ตาหนูหลับไปแล้วพร้อมกับกอดบล็อกที่ต่อเป็นรถไฟยาวเกือบเท่าแขน ที่จริงก็แค่เอามาต่อเรียงกันแล้วมโนว่าเป็นรถไฟนั่นแหละ
“ฮานก็อยู่โรงบาลนี้”
เสียงคะนิ้งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในห้อง ฉันไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ไม่หือไม่อือ ทำเหมือนยัยนั่นแค่บ่นไปเรื่อยเปื่อย
เงียบกันไปสักพัก คงเห็นว่าฉันเมินฮานโดยสมบูรณ์คะนิ้งจึงพูดเรื่องใหม่ขึ้นมา “เรื่องค่ารักษายายบอกจะออกให้นะ”
“หือ?” เรื่องนี้ฉันไม่สนใจไม่ได้ หันไปมองคะนิ้งอย่างแปลกใจ “ไม่ต้องก็ได้ แค่พาตาหนูไปฝากที่บ้านก็เกรงใจมากพอแล้ว”
“ยายคงรู้สึกผิดที่ดูแลภามไม่ดีนั่นแหละ”
“แต่ก็ไม่ใช่ความผิดยายนี่” ฉันแย้ง ไม่อยากโทษใครทั้งนั้น
“เถอะน่า ยายคงทำเพื่อความสบายใจนั่นแหละ เธอก็ไม่ต้องคิดมากล่ะ”
“อืม”
ฉันตอบรับสั้นๆ เพราะรู้ว่าพูดเยอะไปก็เท่านั้น
ภายในห้องตกสู่ความเงียบอีกครั้ง มีเสียงเตือน Line~ ดังขึ้นเป็นพักๆ ทั้งจากเครื่องฉันและจากเครื่องของคะนิ้ง เราสองคนต่างก้มหน้ายุ่งอยู่กับหน้าจอมือถือตัวเอง ไม่ก้าวก่ายกัน
22.20 นาฬิกา
ลีไทน์ : ตัวเล็กเป็นยังไงบ้าง
พี่ลีไทน์ทักมา
เพนนี : หลับไปแล้ว
ลีไทน์ : อ่อ แล้วมีอาการอีกหรือเปล่า
เพนนี : ถ่ายไปรอบหนึ่ง ตอนนี้ยังดื่มอะไรไม่ได้ ดื่มได้แน่นม
ลีไทน์ : อืม เดี๋ยวก็ดีขึ้น สู้ๆ
เพนนี : พี่ติวหนังสือเสร็จแล้วเหรอ
ลีไทน์ : พักเบรกสิบนาที อีกเดี๋ยวก็จะต่อแล้ว
เพนนี : เสร็จกี่โมงเนี่ย ติวอะไรดึกดื่น ไม่ง่วงเหรอ
ลีไทน์ : ฮ่าๆ นักเรียนพี่มาพอดี ไว้คุยกัน
เพนนี : (ส่งสติ๊กเกอร์)
ฉันสลับหน้าจอไปทำอย่างอื่น ตอนนั้นคะนิ้งก็ลุกขึ้นเดินไปที่ประตู ฉันชำเลืองมองเงียบๆ ก่อนจะเห็นยัยนั่นแง้มประตูออกไปชะโงกหน้าเรียกใครสักคน
“ริก... ทางนี้”
ฉันดึงสายตากลับมาอย่างไม่ใส่ใจ กระทั่งริกกี้เข้ามาในห้องถึงหันกลับไปมองอีกรอบ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แค่สบตากับหมอนั่นเป็นเชิงรับรู้ว่าเขามาเฉยๆ
ริกกี้มากับคะนิ้งตั้งแต่แรก แต่ที่เพิ่งโผล่หน้ามาก็เพราะไปแวะที่อื่นก่อน ส่วนจะเป็นที่ไหนนั้นฉันไม่อยากนึกถึง
“หลับแล้วเหรอ” ริกกี้มองไปทางเตียง เมื่อเห็นตาหนูหลับไม่รู้เรื่องเขาก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยวฝั่งที่ติดกับปลายเท้าฉัน
ฉันที่ทอดตัวนอนเล่นมือถืออยู่บนโซฟายาวลุกขึ้นนั่งอย่างเสียไม่ได้ เอาหมอนขึ้นมาวางไว้บนตัก ครางตอบเสียงในลำคอสั้นๆ “อืม”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้มารับ... หรือริกจะค้างนี่เป็นเพื่อนนิ้งดี” หมอนั่นมองคะนิ้งที่เดินมานั่งโซฟาตัวเดียวกับฉัน ตรงตำแหน่งปลายเท้าฉันก่อนหน้านี้ อยู่ใกล้ริกกี้ตามระเบียบ
คะนิ้งส่ายหน้า
“ไม่ต้องหรอก ริกเพิ่งแข่งรถมาเหนื่อยๆ กลับไปนอนห้องนั่นแหละดีแล้วจะได้สบายๆ”
“แค่ได้อยู่ใกล้นิ้งไม่ว่าที่ไหนก็สบายหมดแหละ”
“จะอ้วก”
ฉันมองสองผัวเมียตรงหน้าหยอดคำหวานใส่กันอย่างทนไม่ไหว ริกกี้ชำเลืองสายตามาทางฉันแวบหนึ่ง ก่อนพูดขึ้นมาลอยๆ
“ถ้าเหงาก็ไปที่ห้อง 807 ไป จะได้ไม่ว่างมาอิจฉาคนอื่นแบบนี้”
“ใครอิจฉา รำคาญต่างหาก”
“เหรอ”
“อืม!”
“หึ...” ริกกี้ทำเสียงในลำคอล้อเลียนฉันอีก
“ริก! ไม่เอาน่า”
ถ้าไม่ใช่เพราะคะนิ้งรีบปรามซะก่อนฉันคงได้สวนกลับหมอนั่นให้รู้สึกเจ็บแสบไปแล้ว ไม่รู้เป็นไร ชอบกวนประสาทกันชะมัด แต่ก็นั่นแหละ ถ้าฉันไม่ปากไวก็คงไม่ได้จิกกัดกันไปจิกกัดกันมาให้สนุกปากแบบนี้เหมือนกัน
“กลับยังเดี๋ยวนิ้งเดินไปส่งที่รถ” คะนิ้งถือโอกาสไล่หมอนั่นกลับ ริกกี้หน้าหดลงทันที
“อยากอยู่กับนิ้งไม่ได้เหรอ”
“กลับเหอะ ขี้เกียจฟังคนทะเลาะกัน” ยัยนั่นมิวายพาดพิงถึงฉัน
ริกกี้ทำเป็นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าอย่างไม่มีทางเลือก “กลับก็ได้ แต่นิ้งอยู่นี่แหละ ไม่ต้องเดินไปส่ง ดึกแล้ว”
“ก็ได้... งั้นนิ้งเดินไปส่งที่ลิฟต์นะ”
“โอเค”
ริกกี้ยิ้มรับอย่างอ่อนใจกับความดื้อดึงจะเดินไปส่งของคะนิ้ง ฉันมองทั้งคู่เดินออกประตูไปก่อนจะถอนหายใจระลอกหนึ่ง นึกถึงคำพูดของริกกี้ขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ
ห้อง 807...
ไม่สิ ไม่... นี่ฉันจะเก็บเอามาคิดให้รกสมองทำไม ฉันสะบัดหน้าเรียกสติให้ตัวเอง ลุกขึ้นไปดูตาหนูที่เตียง ใช้ลูกเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ไม่รู้ทำไม พอมองใบหน้าไร้เดียงสาของตาหนู ฉันรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
‘...เธอเลี้ยงเขาโดยไม่มีพ่อไม่ได้’
จู่ๆ คำพูดนั้นก็ลอยเข้ามาในหัว ฉันหลับตาพยายามไล่ความรู้สึกหวั่นไหวออกไปก่อนที่มันจะทำให้จิตใจฉันสั่นคลอนจนถูกความเครียดเข้าครอบงำ
ฉันเข้าใจดีว่าที่ฮานพูดหมายถึงอะไร ...แล้วคิดว่าฉันไม่เตรียมใจเอาไว้สำหรับตอบคำถามลูกในอนาคตหรือไง
ฉันมั่นใจว่าสามารถอธิบายเรื่องพ่อให้ลูกฟังได้ และเชื่อว่าลูกต้องเข้าใจ แต่เพราะคำพูดฮานทำให้ฉันกลับไปคิดเรื่องนี้ใหม่อีกครั้งทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าคิดมากไปก็ไม่ได้อะไร ทั้งที่รู้แบบนั้นก็ยังสงบใจไม่ได้สักที
คะนิ้งกลับจากไปส่งริกกี้ ยัยนั่นไม่ได้พูดอะไร แค่เดินมานั่งโซฟา หยิบจับโน่นนี่นั่นสักพักก็เข้าห้องน้ำเปลี่ยนชุดนอน
“จะนอนหรือยัง” คะนิ้งถาม
“อือ ง่วงแล้วเหมือนกัน”
พอฉันบอกแบบนั้น คะนิ้งก็เอาที่นอนปิ๊กนิกออกมาปูบนพื้น สละที่นอนบนโซฟาให้ฉันอย่างไม่เรื่องมาก ฉันปิดไฟ เหลือโคมไฟผนังไว้ให้ตาหนูหนึ่งดวง เผื่อสะดุ้งตื่นกลางดึกจะได้ไม่กลัวมาก
สมกับเป็นโรงพยาบาลหรู ขนาดเสียงเครื่องปรับอากาศยังเบาจนแทบไม่ได้ยิน ฉันหลับตาลง... แล้วก็ลืมตาขึ้นมองเพดานขาวโพลนซึ่งถูกความสลัวรางปกคลุม
อยากนอนแต่นอนไม่หลับ
“นิ้ง...”
ท่ามกลางความเงียบมีเพียงเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอดังตอบ พอชะโงกหน้าขึ้นมองก็เห็นว่ายัยนั่นหลับไปแล้วเรียบร้อย
หลับง่ายจนน่าอิจฉา
ฉันลุกขึ้นนั่งมองความนิ่งสงบภายในห้อง ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นเดินมาดูตาหนูที่เตียง จับผ้าห่มที่ร่นลงไปอยู่ตรงท้องลูกขึ้นมาคลุมถึงอก มองใบหน้ากลมๆ ของลูกอย่างรู้สึกรักใคร่ อดหวนคิดถึงวันที่รู้ว่าตั้งท้องใหม่ๆ ขึ้นมาไม่ได้ ตอนนั้นฉันทั้งสับสน ทั้งกลัว เคยคิดแม้กระทั่งจะเอาลูกออกเพื่อประชดฮาน หาคลินิกเอาไว้แล้วด้วย ไม่รู้บังเอิญหรือเคราะห์ดีของฉันกับตาหนูที่คลินิกนั่นถูกตำรวจบุกค้นพอดี ทำให้ฉันสำนึกขึ้นมาได้ ว่าบาปกรรมอาจจะกำลังส่งสัญญาณเตือนอยู่ก็ได้ ฉันจิตตกอยู่หลายวันกว่าจะกู้จิตใจที่เสียหายจากความคิดที่แสนต่ำทรามของตัวเองกลับคืนมาได้ ทว่าการต่อสู้กับพลังด้านลบของจิตใจก็ไม่ได้จบแค่นั้น มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ที่จะผ่านทั้งหมดมาได้ด้วยตัวคนเดียว ต่อให้มีผู้คนรายล้อม คอยส่งกำลังใจไม่หยุด แต่ความรู้สึกโดดเดี่ยวก็ไม่เคยขาดหายไปจากหัวใจ
ฉันเคยปรารถนาให้ฮานกลับมา เคยฝันถึงเขาทุกลมหายใจ วาดภาพคุณพ่อที่แสนอบอุ่นคอยอุ้มลูก เล่นกับลูก สร้างครอบครัวที่มีความสุขไปด้วยกัน
...แต่นั่นก็แค่ช่วงแรก
ความไร้เดียงสาแบบเด็กสาวค่อยๆ เลือนหายจากหัวใจเมื่อฉันรู้ชัดว่าฮานไม่เคยรักฉัน
ความเป็นจริงนั้นขมขื่น แต่การหลอกตัวเองขมขื่นยิ่งกว่า
ฉันตัดใจจากฮานไปแล้ว ตั้งแต่ตาหนูลืมตาขึ้นมาดูโลก ฉันก็สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ย้อนกลับไปมองข้างหลัง และจะไม่ปล่อยให้อดีตกลับมาทำลายความสุขของเราสองแม่ลูกเด็ดขาด แต่เขาก็กลับมา... แถมยังแสดงออกชัดเจนว่าเป็นพ่อของตาหนู ตอนนี้ตาหนูยังเด็ก ยังไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าขืนฮานยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เราสองคนแม่ลูกแบบนี้ฉันเกรงว่าไม่ช้าไม่เร็วตาหนูต้องรู้ความจริงเรื่องพ่อ ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้น อย่างน้อยๆ ก็ให้ตาหนูโตพอที่จะแยกแยะได้ ถึงตอนนั้นไม่ว่าลูกถามอะไรฉันก็ยินดีตอบทั้งหมด