ณ ห้องทำงานผู้อำนวยการใหญ่โรงพยาบาลบีเจซี...
ชลนทีมานั่งรอรายงานตัวกับศาสตราจารย์แพทย์หญิงศลิน จุไรรัตน์ ป้าแท้ๆ ของศรัณย์ ซึ่งท่านเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลและประธานองค์การแพทย์ประจำโรงพยาบาลเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางดำเนินงานและรายงานตัวเข้าเป็นแพทย์ที่นี่อย่างเป็นทางการ
“ท่านมีแขกอยู่ รบกวนคุณหมอรอสักครู่นะคะ อีกไม่เกินสิบนาที” เลขานุการผู้ที่เพิ่งให้หล่อนเซ็นสัญญาเป็นแพทย์ประจำและพาไปรายงานตัวแก่ฝ่ายบุคคลพาหญิงสาวมารออยู่ที่หน้าห้องทำงานของศลิน เสียงฝีเท้าคนที่เดินเข้ามาจากห้องโถงทำให้ชลนทีเลือกยืนรอหน้าห้อง
รอยยิ้มที่เตรียมจะยิ้มทักทายป้าของศรัณย์ที่หล่อนสนิทสนมด้วยตั้งแต่ตอนเรียนจบแล้วมาขึ้นเวรพาร์ทไทม์เป็นแพทย์แผนกตรวจร่างกายนั้นไม่ได้กว้างเท่าที่ใจคาดหมาย หากแต่มันเป็นยิ้มที่แสนจืดเจื่อนมาก ขาที่ยืนอยู่นั้นแทบจะทรุดลงนั่งไปกับโซฟา เมื่อเห็นคนที่เดินตามท่านมา
“อ้าวหนูน้ำ มาพอดี” เสียงของศลินทำให้ชลนทีเบนความสนใจแล้วทำให้เขาเป็นเหมือนอากาศแม้มันค่อนข้างยากเย็น
เขาเป็นคนที่ทำให้รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของหล่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะพบเพียงเพื่อผ่านและไม่ได้มีเวลาด้วยกันที่เนิ่นนาน แต่ชานป๋อเสียนคือเครื่องหมายความเจ็บปวดของหัวใจของหล่อน ที่ทำให้หล่อนแทบกู้รอยยิ้มสดใสกลับมาไม่ได้...
เขาเองมองหล่อนด้วยสายตาที่เกลียดชังในสิ่งที่เขาคิดว่าหล่อนเป็น โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาปรักปรำหล่อนนั้นมันสร้างความเจ็บปวดให้หล่อนมากมายแค่ไหน...
การที่หลบหลีกหนีมาไกลแล้วยังได้เจอเขาทำให้หล่อนเจ็บปวด หล่อนยอมรับ หากแต่ความตั้งใจที่จะมองเขาเป็นอากาศเขาจะได้ลดข้อกล่าวหาว่าหล่อนระริกระรี้อยากได้เขานักหนาสักข้อหาหนึ่ง หล่อนจึงทำหน้านิ่งๆ เป็นมืออาชีพแล้วทักทายกับศลิน อย่างที่ควรจะเป็น
“สวัสดีค่ะคุณป้า... วันนี้น้ำมาเริ่มงานวันแรกเลยมารายงานตัวกับคุณป้าก่อนเลขาแพทย์จะพาลงไปทำงานที่แผนกน่ะค่ะ”
“มาหนูน้ำป้ากำลังรอพอดี เดี๋ยวป้าแนะนำให้รู้จักกับคุณชานป๋อเสียน ผู้ถือหุ้นของโรงพยาบาลฮ่องกงดรากอน ทางเราเพิ่งลงนามขายหุ้นบางส่วนให้ทางฮ่องกงดรากอนเพื่อความร่วมมือด้านการแพทย์และการส่งตัวผู้ป่วยร่วมกันในอนาคตจ้ะ”
ศลินบอกเป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็นั่นล่ะไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไรชลนทีก็แทบไม่พร้อมฟังหรือเข้าใจเพียงแต่คิดว่าหล่อนเพิ่งเซ็นสัญญาทำงานกับบีเจซีไปถึงสามปี หากว่าชานป๋อเสียนเข้ามามีบทบาทที่นี่ หล่อนเองคงเห็นเขาเป็นอากาศไม่ได้อีกต่อไป อย่างน้อยที่สุดก็ตอนนี้ ที่หล่อนต้องยกมือไหว้ทักทายเขาและเดินเข้าไปคุยกับศลินและเขาเหมือนกับว่าเพิ่งรู้จักและยินดีร่วมงานกันหนักหนา ทั้งที่หล่อนก็กระอักกระอ่วนและเขามองมาด้วยสายตาเหนือชั้นกว่าตลอดเวลา
เคยได้ยินศรัณย์พูดแว่วๆ ในวันก่อน ว่าทางโรงพยาบาลอาจจะเปลี่ยนจากเน้นลูกค้ากลุ่มประเทศอาหรับมาเน้นลูกค้าทางฝั่งจีน แต่ไม่นึกว่าคนที่เขาร่วมทุนด้วยคือชานป๋อเสียน ถ้ารู้อย่างนี้อย่าว่าแต่สัญญาร่วมงานสามปีเลย แค่วันเดียวหล่อนก็ไม่อยากเซ็น
ยิ่งได้รู้ว่าอาจจะต้องมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ระหว่างแพทย์ทั้งสองประเทศ อาจจะต้องบินไปศึกษาดูงานที่โรงพยาบาลในสาขาฮ่องกงและสาขาจีนแผ่นดินใหญ่ หล่อนก็แทบจะยกเลิกสัญญาการทำงานให้รู้แล้วรู้รอด เพียงแต่ทำไม่ได้เลยต้องฝืนความรู้สึกและก้มหน้าก้มตาทำงานตามแพลนต่อไป
หวังว่าเขาคงมองหล่อนเป็นอากาศ ไม่อย่างนั้นคงอึดอัดใจแน่ๆ
ชลนทีคาดหวังเช่นนั้น โดยที่ไม่รู้ตัวสักนิดว่าเขาไม่มีวันมองหล่อนเป็นอากาศ คิดจะรังควานตามสั่งสอนหล่อนอีกหลายบทเรียนด้วยซ้ำไป!