ตอนที่ 4

1471 คำ
4 ขนาดมีคนทักว่าไปวิ่นวุ่นกลางแดดแบบนั้น ไม่กลัวตัวจะดำเมี่ยงเป็นถ่านแล้วจะขายไม่ออกหรือไง คำตอบที่เขามักได้ยินเธอโต้กลับไปก็คือ... “โอ๊ย!! จะไปกลัวอะไรล่ะจ๊ะ ไม่มีผัว หนูก็ไม่เห็นจะตายนี่น่า มือเท้าหนูมีครบ ทำมาหากินเลี้ยงตัวเองได้ ไปพึ่งผัวนะ เห็นท่าจะยากล่ะจ้ะ เพราะมันคอยแต่จะไถเรามากกว่าจะช่วยทำมาหากิน เห็นแต่จะพากันจมลงก้นทะเลมากกว่าจ้า” จากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถามอีก คงเพราะเบื่อระอากับคำตอบแปลกๆ ที่กฤติกาช่างสรรหามานั่นเอง “เปล่านะ...ขับเป็นโว้ย” กฤติกาโวยวายให้เสียงดังข่มไว้ก่อน “ก็น้ำมันแพงนี่หว่า เปลืองนะแกเข้าใจไหม เปลืองตังค์ เข้าใจไหม” หญิงสาวทำหน้าใสซื่อ แต่น้ำเสียงกลับเบาลงไปผิดกันราวหนังคนละม้วน มวยคนละรุ่น “อีกอย่าง ขับรถไม่เป็นน่ะดีจะตายนะแก เวลาไปไหนมาไหนก็ได้นั่งซ้อนท้าย ไม่เหนื่อยไม่เมื่อยด้วย” ขอให้ได้เถียงก่อนแล้วกัน แม้เหตุผลที่อ้างไปนั้นจะข้างๆ คูๆ ก็ตามทีเถอะ แล้วสองหนุ่มสาวก็นั่งคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกัน จนเวลาล่วงเลยผ่านไปเป็นชั่วโมงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเล่าเรื่องที่ผ่านมา พร้อมฟื้นฝอยคุดคุ้ยเรื่องน่าอายของแต่ละคน ให้ได้หัวเราะกันเสียงดังลั่น อย่างไม่อายคนที่ผ่านไปผ่านมาต้องเหลียวหน้ามอง ก่อนกฤติกาจะนึกได้ เธอยังไม่ได้ถามเลยแสงกล้าทำงานตำแหน่งอะไร “ฉันเป็นคนขับรถรับแขก แกมีอะไรจะไหว้วานฉันใช่ไหมล่ะ” บอกแล้วว่าคบเป็นเพื่อนกันมานาน แม้หลายปีมานี้จะห่างกันไป แต่เพียงแค่อีกฝ่ายส่งสายตามาแสงกล้าก็เข้าใจความนัย “เปล่าสักหน่อย” หญิงสาวตอบกลับอย่างเกรงใจเอาไว้ก่อน แต่กลับฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่ขาวสะอาด เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย นัยน์ตาเป็นประกายเจิดจรัส “แน่ใจนะ” “แหม...แกนี่นะ ทำเป็นไม่รู้บ้างก็ได้นะยะ” กฤติกาตวัดค้อนคมๆ ใส่เพื่อน “อ้าว...ก็ถ้าฉันไม่ถามอย่างนี้ แล้วจะรู้หรือว่าแกดีใจจนหน้าระรื่นทำไม” “เออ...ฉันก็แค่อยากรู้ว่า อาทิตย์หน้าแกมีโปรแกรมไปรับหรือส่งแขกสนามบินที่ภูเก็ตบ้างหรือเปล่า” ถ้ามีไปก็ดี เพราะถ้าให้เธอไปเองก็ต้องใช้บริการรถโดยสาร ตั้งสองสามต่อแนะ เปลืองเงินในกระเป๋าน่ะไม่เท่าไหร่ แต่มันเสียเวลาแล้วก็...