1
นางร้ายดาวร่วง
‘นางร้ายอักษรย่อตัว พ. ลืมกำพืดของตัวเอง ไม่ยอมกลับไปเยี่ยมพ่อที่บ้านเกิด ทำให้พ่อผู้ให้กำเนิดต้องออกสื่อเรียกร้องความเห็นใจ อนาถนักสุดท้ายต้องตรอมใจตายก่อนได้เห็นหน้าลูก’
พาเพลินกำลังไล่อ่านข้อความข่าวที่เป็นกระแสอยู่บนโลกออนไลน์ ผู้คนแชร์ต่อ ๆ กันไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดกันง่าย ๆ ซึ่งทุกที่ล้วนแต่เสนอข่าวในมุมมองเดียวกัน มุมที่ว่าเธอนั้นลืมกำพืด และอกตัญญูต่อบิดาผู้ให้กำเนิด หญิงสาวรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมาตรงหน้าต่อตา เธอได้สูญเสียบิดาไปพร้อม ๆ กับการสูญเสียชื่อเสียงในวงการบันเทิง
หญิงสาวมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ยังไม่รู้จะจัดการกับชีวิตหลังจากนี้อย่างไรดี สักพักเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ด้านข้างดังขึ้น เป็นสายเรียกเข้าจากมารดาของเธอ ซึ่งตอนนี้ท่านได้มีครอบครัวใหม่ไปแล้วที่ต่างประเทศ
“เป็นไงบ้างเพลินแม่เพิ่งเห็นข่าวเมื่อกี้นี้เอง เพลินไหวไหมลูก” น้ำเสียงของนางพลอยใจแสดงออกถึงความห่วงใยลูกสาวของตนเป็นอย่างมาก
“ยังไหวค่ะแม่ เพลินไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมพ่ออยู่เหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าพ่อจะจากไปกะทันหันแบบนี้ นี่ก็กำลังเก็บกระเป๋าไปงานศพของพ่อค่ะ” คนเป็นลูกตอบมารดาด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ
“ดีแล้วเพลิน คิดเสียว่าไปทำหน้าที่ของลูกครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน แต่แม่คงไปงานศพพ่อเขาไม่ได้นะลูก แม่ต้องเดินทางไกลกับจอห์นเขา นี่ก็ไปค่อนข้างหลายประเทศเลยงานสำคัญด้วย” ธุรกิจของสามีค่อนข้างสำคัญกับความเป็นอยู่ของครอบครัว นางพลอยใจจึงเลือกงานมากกว่าอดีตสามีผู้ล่วงลับไปแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะแม่เพลินเข้าใจ ทางนี้เดี๋ยวเพลินจัดการเองค่ะ แม่ไม่ต้องห่วงเพลินนะคะ” คนเป็นลูกยิ้มเศร้า ๆ ระหว่างบอกมารดา
“อย่างนั้นแม่ค่อยหายห่วงหน่อย ยังไงก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะเพลิน”
“ค่ะ แม่ก็เหมือนกันนะคะ อย่าทำงานหนักมากเกินไปล่ะ”
“งั้นแม่วางสายก่อนนะเพลิน จอห์นมาเรียกไปกินข้าวแล้ว”
“บายค่ะแม่” พาเพลินเข้าใจความลำบากใจของมารดาเป็นอย่างดี เพราะตอนเลิกรากับบิดานั้น พวกท่านจากกันไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เลิกกันไปก็กลายเป็นคนอื่นในทันที หญิงสาววางโทรศัพท์มือถือลงบนหัวเตียง ภาพในอดีตเมื่อสิบแปดปีก่อนวิ่งย้อนเข้ามาในความทรงจำ
‘ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ที่นี่มันไม่มีอะไรเลยคุณอรรถ ฉันทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ ฉันจะกลับไปอยู่กรุงเทพฯ’
