2

4037 คำ
“พ่อบอกให้เอามาให้ค่ะ” เธอบอกพร้อมกับยื่นกระป๋องเบียร์ไปให้ “วางไว้ตรงนั้นแหละ แล้วก็ยกจานนี้ไปนั่งกินกับคนอื่นๆ เถอะ” ภาคินบอกเสร็จก็ก้มหน้าก้มตาย่างของทะเลต่อ “แล้วไม่ไปกินด้วยกันเหรอคะ?” ไม่รู้อะไรเข้าสิงให้เธอถามเขาไปแบบนั้น “พี่จะไปหรือไม่ไปมันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับไวน์นี่ ถูกไหม?” คนที่กำลังคิดน้อยอกน้อยใจบอกเสียงอ่อน พลางนึกไปถึงเนื้อเพลงท่อนหนึ่งของวง Room 39 ที่ดูจะเข้ากับชีวิตของเขาในตอนนี้ซะเหลือเกิน ‘เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว แม้ว่าเธอไม่เคยเป็นอะไรกับฉันเลย ฉันก็แค่คนหนึ่ง ที่เธอต้องการในบางครั้ง ได้อยู่ตรงนี้ก็ดีแค่ไหน’ อืม! แค่นี้ก็ดีแล้วภาคิน “ก็ใช่ค่ะ” สาวเจ้าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “งั้นก็ไปสิ จะมาสนใจพี่ทำไม” ภาคินจ้องมองนิ้วเรียวงามที่กำลังบรรจงแกะกุ้งย่างอย่างรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ ‘อะไรกันวะ! รู้ว่าเรางอนยังจะมีอารมณ์มาแกะกุ้งกินอีกงั้นเหรอ?” “ไวน์ก็แค่ถามในฐานะเจ้าบ้าน” วรันยาเงยหน้าขึ้นตอบพลางยื่นกุ้งตัวที่แกะเสร็จไปให้คนที่ทำหน้าเหมือนปลาทูนอนอยู่ในเข่ง “แกะให้พี่เหรอครับ?” ภาคินถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าสาวตรงหน้าจะง้อตนได้น่ารักขนาดนี้ “จะกินไม่กิน” วรันยาถามด้วยน้ำเสียงตึงๆ “แหม...กินสิครับ!” ภาคินรีบอ้าปากงับกุ้งแม่น้ำตัวโตในมือสาวเจ้าอย่างไว “เอาอีกไหมคะ” วรันยามองคนที่เคี้ยวไปยิ้มไปก็อดนึกถึงสุนัขสายพันธุ์พื้นบ้านที่พ่อของเธอเลี้ยงเอาไว้ไม่ได้ ‘ชิ! ทำหน้าเหมือนไอ้ด่างตอนที่อ้อนขอของกินไม่มีผิดเลย’ “เอาครับ! เอาคนแกะด้วยได้ปะ?” คนได้คืบจะเอาวา เอ๊ย! ได้คืบจะเอาศอก ยิ้มหน้าทะเล้นขึ้นมาทันทีทันใด “งั้นแกะกินเองเลย” วรันยาวางกุ้งที่แกะลงแล้วเตรียมจะเดินหนี “พี่ล้อเล่นครับ” คนหน้าหม้อ เอ๊ย! คนหน้ามึน รีบรั้งแขนของสาวเจ้าเอาไว้ “ถ้าพูดจาไม่เข้าหูอีกแค่คำเดียว!” วรันยาคาดโทษด้วยสีหน้าเอาเรื่อง ‘ทำไมอีตาบ้านี่ชอบพูดจาหยาบคายใส่เรานักนะ’ “ไม่แล้วครับ” ภาคินยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ เพราะกลัวสาวเจ้าจะโกรธ แล้วไม่แกะกุ้งให้กินต่อ “อ่ะ” วรันยายื่นกุ้งที่จิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซบไปจ่อปากให้คนหน้ามึนอีกครั้ง “อ้ำ...” ภาคินครางเบาๆ อย่างเป็นสุขในหัวใจ “อี๋! ทำไมต้องทำหน้าทำตาแบบนั้นด้วยล่ะ” วรันยาต่อว่า เมื่อเห็นอีกฝ่าย ทำหน้าเคลิบเคลิ้มแปลกๆ “ก็มันฟินนี่” ภาคินหัวใจเต้นโครมครามจนแทบจะกระเด็นออกมานอกอก “บ้า!” วรันยามองค้อนก่อนจะแกะกุ้งเผาต่ออย่างไม่สนใจ “อืม...ว่าแต่เราจะเอาไอรอนแมนของพี่ไปไว้ตรงไหนครับ?” ภาคินถามอย่างอยากรู้ “หน้าห้องน้ำค่ะ” วรันยาตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “โหดร้ายชะมัด” ภาคินถอนหายใจพร้อมกับทำหน้าเศร้าๆ “หน้าห้องน้ำในห้องนอน” วรันยาขยายภาพอีกนิด ไม่กล้าบอกว่าจะเอา ไปไว้ข้างเตียงนอน “อืม...แบบนี้พอรับได้” “อ้าปากค่ะ” วรันยาป้อนกุ้งให้อีกฝ่ายอีกครั้ง “ขอบคุณครับ น้องไวน์ไปนั่งที่โต๊ะเถอะ เดี๋ยวย่างชุดนี้เสร็จพี่จะตามไป” ภาคินอ้าปากงับกุ้งจากมือสาวอย่างอิ่มเอมในหัวใจ “ค่ะ งั้นไวน์ยกจานนี้ไปด้วยเลยนะคะ” วรันยาบอกก่อนจะยกจานเดินไปที่โต๊ะด้านในตัวบ้าน “ครับ” ภาคินมองตามแผ่นหลังบางของสาวเจ้าครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมาย่างกุ้งต่ออีกจาน จากนั้นก็ยกไปนั่งร่วมวงกับทุกคน “คิน! มานั่งกับอาเร็ว” สินชัยหันไปเรียกพร้อมกับลุกขยับที่นั่งให้ “ขอบคุณครับอาสิน” ภาคินขานรับ แล้วเดินเข้าไปนั่งข้างๆ “อาขอดื่มให้คินกับนัยที่คว้าเกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาได้ อาภูมิใจแทน คุณดา คุณลูคัส แล้วก็คุณมาร์มากๆ” สินชัยเอ่ยพร้อมกับยกแก้วเบียร์ชูขึ้น “ขอบคุณครับอาสิน” สองหนุ่มขานรับก่อนจะยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม “ยายขอดื่มเบาๆ ให้กับน้องไวน์ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ที่หนึ่งของชั้น แต่ 3.98 ก็ถือว่าเยี่ยมยอดที่สุดแล้วจ้ะ” กังศมาบอกพร้อมกับชูแก้วไวน์แดงขึ้น แล้วหันไปยิ้มให้กับเด็กสาวที่นั่งข้างๆ “ขอบคุณค่ะคุณมาร์” วรันยายกแก้วเบียร์ชนกับผู้ใหญ่เบาๆ “พี่ดีใจด้วยครับ” ภัคคินัยยกแก้วเบียร์ไปชนกับสาวเจ้าต่อยิ้มๆ “ขอบคุณค่ะ ไวน์ก็ยินดีกับพี่นัยแล้วก็...พี่คินด้วยนะคะ” วรันยาบอกก่อนจะยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ “อ๊ะ! น้องไวน์ดื่มเบียร์ได้เหรอครับ” ภาคินถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ “อาให้ดื่มได้นิดหน่อยน่ะคิน” สินชัยรีบบอก เพราะรู้ดีว่าภาคินรักและ เป็นห่วงบุตรสาวของตน เฉกเช่นพี่ชายที่หวงน้องสาว “แค่แก้วเดียวเอง ไม่เป็นไรหรอกน่า” กังศมาสมทบตาม “จิบไปอึกเดียว! หน้าแดงเลย” ภาคินบอกก่อนจะยกแก้วเบียร์ขึ้นดับความรุ่มร้อนในใจ “นะ...