ยุ่งยากด้วยน่ะสิ “อาทิตย์หน้าเหรอ อืม...” แสงกล้าคิดถึงตารางการทำงานของเขา ปกติคนขับรถมีอยู่ด้วยกันอยู่หกคน ลากลับบ้านเสียสอง อีกหนึ่งนั้นตอนนี้ป่วยหนักเขาโรงพยาบาล “ไม่แน่ใจนะ ถ้าจะให้ชัวร์ก็ต้องไปดูบอร์ดก่อน แกมีอะไรให้ฉันช่วยล่ะ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ได้เลย” ไม่เอ่ยตกลงไปก่อน ด้วยโรงแรมเขากฎมันเข้มงวดอยู่ ผิดเพียงนิดเดียวกระทบถึงผลรายได้เข้ากระเป๋าในทันที “คือฉัน อยากขอติดรถแกไปด้วยคนน่ะ” ตอบกลับอย่างเกรงใจ ถ้าได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน “แกจะไปไหน” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างสงสัย ก็ไหนว่าเรียนจบแล้ว งานการที่ทำก็อยู่ที่นี่ แล้วจะไปสนามบิน แถมยังจะเป็นสนามบินภูเก็ตอีก ทั้งที่ตัวเองน่ะอยู่กระบี่ ไปทำไม ธุระอะไร? คิ้วหนาเป็นปื้นขมวดเข้าหากัน ร่องตรงกลางมีเครื่องหมายคำถามแปะอยู่ชัดเจน “เปล่า ฉันจะไปเอาของน่ะ เพื่อนวานให้ไปรับและฝากไปเก็บไว้ให้ก่อน เดี๋ยวเขาค่อยมาเอา” พูดอย่างเกรงใจสุดๆ แต่ประกายในดวงตาน่ะวับวาบเว้าวอนให้ใจอ่อน “เพื่อนคนไหน ของอะไร จากที่ไหน คงไม่ใช่แฟนนะแก” ถามเสียงสูงอย่างตกใจเป็นที่สุด “เฮ้ย!! เปล่าโว้ย อย่างฉันนี่นะจะมีแฟน หน้าตาดำปิ๊ดปี๋อย่างกับเฉาก๊วย ปากก็ยังจัดอีก ใครจะมาจีบเป็นแฟนวะ ถามอะไรให้มันเข้ารูหูหน่อยนะแก แทงใจดำอย่างนี้เดี๋ยวป้าด...” กฤติกาเงื้อมมือขึ้นคล้ายจะฟาดบนท่อนแขนกำยำ “ไอ้เราก็นึกว่าจะมีคนคิดสั้น กล้าจีบและขอแกเป็นแฟนเสียอีก” “ไอ้...ไอ้แสงกล้า ล้อฉันหรือแกไอ้ผิวหมึก เดี๋ยวเถอะ พ่อป้าด...ยันตูดด้วยฝ่าเท้าเสียหรอก ชอบจริงๆ เล้ย...พูดแทงใจด้ำเพื่อนงี้” กฤติกาพูดเสียงต่ำๆ สูงๆ ตวัดค้อนใส่เพื่อนขวับๆ วงหน้างอง้ำ แต่ดวงตายังเปล่งประกายสดใส “อ้าว...ฉันพูดผิดตรงไหน ก็เห็นแกแอบมองไอ้เด็กลูกครึ่งรุ่นพี่ที่เคยมาเรียนร่วมตอนม.ปลาย ชื่ออะไรแล้วหว่า?...ฉันก็ดันความจำไม่ค่อยดีซะด้วย ชื่อไอ้เจ้านั่นก็ดันเรียกยากซะอีก แต่อย่างหนึ่งที่ฉันจำได้คือ ตาแกยายลูกเจี๊ยบ ตอนที่แกมองไอ้เจ้านั่นนะ...ตางี้หวานเจี๊ยบจนฉันขนลุกเกรียวๆ เลย” ไม่พูดเปล่า แสงกล้ายังแกล้งยกมือขึ้นลูบแขนล่ำๆ ทำหน้าทำตาอย่างกับคนเห็นผีกลางวันแสกๆ “เขาชื่อริวาโก้ คาสซายะ” “อ๋อ...อะไรนะ วันวันโก้ คัดจายะ เออ...