‘ไหนตอนแรกคุณบอกว่าคุณอยู่ได้ยังไงล่ะคุณพลอย’
‘มันก็ใช่ค่ะ เพราะว่าฉันประเมินตัวเองสูงเกินไป แต่พอมาอยู่เข้าจริง ๆ ฉันอยู่ไม่ได้ ฉันไม่เข้ากับบ้านไร่ของคุณเลยคุณอรรถ ปล่อยฉันไปเถอะนะ’
‘ทำไมคุณพูดแบบนี้ล่ะ แล้วลูกเราล่ะ’
‘ให้ลูกเลือกเองค่ะว่าจะอยู่กับใคร’
‘นี่คุณ...แล้วเพลินล่ะลูก เพลินจะอยู่กับพ่อใช่ไหม’
‘เพลินจะไปกับแม่ค่ะ’
พาเพลินจำสายตาแห่งความผิดหวังของบิดาได้เป็นอย่างดี ท่านยืนนิ่งไปหลังจากเธอตอบแบบนี้ เด็กหญิงในวัยแปดขวบยืนมองท่านด้วยสายตาแห่งความสับสน ทำไมถึงตอบแบบนั้นออกไปพาเพลินเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน อาจเพราะเธอสนิทกับมารดามากว่าบิดาก็เป็นได้
บิดาของพาเพลินยอมเซ็นใบหย่าให้ภรรยา และปล่อยให้ลูกสาวเพียงคนเดียวเดินจากไปพร้อมกับผู้เป็นแม่ นับจากนั้นพาเพลินก็ไม่เคยกลับไปเยี่ยมบิดาอีกเลย
หญิงสาวจัดกระเป๋าเสร็จแล้วก็ขึ้นไปนอนเล่นอยู่บนเตียง สักพักใหญ่ ๆ ผู้จัดการส่วนตัวของพาเพลินก็โทรศัพท์เข้ามาแจ้งข่าวร้าย
“พี่เสียใจด้วยนะเพลิน แต่งานของเพลินถูกยกเลิกหมดเลย พี่ก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว พี่บอกแล้วไงว่าให้กลับไปเยี่ยมพ่อบ้าง สุดท้ายก็เกิดเรื่องจนได้เห็นไหม” แววใจผู้จัดการชื่อดังและมีเด็กในสังกัดอยู่หลายคน พูดเหมือนเรื่องนี้เป็นความผิดของพาเพลินคนเดียว
“ไม่เป็นไรค่ะพี่แววเพลินเข้าใจดี” ใครไม่มาเป็นพาเพลินก็คงไม่รู้หรอก ว่าสิบแปดปีที่ผ่านมาบิดาของเธอไม่เคยติดต่อมาหาเลย แต่แล้วจู่ ๆ กลับไปออกสื่อเรียกร้องให้เธอกลับไปเยี่ยม ตอนนั้นหญิงสาวรู้สึกไม่พอใจท่านเป็นอย่างมาก เพราะการทำแบบนั้นก็เท่ากับทำร้ายเธอซึ่ง ๆ หน้านี่เอง
“เพลินถือสายรอแป๊บหนึ่งนะ” แววใจหันไปพูดกับใครบางคนด้านข้าง ระหว่างให้พาเพลินถือสายรอ
พาเพลินไม่ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ และไม่ปฏิเสธข่าวแต่อย่างใด นั่นยิ่งทำให้ผู้คนออกมาตำหนิหญิงสาวกันอย่างมันมือบนโลกโซเซียล กระทั่งหลังจากนั้นเพียงหนึ่งเดือนข่าวบิดาของเธอเสียชีวิตจากโรคร้ายก็ตามมา คราวนี้นางร้ายชื่อดังเลยมีคำว่าลูกสาวอกตัญญูแปะหน้าในทันที
“ถึงไหนแล้วนะ อ้อ พี่คงไปงานศพพ่อของเพลินไม่ได้แล้วนะ พี่ติดงานใหญ่ที่ปารีสพอดี” แววใจหันกลับมาพูดกับพาเพลินต่อ
“ไม่เป็นไรค่ะพี่แวว เพลินไปคนเดียวได้” พาเพลินพูดเหมือนเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองดี ทั้งที่ในใจนั้นนึกอยากให้ใครไปเป็นเพื่อนสักคน
“งั้นก็เดินทางปลอดภัยนะ พี่ต้องไปทำงานต่อแล้ว แค่นี้ก่อนนะเพลิน”
“ค่ะพี่แวว” กดวางสายแล้วเจ้าของใบหน้าเศร้าสร้อยก็มองเหม่อไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย