“เห้อ...” นะโมถอนใจ เขามองสบตาสองสาวด้วยแววตาจริงใจ
“ผมรู้เท่าที่พวกคุณรู้นั่นแหละครับ”
“คุณจำยัยรีได้?” เบญจาครางเสียงหลง
“ฮอยย๊ะ!!” ไพลินครางด้วยคำที่กำลังฮิตในหมู่วัยรุ่น ความหมายไม่แน่ชัด แต่ฟังแล้วชวนให้ขำ แต่เวลานี้เบญจาขำไม่ออก
“รอให้เพื่อนคุณฟื้นก่อน เราค่อยมาคุยกันจริงๆ น่าจะดีกว่าครับ”
นะโมเสนอ เขาไม่อยากพูดซ้ำหลายรอบ และมันละเอียดอ่อนเกินกว่าจะพูดกับคนนอก
เบญจาพยักหน้าเห็นด้วย เธอเองก็ไม่มีสิทธิตัดสินใจแทนเมรี
โบราณว่าไว้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่ควรตีตนไปก่อนไข้ มันน่าจะมีทางออกดีๆ สำหรับเมรีสักทางแหละ
“ป่านนี้ บรรดาแฟนคลับของคุณนะโมคงกำลังร้อนใจ เสียใจด้วยนะคะที่ทำให้เรตติ้งคุณตก”
เบญจาหันมาแขวะนะโม ก่อนจะเบือนหน้าหนี
ชายหนุ่มไม่ได้โต้แย้ง เขายิ้มมุมปาก บางที เหตุการณ์ครั้งนี้อาจจะทำให้เขาสบายใจมากขึ้นก็ได้
“อือ...” เมรีคราง ปรือเปลือกตาขึ้นมองไปที่เพดานห้อง เธอกะพริบเปลือกตาปริบๆ จนกระทั่งเบญจายื่นหน้าเข้ามาใกล้
“รี แกฟื้นแล้ว...”
“อือ...ปวดหัวชะมัดเลยแก พาฉันกลับบ้านเถอะ ฉันไม่ชอบกลิ่นโรงพยาบาลเลย” เมรีพยายามทรงตัวลุกขึ้นนั่ง
แต่เพราะสัมผัสของใครบางคนทำให้เมรีตัวแข็งทื่อ มือร้อนระอุที่ทาบอยู่ทางด้านหลัง กับไอร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขาด้วย เมรีอ้าปากค้าง มองหน้านะโมตาไม่กะพริบ
“คะ คะ คุณ!”
“ทำใจดีๆ ไว้ครับ ดีขึ้นหรือยังครับ”
นะโมพยายามไม่สนใจสีหน้าแตกตื่นของเมรี เขาประคองเธอนั่งพิงหัวเตียง แล้วจึงถอยหลังออกมานิดหน่อย
“เบญ ลิน หมายความว่าไง หมอนี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงหะ”
เบญจาถอนใจแรงๆ ปรามเมรีเสียงเรียบ “จะโวยวายทำไมรี ที่นี่คิลนิกหมอพรรณ เกรงใจคนไข้คนอื่นด้วย”
“แต่...”
“มีอะไรไว้ค่อยคุยกัน แกดีขึ้นหรือยังจะได้กลับบ้านกันเสียที”
น้ำเสียงเป็นงานเป็นการของเบญจาทำให้เมรีสงบลงได้ เธอเม้มปากมองหน้านะโมโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก
พาหนะขนาดกลางแต่สามารถบรรทุกทั้งคนป่วยและเพื่อนคนป่วยทั้งหมดได้ในคราวเดียวเคลื่อนที่ออกจากจุดที่จอดด้วยความเร็วปานกลาง เบญจาบอกทางนะโมเป็นระยะ จนกระทั่งถึงที่หมาย เมรีนั่งเงียบมาตลอดทาง พอๆ กับไพลินที่นั่งเม้มปากแน่น มีเสียงถอนใจดังเป็นระยะๆ ซึ่งนะโนพยายามไม่สนใจ
แม้แต่ดวงตาแม่เสือแม่ลูกอ่อนที่ส่งผ่านกระจกมองหลังมาที่เขา ก็ไม่อาจสั่นคลอนความตั้งใจจริงของเขาด้วยเช่นกัน
“ความจริงแกไม่น่าให้เขามาที่บ้านฉันเลยนะ” เมรีพูดขึ้นครั้งแรกหลังนั่งนิ่งเป็นหุ่นมาตั้งนาน
“รี...” เบญจาปราม
เรื่องแบบนี้ไม่ควรพูดที่อื่น เพราะฝ่ายเสียหายคือเมรี
หากนะโมเองก็ไม่ได้ต้องการสิ่งที่เขาไม่ได้ตั้งใจทำ มันควรรู้แค่ไม่กี่คน เขาคงเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่นำไปโพนทะนา แค่นี้เมรีก็แบกรับความเสื่อมเสียไว้แทบเต็มสองบ่า เรื่องแย่ๆ แบบนี้เป็นอาหารปากชั้นดีเชียวล่ะ
“หึ!!” เมรีสะบัดหน้า กระแทกเท้าเดินลงจากรถยนต์
นะโมโคลงศีรษะ เขาดับเครื่องยนต์ หลังจากตรวจเช็กความเรียบร้อยจึงเดินตามเข้าไปด้านในเป็นคนสุดท้าย ห้องโถงกลางบ้านมีขนาดพอเหมาะ ไม่อึดอัดเกินไปนัก ขนาดมีนับสี่ชีวิตรวมอยู่ในที่เดียวกัน
“นั่งสิ” เมรีผายมือเชิญ ในฐานะเจ้าของบ้าน
นะโมทรุดนั่ง ไม่ได้ปริปากพูดออกมาสักคำ เขากำลังรอให้สามสาวเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
“เข้าเรื่องเลยนะ เบญไม่อยากเสียเวลา” เบญจาเอ่ยเสียงเคร่ง
“ครับ...” นะโมพยักหน้าเห็นด้วย
“จะดีเหรอแก...” ไพลินแย้งเสียงอ่อย
“ฉันไม่รับข้อเสนออะไรของคุณทั้งนั้นนะคะ สิ่งที่เกิดขึ้นคุณไม่เต็มใจ และฉันไม่ต้องการความรับผิดชอบ ฉันคิดว่าตัวเองดูแล ‘เค้า’ ได้ดีแน่ๆ” เมรีกล่าวเสียงขุ่น เชิดหน้าขึ้นแบบไม่ยอมแพ้
นะโมถอนใจแรงๆ เขาเองก็คิดมาหลายตลบ มันคือความผิดพลาดที่ไม่มีใครต้องการให้เกิด แต่เมื่อมันเป็นเหตุสุดวิสัย และเขาก็เป็นผู้ชาย ดังนั้นเขาสมควรร่วมรับผิดชอบร่วมกับเมรี
“ผมรู้ว่าคุณทำได้” นะโมพยายามอรุ่มอะร่วย “แต่ในฐานะที่ผมก็มีส่วนทำให้ ‘เค้า’ เกิดขึ้นมา ผมต้องการมีส่วนดูแลร่วมกับคุณด้วยครับ”
“ไม่!” เมรีปฏิเสธโดยไม่ต้องหยุดคิด
“รี...ใจเย็นๆ”
“ลิน แกก็รู้ความคิดฉันนี่” เมรีหันไปพูดกับไพลินแบบไม่คิดจะออมเสียง
“ตอนนี้คุณอาจจะยังไม่ต้องการผม แต่เชื่อเถอะสักวันในอนาคต คุณต้องเสียใจแน่ๆ” นะโมเปรยลอยๆ
วันนี้เด็กอาจจะไม่มีส่วนตัดสินใจร่วมกับเมรี แต่วันใดที่เขาเติบโตขึ้นมา เมรีต้องหาคำตอบเตรียมไว้ด้วย หากเขามีคำถาม เหตุใดแม่ถึงปฏิเสธการมีพ่อให้กับเขา
เมรีเม้มปากแน่น กลอกตาไปมา พยายามหาเหตุผลคัดง้าง และกำจัดนะโมไปให้พ้นทาง
เธอต้องการ ‘ลูก’ แต่ไม่ต้องการ ‘สามี’ เรื่องลูกเธอแน่ใจว่าตนเองรับมือไหว แต่สำหรับตำแหน่งสามีนั้น เมรีไม่รู้จะจัดการยังไง เธอแบกรับความปวดร้าวอย่างมารดาไม่ไหวหรอก หากวันหนึ่งในอนาคตเป็นอย่างที่ตนเองระแวง
“ค่อยๆ คิดไปนะครับ ผมไม่ได้เร่งรัด วันไหนที่คุณตัดสินใจได้ ผมทำงานที่ไหน คุณก็น่าจะรู้”
นะโมวางระเบิดลูกสุดท้ายไว้ ก่อนที่จะยอมถอย
เขารู้ดีเมรีคงต้องใช้เวลาคิด มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักกัน และไม่เคยแม้แต่จะชอบพอ เมรีคงต้องตรองหลายตลบ ผลได้ ผลเสียมันคุ้มไหม หากเธอจะต้องตัดสินใจอีกแบบหนึ่ง
“ฉันอยากจะบ้า...”