แปลกดีนะ ทั้งชื่อทั้งนามสกุลเลย พ่อแม่ตั้งมาได้ไงหว่า? ชื่อยังกับคนเป็นหวัด”  แสงกล้าแกล้งผันชื่ออีกฝ่ายให้ผิดเพี้ยนไปด้วยตั้งใจล้อเพื่อน “รู้ไหมยายลูกเจี๊ยบ ตอนนั้นกลัวใจแกจะแย่ กลัวทนเก็บความรักเอาไว้ในอกไม่ไหว รีบไปสารภาพรักและเอาไม้หน้าสามตีหัวไอ้ฝรั่งดองนั่นพาเข้าห้องปล้ำเขาเสียแล้วนะ” แบะปาก พร้อมเสียงขลุกขลักในลำคอ กลั้นหัวเราะจนหน้าคล้ำแดดเริ่มมีสีแดงแต้ม “เออ...ทีใครทีมันนะไอ้กล้า” กฤติกายกมือชี้หน้าเพื่อน จมูกเล็กโด่งได้รูปยู่ย่น กลีบปากอิ่มนุ่มยู่ยื่น ถึงวันนี้เธอก็ยังไม่กล้าบอกความในใจให้กับเพื่อนหนุ่มคนที่ถูกเอ่ยถึงได้รู้ แต่ยังดีที่ก่อนอีกฝ่ายจะตามบิดากลับไปประเทศ เธอและริวาโก้ได้กลายเป็นเพื่อนกันแล้ว จึงไดมีการติดต่อทางจดหมาย ก่อนจะมาเปลี่ยนเป็นการสื่อสารในโลกออนไลน์อย่างปัจจุบัน และไม่ค่อยจะอายสักเท่าไหร่ ถ้าจะพูดคุยเรื่องความรู้สึกภายในที่เหมือนกับการแย้มๆ เปิดหัวใจให้อีกฝ่ายได้ล่วงรู้ถึงความภายในใจที่มีให้ “ไม่แขวะฉันสักครั้ง แกกินปลาแล้วก้างมันติดคอหรือไงวะ” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างกระแทกกระทั้น หน้าบูดบึ้ง “เปล่าโว้ย ฉันแค่สงสัยเท่านั้นเอง ทำไมไอ้เจ้านั่นไม่ใช้บริการไปรษณีย์ล่ะ สะดวกสบายกว่าเป็นไหนๆ ส่งถึงมือแกด้วย อีกอย่างไม่ต้องกลัวว่าคนเฟอะฟะอย่างแกจะพาไปทำตกหล่นหายที่ไหน ให้เจ้าของเขาต้องตามหาของสำมะคัน” แสงกล้ากระดกลิ้นขณะพูดเสียงเลยเพี้ยนไปเล็กน้อยให้กฤติกาได้ตวัดค้อนใส่อีกขวับใหญ่ “ก็ถามไปแล้วนะ เห็นบอกตอนแรกจะเอามาให้เลย แต่มีคำสั่งด่วนหรืออะไรก็ไม่รู้ ให้แวะทำธุระที่สิงคโปร์ก่อน เขาเลยจะฝากเพื่อนฝากอะไรเขาก็ไม่รู้ ให้ฉันไปรับที่สนามบินน่ะ” กฤติกาบอกอย่างงวยงงเช่นกัน ไหล่กว้างเลิกขึ้นเล็กน้อย “ช่างเถอะ จะยังไง ฉันแค่ไปเอาของอย่างเดียวพอ ว่าแต่แกเถอะ ไปหรือไม่ไป” “ยังไม่รู้ เอาเป็นว่าแกเอาเบอร์มา ไปหรือไม่ไปยังไง ฉันจะโทรไปบอก” “อือ...ขอบใจนะแก” กฤติกาพยักหน้ารับ บอกเบอร์แสงกล้าไปก่อนอีกฝ่ายหยอดมาให้เธอบันทึกเบอร์ไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ทันจะได้เก็บโทรศัพท์ไว้ก็มีอีกสายเข้ามา “ว้า...เสียดายจัง ยังคุยยังไม่มันเลย แม่โทรมาตามแล้ว” ไม่เพียงแค่น้ำเสียงที่บอกเสียดายสุดๆ ดวงหน้าขาวใสก็แบะออกเหมือนจะติดรำคาญ แต่ปากกลับคลี่ยิ้ม ดวงตาใสแจ๋วเป็นประกาย เมื่อหวนคิดถึงคุณนายแม่หุ่นอวบอ้วน ที่กลับบ้านไปเมื่อไหร่ เธอจะต้องอ้อนขอนอนกอดเสียทุกครั้งไป ร้อนถึงผู้เป็นบิดาที่ตวัดหน้างอนๆ ไม่ค่อยพึงพอใจเท่าไหร่ 
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม