ภามทำตาปริบๆ ไม่ได้ฟังอะไรเลย ยื่นมือหยิบหอมหัวใหญ่ทอดใส่ปากเอง ท่าทางเหมือนแกล้งเมินกันยังไงก็ไม่รู้ เฮ้อ ระหว่างที่ฉันกำลังเช็ดเศษอาหารที่กระเด็นเลอะเทอะ เสียงกุกกักก็ดังมาจากทางประตูบ้าน ไม่นานร่างบางของคะนิ้งก็เดินเข้ามา
“กลับมาแล้วเหรอ”
คะนิ้งพยักหน้าท่าทางเหนื่อยๆ เดินมาลูบหัวตาหนูเล่นแป๊บๆ ก็ขอตัวขึ้นไปข้างบน
“วันนี้จะพาภามไปที่บ้านยายใช่ไหม” ระหว่างขึ้นบันไดจู่ๆ ยัยนั่นก็หันกลับมาพูด ฉันก็นึกว่าจะพูดเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องตาหนู แล้วทำไมต้องรู้สึกผิดหวังแบบนี้ด้วยนะ
“อืม” ฉันส่งเสียงตอบออกไปอย่างเนือยๆ คะนิ้งพยักหน้ารับรู้แล้วก็เดินขึ้นบันไดไปโดยไม่พูดอะไรอีก
คล้อยหลังคะนิ้ง บรรยากาศก็เงียบลงจนน่าประหลาด... ฉันสูดหายใจลึก สะกดกลั้นความรู้สึกที่กำลังล่องลอยอย่างไร้ทิศทางไม่ให้พลัดหลงไปไกล ป้อนข้าวตาหนูต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น