“ตรงนั้นเลยหรือครับ”
“ครับ”
“ยายนั่นฝากกุญแจรถไว้ แล้วก็เอากระเป๋าไปด้วยอย่างนั้นหรือ” เฌอถามต่อเมื่อรู้สึกว่าเรื่องนี้มันดูแปลก ๆ พนักงานชายยิ้มรับโดยไม่มีท่าทีพิรุธใด ๆ เลย
“น่าจะ…อย่างนั้นมั้งครับ”
“คงเฮิร์ทอ่ะเนอะ เลยไปหาที่พักใจ” เสียงใครสักคนที่เป็นเพื่อนของอรนุชเดินเข้ายืนฟังด้วยพร้อมสังเกตการณ์บอกเยาะหยันก่อนพากันเดินจากไปเมื่อเห็นว่าเรื่องราวไม่ได้มีอะไรน่ากังวลมากนัก
แต่เฌอกับรู้สึกว่าไม่ใช่ เรื่องนี้ดูไม่ปกติ
ไม่มีทางที่ธาราทิพย์จะฝากข้าวของแล้วนั่งเรือข้ามฟากไปคนเดียวแบบนั้น แต่พอคิดไปคิดมาทบทวนดูอีกทีก็พบว่าอาจเป็นไปได้ เพราะเมื่อคืนนี้เพื่อนสาวก็บอกว่าอยากปลีกตัวหลบไปพักผ่อนสักพัก
เฌอมองไปยังจุดเล็ก ๆ นั่นแล้วคิดไปว่าบางทีตนน่าจะหาเรือตามไปดูเพื่อนเสียหน่อยว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างแล้ว
ที่อีกด้าน นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ที่ครองความโสดมานานกว่าหกสิบปีก็เพิ่งวางสายลงเช่นกัน เมื่อเพียรโทรศัพท์หาหญิงสาวที่ชื่อธาราทิพย์แล้วแต่ติดต่อไม่ได้เสียที
“ยังติดต่อธาราทิพย์ไม่ได้อีกหรือคะ”
อาภาศรีเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่ปั้นยิ้มแทบแย่เมื่อต้องเอ่ยถามถึงหญิงสาวผู้นั้น
“ไม่รู้หายไหน บอกจะไปงานเลี้ยงฉลองสละโสดของเพื่อน แล้วก็จะเข้ามาคุยเรื่องงานกัน แต่ก็ไม่มา”
“ทำไมคุณห่วงแม่นั่นจังเลยคะ ไม่เห็นเหมือนเจ้านายกับลูกน้องเลย มีอะไรมากกว่านั้นที่ฉันควรต้องรู้ไหมที่รัก”
ธีรัชหัวเราะน้อย ๆ แล้วถามกลับอย่างอารมณ์ดี “หึงผมหรือ”
“ต้องหึงสิคะ คุณน่ะไม่เคยมองใครเลย พอมาเจอศรี คุณก็บอกว่าตกหลุมรักจังเบ้อเริ่ม รักศรีจนถอนตัวไม่ขึ้น แล้วก็ขอแต่งงาน ศรีก็ใจอ่อนยอมแต่งงานกับคุณแล้วด้วย แต่คุณก็ยังทำตัวให้ศรีไม่ไว้ใจด้วยการไปมีข่าวกับลูกน้องคนสวยอย่างแม่ธาราทิพย์นั่นน่ะ”
ธีรัชยิ้มเมื่อเห็นว่าที่เจ้าสาวในอีกไม่กี่วันพูดจายาวเหยียดผิดจากธรรมชาติของหล่อน ก่อนจะดึงเข้าไปกอดให้แนบแน่นมากยิ่งขึ้น แล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนอยากให้ไว้ใจเขามาก ๆ
“ไม่มีอะไรหรอก วางใจที่ผมแล้วก็ขอให้วางใจไปตลอดชีวิตได้เลย ผมไม่มีทางมีเล็กมีน้อยให้คุณต้องระคายเคืองหัวใจเป็นอันขาด ผมสัญญา”
อาภาศรีดันตัวออกแล้วแสร้งทำเสียงอ่อนลง ถามย้ำไปกับหนุ่มใหญ่ผู้ร่ำรวยที่มั่นใจว่าครอบครองเขาได้แล้ว
“แน่นะคะ”
“แน่นอนที่สุดเลยครับ”
อาภาศรีลูบไล้มือไปตามจุดก่อกำหนัดของธีรัชก่อนถามถึงเรื่องงาน “แล้วเรื่องที่ว่าจะตั้งรองประธานกรรมการกับเรื่องที่จะให้หลานสาวของศรีมาเป็นพรีเซนเตอร์ที่เครือของคุณละคะ ว่ายังไง”
“เราจะพูดเรื่องงานเวลานี้ได้ยังไงกันที่รัก”
ธีรัชบ่ายเบี่ยงเสียงกระเส่าก่อนช้อนร่างงามของอาภาศรีที่แม้จะอายุเข้าหลักสี่มาหลายปีแล้ว ขึ้นอุ้มแนบอกพาลงนอนที่โซฟาตัวใกล้ ๆ หลังจากนั้น
คนที่หายไปจากวิลลาเพราะอยากปลีกวิเวกไปอยู่เกาะที่ไกลจากผู้คนกำลังเดินลงจากบ้านเพื่อสำรวจรอบนอกบ้าง หลังจากสำรวจในบ้านจนพอใจแล้ว และตอนนี้คนอื่น ๆ ในบ้านก็หายไปไหนกันหมดแล้วไม่รู้
ธาราทิพย์มองไปทางไหน เห็นแต่ต้นไม้สูงใหญ่ราวกับอยู่ในป่าดงดิบ หากไม่มีบ้านที่สร้างจากไม้ซุงพวกนี้ที่ตกแต่งอย่างทันสมัยพร้อมเครื่องเรือน ข้าวของเครื่องใช้ไม้สอยที่ล้วนแล้วแต่ยุคสมัยใหม่แทบทั้งสิ้น ก็อาจเข้าใจได้ว่าเธอคงกำลังติดอยู่ในป่า
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเธอถูกกักตัวมาสามวันแล้วในบ้านหลังนี้ เดินเข้า ๆ ออก ๆ สำรวจไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นหนทางจะหนีไปไหนได้เลย อยากรู้จริง ๆ ว่าที่นี่มันที่ไหน
ทีวีรุ่นใหม่จอบางและใหญ่เกือบเต็มผนังของบ้านฝั่งนั้น เครื่องเรือนที่ลงตัวกับวัสดุที่ทำบ้าน ของตกแต่งทั้งหมดก็ดูสวยงามลานตาดี หากไม่ติดว่าเธอกำลังถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวอยู่ก็คงจะนอนเล่นน้ำที่ลำธารหน้าบ้านนี่ไปแล้ว
ยกมือเท้าเอวเดินไปนั่งลงแช่ขากับสายน้ำใสและเย็นฉ่ำที่ไหลผ่านไปเรื่อย ๆ มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นว่ามีใครคอยเฝ้าจึงทำทีเป็นลุกแล้วเดินไปยังทางที่เป็นถนนเส้นเล็กที่น่าจะใช้สัญจรออกไปยังด้านนอก ขณะก้าวขาไปตรงทางนั้นเองก็ต้องชะงักสะดุ้งตกใจกับเสียงที่ด้านหลัง
“จะไปไหน”
เสียงถามดังมาจากนายหัวหน้าฝรั่งแน่นอน ไม่ต้องหันไปมองหรอกธาราทิพย์ เธอจำเสียงนั้นได้ หญิงสาวบอกกลับด้วยน้ำเสียงเซ็ง ๆ “ฉันจะไปไหนได้ ป่ากว้างใหญ่ออกขนาดนี้” บอกเขาไปแล้วก็ถือโอกาสถามเสียเลย “ยายส้มจ้างคุณมาเท่าไร”
ร็อกมองเธอนิ่งด้วยสายตาสำรวจ มุมปากของเขาขยับยกขึ้นนิด ๆ ก่อนถามกลับ “จะให้กี่เท่าลองบอกมา”
ธาราทิพย์กวาดสายตามองขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างประเมินราคาแล้วเอ่ยไปว่า “ให้สองเท่าเลย เอาไหม”
“น่าสนใจดีนี่เดี๋ยวจะคิดดูอีกที”
ร็อกบอกราวกับจะให้ความหวังเธอแล้วเดินจากไป ธาราทิพย์มองตามหลังแล้วพึมพำบ่นไล่หลังไปด้วย เขาไม่ได้กักขังเธอ