หน้าไวน์แดงมากเลยเหรอคะคุณมาร์” คนที่เพิ่งเคยลองจิบเบียร์เป็นครั้งแรกเอ่ยถามอย่างอายๆ “นิดหน่อยจ้ะ” กังศมายิ้มให้เด็กสาวอย่างเอ็นดู ก่อนจะชวนคุยเรื่องอื่น เพื่อดึงความสนใจจากสีหน้าบึ้งตึงของภาคิน ที่แอบเหลือบมองวรันยาเป็นพักๆ หลังจากที่ดื่มและพูดคุยกันจนเวลาล่วงเลยผ่านไปจนเกือบห้าทุ่ม กังศมาก็เอ่ยขอตัวกลับก่อนพร้อมกับภัคคินัย ขณะที่ภาคินยังนั่งดื่มต่อกับสินชัย “บ้าจริง! น้องไวน์หลับไปตอนไหนเนี่ย” สินชัยที่กำลังคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับหนุ่มรุ่นลูก แต่พอหันไปมองข้างๆ ก็ถึงกับตกใจที่เห็นบุตรสาวนอนหลับตาพริ้มอยู่บนโซฟา “เดี๋ยวผมอุ้มไปส่งที่ห้องนอนให้เองครับ” ภาคินรีบอาสา “ขอบใจมากคิน” คนที่เมาและไม่สามารถจะอุ้มบุตรสาวเดินขึ้นชั้นสองของบ้านได้ พยักหน้ารับเบาๆ “ไม่เป็นไรครับ” ภาคินยิ้มกริ่มในใจ ก่อนจะเดินไปช้อนอุ้มสาวเจ้าขึ้น แล้วพาไปยังห้องนอนที่อยู่บนชั้นสองอย่างรวดเร็ว “อื้อ...ไอรอนแมนของไวน์อยู่ไหน” “อยู่ข้างล่างครับ” ภาคินวางคนที่ดื่มไปสองแก้ว ก็เมาจนคอพับคออ่อน ลงบนเตียงอย่างรู้สึกตกใจนิดๆ ที่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็ลืมตาขึ้นมองหน้าตนแล้วถามหาหุ่น “พี่คินเหรอ?” วรันยาจ้องมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างรู้สึกมึนงง ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายมาอยู่ในห้องของเธอได้ยังไง “ครับ” ภาคินยิ้มพร้อมกับเกลี่ยเส้นผมที่ปิดบังใบหน้าจิ้มลิ้มออกอย่าง เบามือ “ไปอุ้มไอรอนแมนขึ้นมาให้ไวน์หน่อยได้ไหม” คนที่กำลังเบลอๆ บอกด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ได้ครับ” ภาคินฉีกยิ้มอย่างดีใจที่รู้ว่าสาวเจ้าจะเอาหุ่นของตนมาไว้ในห้องนอน จึงรีบเดินลงไปที่ชั้นล่าง แต่พอไปถึงก็เห็นสินชัยนอนหลับอยู่ที่โซฟา ตัวใหญ่ จึงเข้าไปเขย่าเรียกเบาๆ “อาสินครับ อาสิน!” “คิน!” คนที่ดื่มไปค่อนข้างเยอะ ลืมตาขึ้นมองอย่างมึนงง “ให้ผมพาอาขึ้นไปนอนที่ห้องไหมครับ?” ภาคินถามอย่างเป็นห่วง “ไม่ต้องหรอก อาขอแค่ผ้าห่มสักผืนก็พอ” คนที่มักจะนอนหลับที่โซฟาตัวใหญ่เป็นประจำบอกพร้อมกับขยับตัวกอดหมอนใบเล็ก “ได้ครับ” ภาคินพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปหยิบผ้าห่มในตู้ไม้ออกมาห่มให้ “ไวน์นอนแล้วใช่ไหม?” คนที่กำลังจะหลับลืมตาขึ้นถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ “ยังครับ น้องไวน์ให้ผมลงมาเอาหุ่นไอรอนแมนขึ้นไปไว้ที่ห้องนอน” ภาคินตอบเสียงอ่อน “หึๆ คินอย่าถือสาน้องนะ ไวน์น่ะก็ขี้โกรธขี้งอนไปตามประสาน่ะแหละ” สินชัยกลัวหนุ่มตรงหน้าจะน้อยใจ กับการกระทำของบุตรสาวเมื่อช่วงเย็น “ครับอา” ภาคินยิ้มตอบ ก่อนจะเดินไปยกหุ่นไอรอนแมนที่ตั้งอยู่ตรง มุมห้อง “ยกไหวหรือเปล่า? อาลุกไม่ขึ้นเลยตอนนี้” สินชัยสารภาพตามตรง “สบายมากครับ” ภาคินบอกก่อนจะยกหุ่นตัวใหญ่เดินขึ้นบันได “ขอบใจมากนะคิน” สินชัยตะโกนตามหลัง ก่อนจะหลับตาลงอย่าง รู้สึกง่วงนอน สองนาทีต่อมา... ภาคินยกหุ่นไอรอนแมนเข้ามาในห้องนอน ก็เห็นสาวเจ้าเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี “พี่ตั้งไว้ตรงนี้นะ” “ค่ะ” วรันยาพยักหน้ารับ ก่อนจะนั่งลงบนเตียง แล้วหยิบมือถือมากดบันทึกภาพหุ่นตัวโปรด “ทำไมถึงชอบไอรอนแมน” ภาคินนั่งลงข้างๆ แล้วแอบชำเลืองมองข้อความที่สาวเจ้าพิมพ์ ‘อย่างกับฝัน...ที่มีไอรอนแมนมายืนเฝ้าข้างๆ เตียง’ “อืม...ไม่รู้เหมือนกันค่ะ รู้แค่ว่าชอบมาก” วรันยาวางมือถือลงที่โต๊ะข้างๆ เตียง แล้วทำท่าจะเอ่ยปากไล่คนชอบแกล้งให้ออกไปจากห้องนอน “แล้วพี่ล่ะ ชอบบ้างหรือเปล่า” ภาคินถามพลางจ้องมองใบหน้างามนิ่ง วรันยาหัวเราะอย่างรู้สึกขำกับคำถามของอีกฝ่าย “ต้องถามว่าเกลียดแค่ไหนมากกว่าค่ะ อะ...อื้อ...” ภาคินดึงสาวเจ้าเข้ามาจูบอย่างอดใจไม่ไหว เพราะโอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้มันหายากขึ้นทุกที และเขาจะไม่ยอมปล่อยให้มันผ่านไปโดยที่ไม่ได้สื่อความในใจให้เธอรู้ “อื้อ...ทะ...ทำไม ทำแบบนี้กับไวน์” วรันยาผลักร่างสูงออกทันทีที่อีกฝ่ายถอนจูบอันเนิ่นนานออก “พี่ไม่รู้หรอกนะว่าไวน์เกลียดพี่ขนาดไหน แต่วันหนึ่งไวน์จะต้องรักพี่” คนที่อารมณ์กำลังพลุ่งพล่านบอกก่อนจะเดินออกห้องไป “คนบ้า!” วรันยาสั่นไปทั้งเนื้อทั้งตัวกับจูบแรก ที่เกิดขึ้นโดยชายคนที่เธอไม่ชอบขี้หน้า สาวเจ้ารีบวิ่งไปกดล็อกประตูห้องมือไม้สั่น จากนั้นก็กลับมาล้มตัวนอนบนเตียงอย่างรู้สึกหวาดกลัว สัมผัสของเขา! กลิ่นน้ำหอมของเขา มันยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แม้ว่าเธอจะได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเดินลงไปที่ชั้นล่าง และขับรถออกไปไกลแล้วก็ตาม เรือนใหญ่ไปรยาเวศ...ภาคินจอดรถเสร็จก็เดินยิ้มเข้าไปด้านในเรือนใหญ่ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ากำลังมีความสุขขนาดไหน “มาแล้วเหรอ?” ภัคคินัยเอ่ยทักแฝดผู้พี่ด้วยสีหน้าตึงๆ “เออ! แล้วแกจะไหน” ภาคินเลิกคิ้วถามอย่างสงสัยกับท่าทางและน้ำเสียงที่แปลกไปจากทุกๆ ครั้ง “ก็จะไปตามแกกลับบ้านน่ะสิ เกิดเมาแล้วทำอะไรน้องไวน์ขึ้นมาจะทำยังไง” ภัคคินัยถามกลับอย่างไม่ไว้ใจ “ก็จัดงานแต่งเลยสิ” คนที่กำลังอยากได้เมียจนตัวสั่น บอกพร้อมกับยักไหล่ขึ้นทั้งสองข้างนิดๆ อย่างไม่แคร์ “ไอ้บ้า! น้องยังเด็กอยู่นะโว้ย” ภัคคินัยต่อว่าอย่างทนไม่ไหว เพราะไม่ว่าจะเตือนยังไง แฝดผู้พี่ก็ยังตีมึนเดินหน้าต่อ ทั้งๆ ที่ตนและคนในครอบครัวต่างก็พากันย้ำอยู่ตลอดว่าไม่เหมาะไม่ควร “มึงเลิกย้ำคำนี้สักทีได้ไหมวะ!” คนที่เพิ่งเดินออกจากทุ่งดอกดาวเรือง เอ๊ย! ทุ่งดอกลาเวนเดอร์มาหยกๆ บอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “งั้นมึงย้ายไปดูแลกิจการทางใต้เถอะคิน” ภัคคินัยมองหน้าคนที่ยังไม่สำนึก ไม่สนว่าใครจะเดือดจากการกระทำของตัวเอง “ทำไม มึงมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ” ภาคินถามกลับอย่างไม่พอใจ “ปัญหามีแน่ถ้ามึงไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ น้องไวน์เพิ่งจะแตกเนื้อสาว ชีวิตยังต้องมีเรื่องให้ทำอีกเยอะแยะมากมาย มึงจะมาเห็นแก่ตัว หยุดช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ของน้องไม่ได้!” “กูก็ยังไม่ได้ทำอะไรน้องสักหน่อย” ภาคินบอกอย่างไม่สบอารมณ์ที่ถูกจับตามองเรื่องความสัมพันธ์ที่มีต่อวรันยา “หึ! ที่ไม่ทำเพราะยังหาโอกาสไม่ได้น่ะสิ” ภัคคินัยยิ้มเยาะ เพราะรู้จัก แฝดผู้พี่ดียิ่งกว่าใครๆ “ไอ้นัย! มันจะมากเกินไปแล้วนะ มึงพูดเหมือนกับกูจ้องจะจับน้องไวน์ทำเมียอย่างงั้นแหละ” คนที่โดนจี้ใจดำเริ่มจะโมโห “ก็หรือไม่จริง?” ภัคคินัยเลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงกวนๆ “เออ! แล้วไงวะ” ภาคินเอ่ยรับด้วยสีหน้าท้าทาย “แล้วมึงก็จะถูกย้ายไปดูแลกิจการทางใต้น่ะสิคิน!” ภัคคินัยบอกก่อนจะล้วงมือถือออกจากกางเกงขึ้นมาเตรียมจะกดต่อสาย “มึงจะทำอะไร” ภาคินนิ่วหน้าถามอย่างมึนงง “กูจะโทร. ไปบอกพ่อ ให้ยกเลิกเรื่องที่จะให้มึงดูแลกิจการที่นี่” ภัคคินัยปล่อยหมัดเด็ดใส่คนปากดี “หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ” ภาคินรีบเข้าไปแย่งมือถือจากแฝดผู้น้อง “ไม่! กูจะหยุดก็ต่อเมื่อมึงสาบานว่าจะไม่ทำอะไรน้องไวน์จนกว่าน้องจะเรียนจบ” ภัคคินัยผลักหน้าอกพี่ชายฝาแฝดออกอย่างแรง “อะ...โอเค กดวางสายก่อนสิโว้ย!” คนที่กลัวจะโดนย้ายไปทางใต้รีบยกมือขึ้นทั้งสองข้าง เพื่อบอกว่ายอมแพ้ “ถ้ามึงผิดคำพูดกับกูล่ะก็...” ภัคคินัยคาดโทษด้วยสีหน้าเอาเรื่อง “นี่กูเป็นพี่ชายฝาแฝดของมึงนะไอ้นัย” ภาคินต่อว่าอย่างหงุดหงิด “แล้วไง? น้องไวน์ก็เป็นน้องสาวของกูเหมือนกัน” “กูก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรเกินเลยกับน้องสักหน่อย” “หึ! สายตาของมึงมันแสดงความต้องการที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตใจชัดเจนกว่าคำพูดนะ” ภัคคินัยบอกพร้อมกับส่ายหน้าอย่างเพลียๆ “ถ้ามึงรักใครสักคน...มึงจะไม่พูดกับกูแบบนี้นัย” ภาคินตัดพ้อ “มึงไม่ต้องมาดราม่า หนึ่งปีต่อจากนี้ หากมึงดูแลกิจการทางเหนือไม่ดี ก็เตรียมตัวย้ายไปอยู่ใต้ได้เลย” ภัคคินัยดักทางคนเจ้าเล่ห์ “เอะอะอะไรกันฮะ คิน นัย!” กังศมาที่เดินลงมาบันไดมา เอ่ยถามด้วยสีหน้าตึงๆ เพราะเสียงทะเลาะกันของหลานชายทั้งสองคน ดังขึ้นไปถึงทางเดินที่ชั้นสอง “ยาย!!” ภาคินกับภัคคินัยหันไปมองที่บันไดพร้อมกันอย่างตกใจ “เรื่องน้องไวน์ใช่ไหม?” กังศมาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ครับ” ภาคินขานรับเบาๆ “ยายรู้ว่าคินชอบน้องไวน์ แต่ยายไม่โอเคเลยที่เราแสดงออกเยอะเกินไป” กังศมาบอกก่อนจะย่อนั่งลงที่ขั้นบันได “เฮ้อ...ผมทำให้ยายไม่โอเคอีกคนใช่ไหมครับ” ภาคินบอกพร้อมกับเข้าไปนั่งข้างๆ “ยายเข้าใจความรู้สึกเรานะ แต่เราก็ต้องเข้าใจด้วยว่าน้องไวน์ยังไม่อยู่ในวัยที่พร้อมจะรักแบบผู้ใหญ่” กังศมาให้เหตุผล “ผมขอโทษครับ ผมแค่ดีใจที่ได้เจอน้องไวน์อีกครั้ง ก็เลยไม่รู้ตัวว่าทำอะไรที่ประเจิดประเจ้อออกไปบ้าง” ภาคินยกมือไหว้ผู้เป็นยายอย่างรู้สึกผิด “รอให้น้องไวน์เรียนจบก่อน ถึงตอนนั้นยายจะไม่ห้ามคินเลย” กังศมายกมือขึ้นลูบหลังให้หลานชายอย่างเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย “อีกสามปีเอง” ภัคคินัยเข้าไปนั่งข้างๆ แฝดผู้พี่ “บ้า! อีกตั้งสี่ปีต่างหาก” ภาคินหันไปเอ่ยแก้ด้วยสีหน้าบูดๆ “หึๆ ก็สามปีที่อังกฤษ ยังเหลืออีกหนึ่งปีในไทยนี่ถูกไหม?” ภัคคินัยหัวเราะเบาๆ กับสีหน้าของอีกฝ่ายที่ดูจะสลดลงไปถนัดตา “ก็ใช่!” ภาคินพยักหน้าอย่างมีความหวัง “เป็นหนึ่งปีที่ยายจะไม่ยอมให้น้องไวน์คลาดสายตาไปแม้แต่วินาทีเดียว คอยดู!” กังศมาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “โธ่! ยาย” ภาคินโอดครวญเมื่อผู้เป็นยายตั้งท่ากีดกัน “ไปๆ ขึ้นไปนอนกันได้แล้ว” กังศมาลุกขึ้นยืนแล้วโบกมือไล่หลานชายทั้งสอง ก่อนที่ดราม่าจะบังเกิด “ฝันดีครับ” ภัคคินัยก้มลงหอมที่แก้มของผู้เป็นยาย แล้วรีบเดินไปอย่างไม่สนใจแฝดผู้พี่ “ฝันดีครับยาย” ภาคินกลอกตา ก่อนจะเดินเข้าไปหอมที่แก้มของ ผู้เป็นยายทั้งสองข้าง จากนั้นก็เดินตรงไปยังห้องนอนของตนด้วยสีหน้าเซ็งๆ เช้าวันต่อมา...ขณะที่สินชัยกำลังจะยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ ก็เห็นรถสปอร์ตสุดหรูแล่นเข้ามาจอดที่ด้านหน้าเรือนใหญ่ พอเห็นว่าใครก้าวออกมาจากรถ ก็รีบเอ่ยทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “อ้าว! คินมาแต่เช้าเชียว” “สวัสดีครับคุณอาสิน” ภาคินยกมือไหว้พร้อมกับกวาดตามองหาสาวเจ้า “เอ่อ...