เมรีครางเสียงแหลม หลังเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เธอเงยหน้ามองสบตาเพื่อนๆ ทั้งเบญจาและไพลินที่นิ่งเงียบผิดปกติ
“ฉันคิดว่าที่คุณนะโมเสนอมาก็น่าสนใจนะรี”
ไพลินพูดประโยคแรกหลังนิ่งเงียบไปนาน
“บ้าเหรอ...ไม่เอาหรอก แกก็รู้ฉันไม่อยากได้ผัว” เมรีสวนกลับทันควัน
“แต่ผัวแบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ นะรี” เบญจาแย้ง เมรีหันกลับมามองสบตาเบญจา แววหนักใจเต็มหน่วยตา แต่ทำไมล่ะ ทำไมเบญจาถึงยังสนับสนุนให้เธอเลือกทางนั้น
“ฉันพูดแบบกลางๆ ไม่มีอคติ และไม่เข้าข้างใครเลย” เบญจาระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังพูดจบประโยค “ฉันไม่รู้อนาคตหรอกนะรี แต่ฉันเชื่อตาตัวเอง ฉันไม่น่าจะมองคนผิด คุณนะโมไม่เหมือนพ่อรีหรอกนะ”
เท่าที่ตามส่องนะโมมาเกือบเดือน ผู้ชายคนนั้นคงเส้นคงวา และเว้นระยะห่างจากบรรดา FC ของเขา นะโมยิ้มและเป็นมิตรกับทุกคนที่พยายามทอดสะพานให้ ผู้ชายคนนั้นเข้มแข็งและมีกฎเกณฑ์ชัดเจน เขาไม่หวั่นไหวไปกับอิสตรีรอบตัว เบญจาเชื่อว่าเมรีจะไม่มีทางชอกช้ำเพราะเรื่องคาวๆ จากผู้ชายคนนั้น
“ขอเวลาหน่อยเบญ ลิน”
มันเป็นเรื่องใหญ่ที่เมรีฟันธงไปเลยตอนนี้ไม่ได้ เธอควรมีเวลาคิด และหากผู้ชายคนนั้นไม่เร่งรัด เธอควรคิดให้รอบคอบ
“ท่าทางเขา ไม่ได้พูดเล่นนะรี” ไพลินพูดเสริม
ลักษณะของนะโมไม่มีความเหลวไหลอยู่แล้ว คำพูดของเขาฟังดูน่าเชื่อถือ เขาคงอยากรับผิดชอบในส่วนที่เขาเองก็มีส่วนในความผิดพลาดนั้น
“ฉันรู้ แต่ฉันไม่สะดวกจริงๆ”
ครอบครัวประกอบไปด้วยสมาชิกในบ้าน เช่น พ่อ แม่ และลูก สำหรับเมรีเธอต่อต้านคำว่าครอบครัวนับตั้งแต่บิดาเปิดหน้ากากความมักง่ายออกมาให้เห็น เมรีไม่สะดวกใจที่จะเริ่มต้นใช้ชีวิตแบบครอบครัวกับใครเลย เธอมั่นใจว่าตนเองสามารถดูแลเด็กคนนี้ให้เป็นคนดีในสังคมได้ โดยไม่ต้องมีสามี
เมรีสัญญาเธอจะอบรมเพาะบ่มนิสัยให้สายเลือดในอกเป็นคนดีในสังคมได้ ไม่เป็นภาระของใคร แม้เขาจะขาดผู้นำที่เข้มแข็ง ตำแหน่งที่เขาควรมีเฉกเช่นเด็กคนอื่นๆ
“บางทีแกอาจจะกลัวเกินไปก็ได้นะรี” เบญจาออกความเห็น
ในมุมมองของคนที่ไม่เคยมีปัญหาครอบครัวเหมือนเมรี เบญจาโชคดีที่บิดา มารดาไม่ได้ก่อปัญหาให้ตนเองขบคิด...แต่ไม่ใช่ว่าทุกครอบครัวจะเป็นเหมือนเธอ ประวัติศาสตร์อาจไม่ซ้ำรอยก็ได้ มันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของคนคนนั้น
นะโมตามมาแสดงความรับผิดชอบ เขาดีในส่วนหนึ่ง
แต่หากถอยตั้งแต่ยังไม่ลอง เมรีจะรู้ได้ยังไงว่ามันจะเป็นเหมือนที่ตัวเองระแวง
“ฉันยอมรับนะเบญว่าฉันกลัว...ฉันไม่พร้อมที่จะแบกเรื่องทุกข์ใจ ในสภาวะเช่นนี้”