ผมมารับน้องไวน์ไปทานอาหารกับคุณยายที่โรงแรมน่ะครับ” “อ๋อ! เดี๋ยวอาเรียกให้นะ” สินชัยพยักหน้ารับก่อนจะเดินกลับเข้าไปด้านในบ้านแล้วตะโกนเรียกบุตรสาว “น้องไวน์!” “คะพ่อ” วรันยารีบคว้ากระเป๋าถือแล้ววิ่งลงบันไดมาหาบิดาที่ชั้นล่าง เพราะคิดว่ากังศมาคงจะมารับเธอไปในเมืองตามที่ได้คุยกันไว้เมื่อวาน “พี่คินมารับแล้ว เสร็จหรือยัง” สินชัยเอ่ยพร้อมกับจ้องมองบุตรสาวคนสวยที่นับวันก็ยิ่งงดงามเหมือนกับภรรยาของตนตอนเป็นสาวแรกรุ่น “ค่ะ แล้วคุณมาร์ล่ะคะ” วรันยาขานรับอย่างมึนงง ก่อนจะหันไปถามจอมทะลึ่งมือไวนิสัยทรามที่ยืนยิ้มหน้าแป้น เหมือนไอ้ด่างตอนที่อ้อนพ่อของเธอไม่มีผิด “ยายไปรอที่โรงแรมกับนัยก่อน แล้วให้น้องไวน์ตามไปกับพี่ครับ” ภาคินคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อเห็นใบหน้าของสาวเจ้าเริ่มจะบูดบึ้งขึ้นมานิดๆ “ค่ะ” วรันยาแอบกลอกตาก่อนจะหันไปเอ่ยกับบิดา “ไวน์ไปก่อนนะคะ คุณพ่อ” “จ้ะ! คินอาฝากดูแลน้องไวน์ด้วยนะ” สินชัยพยักหน้ารับพร้อมกับกำชับหนุ่มที่รักเหมือนลูกเหมือนหลาน “ได้ครับอาสิน” ภาคินรับคำก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดประตูรถให้สาวเจ้าเข้าไปนั่ง จากนั้นก็กลับเข้ามาประจำที่คนขับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไม่น่าเชื่อว่าคุณมาร์จะทิ้งไวน์ไปก่อน” วรันยาเปิดประเด็นหลังจากที่ อีกฝ่ายขับรถเลี้ยวออกจากรีสอร์ตมาได้สักพัก “กลัวพี่งั้นเหรอ?” ภาคินถามยิ้มๆ “ไม่ได้กลัว แต่...” “แต่ไม่ชอบ” “ใช่” วรันยาพยักหน้ารับเบาๆ กับคำตอบของอีกฝ่าย ‘อ๊ะ! ตาบ้านี่ก็ไม่ได้โง่นี่นา แต่ทำไมถึงยังหน้าด้านหน้ามึนอยู่ได้’ “เมื่อคืนพี่บอกอะไรไป จำได้ไหม?” ภาคินเอ่ยทวนความจำ “มะ...ไม่” วรันยาเชิดหน้าขึ้นนิดๆ อย่างถือดี ‘อย่ากลัวนะไวน์! ไม่งั้นอีตาบ้านี่จะได้ใจ แล้วทำทะลึ่งๆ เหมือนเมื่อคืนอีก’ “จริงดิ” ภาคินหรี่ตามองแม่ตุ๊กตาหน้ารถที่วันนี้ดูจะมั่นกว่าทุกๆ ครั้ง “จริง!” วรันยาบอกพร้อมกับล้วงมือถือขึ้นมาตั้งท่าเตรียมจะโทร. หาผู้ใหญ่ “งั้นพี่ว่าเราจอดรถทบทวนความจำกันหน่อยดีไหม?” “บ้า! ถ้าทำแบบเมื่อคืนกับไวน์อีก ไวน์จะโทรไปฟ้องพ่อกับคุณมาร์” คนที่โดนข่มมาตลอด ขู่กลับด้วยสีหน้าเอาเรื่อง “ก็ดีสิ! โทร. ไปฟ้องตอนนี้เลย” คนที่อยากจะตีตราจับจองฉีกยิ้มกว้างขึ้นมาทันใด “อย่ามาท้านะ” “แล้วกล้าหรือเปล่าล่ะ? ถ้ากล้าก็เอาเลย พี่พร้อมรับผิดชอบเราอยู่แล้ว” ภาคินยื่นหน้าเข้าไปถาม “อี๋! อย่าเอาหน้าเข้ามาใกล้นะ” วรันยาขยับไปชิดประตูรถด้วยท่าทีรังเกียจ “รีบๆ โทร. สิ พี่อยากจะหมั้นกับไวน์ใจจะขาดแล้ว” ภาคินส่งยิ้มยียวนไปให้ ก่อนจะออกแรงกระตุกแขนของสาวเจ้าเบาๆ ให้ขยับมาหาตน แล้วประทับ ริมฝีปากลงที่แก้มนวลอย่างไม่รอช้า “อ๊ะ! พี่คิน!” วรันยาถลึงตาใส่จอมทะลึ่งอย่างรู้สึกขุ่นเคือง “แก้มน้องไวน์ห้อมหอม” ภาคินบอกด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม “ไอ้คนบ้า!” วรันยาสบถด่าคนหน้ามึน พร้อมกับยกมือเช็ดๆ ถูๆ ตรงตำแหน่งที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายประทับลงเมื่อครู่ “ตกลงจะโทร. ไม่โทร.” ภาคินหัวเราะเบาๆ กับการกระทำของสาวขี้ฟ้อง ‘เช็ดไปเถอะ! เดี๋ยวพี่จะหอมใหม่’ “ไม่โทร.” วรันยาบอกก่อนจะสะบัดหน้าหนีอย่างรู้สึกหงุดหงิด ‘ถ้าไม่ได้แกล้งให้เราโมโหทุกครั้งที่เจอหน้า อีตาบ้านี่จะดิ้นตายหรือไง’ “โอเค! งั้นพี่โทร. หาอาสินเอง” ภาคินเลี้ยวรถเข้าจอดที่ข้างทาง พร้อมกับล้วงมือถือออกมากดต่อสาย [ฮัลโหล! อาสินครับ ผมมีเรื่องจะสารภาพ เมื่อคืนผมจูบกับน้องไวน์ครับ] “กรี๊ดดดดด ไอ้คนบ้า ไอ้คนเลว ตายซะเถอะอย่าอยู่เลย กรี๊ดดดด” วรันยากรีดร้องพร้อมกับระดมกำปั้นน้อยๆ รัวใส่จอมทะลึ่งอย่างบ้าคลั่ง “โอ๊ย! ไวน์! โอ๊ย! พี่ล้อเล่นครับ โอ๊ย!” คนที่โดนไปหลายดอก รีบชู มือถือให้ดูว่าไม่ได้โทร. ออกแต่อย่างใด “อย่าเล่นบ้าๆ แบบนี้อีก” วรันยาบอกอย่างรู้สึกโกรธและใจหาย กลัวว่า อีกฝ่ายจะต่อสายหาบิดาจริงๆ “งั้นโทร. เลยไหม หมั้นกันเอาไว้ก่อน น้องไวน์เรียนจบแล้วเราค่อยแต่งงานกัน” ภาคินบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “บ้า! ไวน์ไม่มีทางแต่งงานกับคนอย่างพี่คินหรอก” “ทำไม! คนอย่างพี่มันทำไม?” “จะให้พูดจริงๆ เหรอ?” “พูดมาเลย” “เลว นิสัยแย่ ชอบแกล้ง ทะลึ่ง มือไว ชอบฉวยโอกาส หน้ามึน หน้าด้าน หน้าหม้อ แล้วก็เจ้าชู้” “โห...รู้จักพี่ดีขนาดนี้ แต่งงานกันเถอะ ไม่ต้องไปเรียนต่อมันแล้ว” “ชิ! ต่อให้พี่คินเป็นผู้ชายคนสุดท้ายบนโลก ไวน์ก็ไม่...” “พี่เป็นผู้ชายคนเดียวบนโลกที่ไวน์จะต้องแต่งงานด้วย” “ไม่มีทาง” “มีสิ! เยอะแยะไป ไม่เชื่อก็คอยดู” ภาคินเอ่ยยังไม่ขาดคำ เสียงเรียกเข้าในมือถือของแม่เสือสาวก็ดังขึ้นขัดจังหวะ วรันยามองดูชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอก่อนจะกดรับสายพร้อมกับเปิด สปีกเกอร์โฟนให้จอมทะลึ่งได้ยินเสียงด้วย [ถึงไหนแล้วน้องไวน์] [เพิ่งจะออกจากรีสอร์ตมาได้ประมาณ 5 กิโลค่ะ] วรันยาพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ [โอเค! ยายจะสั่งอาหารรอนะ บอกพี่คินรีบๆ ตามมาล่ะ] [ค่ะ] วรันยาตอบก่อนจะกดวางสายแล้วหันมาถามคนขับที่ทำหน้าบูดเหมือนตูดลิง “ได้ยินแล้วใช่ไหมคะ?” ภาคินกลอกตาอย่างรู้สึกเซ็งๆ ที่ผู้เป็นยายโทร. มาขัดจังหวะ จึงติดไฟเลี้ยวขวา ขับรถกลับเข้าสู่เส้นทางหลัก ตรงไปยังโรงแรมด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวนิดๆ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม