SOMEBODY 27
****************************
วันต่อมา
“แน่ใจนะว่าไม่ให้พี่ไปส่ง?”
พี่คิณณ์ถามรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ วันนี้ฉันไม่ได้ให้พี่คิณณ์ไปส่งเพราะมีนัดกับชินต์แล้ว แต่เลือกที่จะไม่บอกเขาเพราะกลัวว่าเขาจะไม่ยอมให้ฉันไป
ไม่ใช่ว่าฉันคิดนอกใจพี่คิณณ์นะเพียงแต่เรื่องบางอย่างมันก็ไม่ได้สำคัญที่จะบอกเท่านั้นเอง แล้วถ้าบอกไปก็อาจจะทำให้เขาคิดมากก็ได้ไง ฉันก็เลยเลือกที่จะไม่บอกเขาดีกว่า
“ค่ะ” ฉันยื่นหน้าไปหอมแก้มพี่คิณณ์ก่อนจะออกจากห้องมา
พอเดินลงมาชั้นล่างก็เห็นชินต์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว เขาเดินเข้ามาหาฉันก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายฉันไปถือให้
ฃเรากำลังจะเดินขึ้นรถแขนฉันก็ถูกดึงอย่างแรงจากมือหนาของใครบางคน พอหันไปมองถึงได้รู้ว่าเป็นพี่คิณณ์นั่นเองที่ตามฉันลงมา
การที่เขาตามฉันลงมาเขาคงไม่ไว้ใจฉันล่ะมั้ง แต่ฉันก็เข้าใจนะเพราะว่าฉันเองก็ทำตัวมีพิรุธเองแหละ
“พี่คิณณ์?”
“ที่ไม่อยากให้ไปส่งเพราะนี่ใช่ป่ะ?”
พี่คิณณ์ตะโกนใส่หน้าฉันแต่เขาก็ทำอย่างนั้นได้ไม่นานเมื่อชินต์ปัดมือพี่คิณณ์ออกจากมือของฉันแล้วผลักพี่คิณณ์ให้ออกห่างจากตัวฉัน สีหน้าของชินต์ดูโกรธมากที่พี่คิณณ์ตะโกนใส่หน้าฉันแบบนี้
“เฮ้ย อย่าทำรุนแรงกับคุณหนู” ชินต์ชี้หน้าพี่คิณณ์
พวกเขาทั้งสองคนจ้องหน้ากันเหมือนจะฆ่ากันทางสายตา พอเห็นท่าไม่ดีฉันก็ดึงชินต์ให้ขึ้นรถเพราะไม่อยากมีเรื่อง
ส่วนพี่คิณณ์เองฉันก็ได้แต่มองเขาด้วยสายตาขอโทษและรอให้ฉันกลับมาอธิบายว่าทำไมถึงต้องไปกับชินต์ทีหลังแล้วกัน
“นี่ฉันไม่ชอบให้นายชี้หน้าด่าพี่คิณณ์แบบนั้นนะ”
พอเราอยู่ด้วยกันสองคนฉันก็ต่อว่าชินต์ทันที ถึงแม้ว่าพี่คิณณ์จะทำแบบนั้นแต่เขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนฉัน
และที่เขาทำมันก็แสดงให้ฉันเห็นแล้วว่าเขาหวงฉันและเขาก็ยังคงรักฉันอยู่ ชินต์หันหน้ามามองฉันเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปโดยไม่พูดอะไร
“นายได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่าชินต์?”
“ได้ยิน”
“ได้ยินแล้วทำไมไม่รับปากว่าจะไม่ทำอีก?”
“ฉันมีหน้าที่ดูแลเธอ ไม่ว่าใครหน้าไหนที่คิดจะทำร้ายเธอฉันมีสิทธิ์ที่จะปกป้องเธอตามคำสั่งของนาย”
ในหัวของเขามีแค่พ่อฉันอย่างเดียวหรือไงที่สำคัญกับเขา แล้วฉันล่ะมีความสำคัญกับเขาบ้างมั้ย ถ้าพ่อไม่สั่งให้เขามาดูแลฉันเขาก็คงจะไม่มาใช่มั้ย
คิดแล้วก็รู้สึกน้อยใจยังไงไม่รู้ แววตาที่แสนเย็นชาของเขามันทำให้ฉันอยากจะทำให้เขาหลงรักฉันขึ้นมาให้ได้เลยแล้วฉันจะเขี่ยเขาทิ้งทีหลังให้สาสมกับสิ่งที่เขาเคยทำกับฉันเอาไว้
ทีแรกฉันคิดว่าจะไม่ทำหรอกนะเพราะไม่อยากให้เขาเจ็บเหมือนที่เขาเคยทำให้ฉันเจ็บ แต่พอเห็นแววตาไร้ซึ่งความรู้สึกของเขานั้นมันทำให้ฉันอยากเอาชนะคนอย่างเขาชะมัดเลย
รถมาจอดที่หน้าบ้านหลังใหญ่ ซึ่งเป็นบ้านที่ฉันไม่ค่อยอยากจะก้าวขาเข้ามาเท่าไหร่
เพราะเวลาที่มาฉันก็จะถูกสายตาของญาติพี่น้องมองด้วยความรังเกียจที่ฉันเลือกผู้ชายไม่มีอนาคตอย่างพี่คิณณ์มาเป็นแฟนและมาอยู่ในตระกูลของเรา
แต่จะให้ฉันทำไงได้ล่ะในเมื่อฉันรักเขาไปแล้ว จะบอกว่าฉันมันไม่รักดีก็ได้นะฉันยอมรับ แต่พี่คิณณ์ก็ไม่ใช่ผู้ชายที่เลวร้ายเลยนะเขาเป็นคนขยันมากซะด้วยซ้ำมากกว่าพวกเราซะอีก
ฉันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายกับเหตุการณ์ที่มันกำลังจะเกิดขึ้น แต่ก็คงเลี่ยงไม่ได้ในเมื่อวันนี้เป็นวันเกิดของคุณย่าและลูกหลานทุกคนจะต้องมาร่วมงานด้วย
ชินต์ก็เลยมารับฉันอย่างที่เห็น และที่ฉันไม่บอกพี่คิณณ์เพราะกลัวว่าเขาจะน้อยใจว่าทำไมฉันถึงไม่ชวนเขามาร่วมงานด้วย
ฉันเองก็อยากชวนนะแต่คุณย่าประกาศอย่างชัดเจนเลยว่าห้ามให้พี่คิณณ์เข้ามาร่วมงานให้เป็นที่น่ารังเกียจของงาน ฉันก็แอบสงสารแฟนตัวเองเหมือนกันนะที่ครอบครัวของฉันไม่ต้อนรับเขาอ่ะ
ฉันเดินเข้ามาในบ้านก็เห็นทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว ฉันยกมือไหว้ทีละคนจนสายตาไปสะดุดเข้ากับพี่ลีลาเราเป็นลูกพี่ลูกน้องกันและเธอก็ได้แฟนเป็นนักธุรกิจชาวต่างชาติหนุ่มไฟแรงทำใหคุณย่ารักและเอ็นดูเธอมากกว่าฉัน
แต่ฉันก็ไม่ได้แคร์หรอกนะเพราะสมบัติของคุณย่าไม่ได้แบ่งมาให้ฉัน และฉันก็ไม่ได้ต้องการมรดกบ้าบออะไรนั่นด้วย
ฉันเดินไปนั่งข้างพี่ลีลาเพราะมันเหลือที่ว่างที่เดียวที่ให้ฉันนั่ง ที่จริงแล้วฉันแทบไม่อยากจะนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำเพราะสายตาของแต่ละคนที่มองฉันเหมือนว่าฉันเป็นคนอื่นที่ไม่ได้เป็นสายเลือดเดียวกับพวกเขา
ความอึดอัดเริ่มก่อตัวขึ้นมาทันทีที่นั่งลงแล้วถูกจ้องมองแบบนี้ บอกเลยนะว่าฉันไม่ได้อยากมาเลยด้วยซ้ำนี่ถ้าไม่ใช่เพราะแม่โทรไปบอกฉันให้มาฉันก็คงไม่มาหรอก
“แฟนไม่มาด้วยเหรอจ๊ะลิซ?” น้ำเสียงที่ดูถูกของพี่ลีลาทำให้ฉันตวัดหางตามองเธออย่างไม่พอใจ
ถ้ามาก็เห็นไปแล้วสิถามอะไรโง่ๆ หรือตาบอดมองไม่เห็นว่าฉันเดินเข้ามาคนเดียว ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไรทำไมพี่ลีลาถึงได้ไม่ชอบหน้าฉันทั้งที่เราก็เป็นญาติกัน เจอหน้าฉันทีไรก็ชอบพูดแขวะตลอด
“เอาล่ะในเมื่อมากันครบแล้วย่าก็มีอะไรอยากจะบอกลูกๆ หลานๆ”
ทุกคนต่างพากันทำหน้าตื่นเต้นเหมือนรู้ว่าคุณย่ากำลังจะบอกอะไรพวกเรา ฉันไม่เห็นจะตื่นเต้นตรงไหนเลย มันก็คงไม่พ้นเรื่องมรดกอะไรนั่นแหละ
“ย่าจะยกบริษัทให้ลูกชายคนโตคือประวิทย์เป็นคนดูแลงานทุกอย่าง” ลูกชายคนโตที่คุณย่าพูดถึงก็คือคุณพ่อของฉันเอง
“ทำไมต้องยกให้พี่ประวิทย์ด้วยล่ะคะ เราทุกคนก็ดูแลดีเหมือนกัน”
พวกญาติๆ พากันโวยวายกันยกใหญ่ไม่ยอมอย่างเดียว ก็เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงไม่อยากมา มาแล้วก็เห็นภาพบรรยากาศเดิมๆ เหมือนทุกปีที่ผ่านมา มันน่าเบื่อน่ารำคาญมากเลยนะ
“เพราะประวิทย์เป็นลูกชายคนโตที่จะต้องมาสืบทอดกิจการต่อจากปู่ไง ส่วนเงินมรดกถ้าฉันตายไปฉันได้ทำพินัยกรรมเอาไว้แล้วว่าจะให้ใครบ้าง” แต่นั่นทุกคนก็ยังคงโวยวายเหมือนเดิม ไม่ยอมท่าเดียวที่ตัวเองไม่ได้อะไรเลย “เลิกโวยวายได้แล้วถ้าพวกแกอยากได้เงินฉันนักก็พิสูจน์ให้ฉันเห็นว่าพวกแกสามารถดูแลเงินของฉันได้”
“...” ทุกคนเงียบเสียงลงทันทีกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้รับมรดก
“ลิซหลานคงไม่ได้พาไอ้สวะนั่นมาร่วมงานของย่าหรอกใช่มั้ย?”
คำว่าไอ้สวะของคุณย่าทำให้ฉันทนไม่ได้ที่ทุกคนมองพี่คิณณ์เป็นแบบนั้น ถ้าไม่ชอบพี่คิณณ์ก็ไม่ต้องพูดถึงเขาก็ได้นี่ไม่เห็นจะต้องมาดูถูกกันขาดนี้เลย
ฉันลุกขึ้นเพื่อจะเดินหนีไปที่อื่น ฉันนั่งทนมานานมากแล้วนะและจะไม่ทนอีกแล้วด้วย ถึงแม้พี่คิณณ์จะไม่ใช่คนรวยเหมือนเราแต่เขาก็คนเหมือนกัน เดินบนดิน และเขาก็กินข้าวเหมือนกับเราไม่ได้กินหญ้านี่ทำไมจะต้องว่าให้พี่คิณณ์รุนแรงขนาดนี้ด้วย
“ลิซนั่งลงเดี๋ยวนี้” คุณแม่สั่งให้ฉันนั่งลงก่อนที่คุณย่าจะโมโหที่เห็นว่าฉันก้าวร้าว ฉันนั่งลงโดยที่ไม่พูดอะไร ได้แต่กำมือแน่นด้วยความเจ็บใจที่ปกป้องพี่คิณณ์ไม่ได้เลย
“ลูกหลานของฉันไม่มีใครนอกคอกเหมือนลูกสาวของเธอเลยนะจัญญา” จัญญาคือชื่อของแม่ฉันเอง คำพูดดูถูกยังสาดใส่ฉันไม่ยั้ง แค่คบกับคนที่ไม่ได้มีเงินมันก็กลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจไปแล้วเหรอ
ทุกคนต่างมองมาที่ฉันและหัวเราะเยาะที่ฉันโดนคุณย่าต่อว่าแบบนี้ แต่ฉันไม่แคร์หรอกนะเพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้มีอิทธิพลกับฉันอยู่แล้ว
อยากจะหัวเราะก็เชิญเลย แต่พวกเธอก็อย่าล้มบ้างแล้วกันเพราะฉันจะไม่ใช่แค่ข้ามอย่างเดียวแต่ฉันจะเหยียบซ้ำด้วย
หลังจากอยู่ร่วมงานจนเลิก ฉันก็เดินออกมาข้างนอกเพื่อตามหาชินต์ให้ไปส่งฉันที่หอพัก ฉันไม่อยากค้างที่นี่ ไม่อยากอยู่ฟังเสียงของพวกไม่จริงใจต่อกัน
อยากจะออกไปจากตรงนี้ให้พ้นๆ สักที ชินต์หายไปไหนก็ไม่รู้ฉันเดินตามหาเขาทั่วงานแต่ก็ไม่เห็นเลย
พอจะเดินกลับเข้าไปหาในบ้านก็เจอเข้ากับพี่ลีลาที่ยืนขวางทางฉันอยู่ พอจะเดินเลี่ยงเธอก็เข้ามาขวางเอาไว้เหมือนจะหาเรื่องกัน
“นอกจากเธอจะคว้าผู้ชายที่ไม่มีอนาคตมาเป็นแฟนแล้วเนี่ยเธอยังจะคว้าลูกน้องของพ่อตัวเองมาควงอีกนะ เธอนี่ยังไงนะลิซทำไมใฝ่ต่ำได้มากขนาดนี้”
ฉันมองหน้าเธอที่พูดทำให้ฉันหมดสนุกกับงานวันเกิดคุณย่า ที่จริงก็หมดสนุกตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้านแล้วล่ะ
แล้วนี่ยังต้องมาเจอญาติปากหมาอีก ฉันเลือกที่จะไม่สนใจแล้วเดินตามหาชินต์ต่อแต่พี่ลีลาก็เดินเข้ามาขวางอีกครั้ง
“ทนฟังไม่ได้หรือไงจ๊ะน้องลิซ”
“พี่ลีลาได้ศัลยกรรมปากหรือเปล่าคะ?” ฉันสวนกลับไปทันที
ฉันเองก็ไม่ได้อยากมีเรื่องกับเธอหรอกนะแต่ปากเธอน่ะมันมีปัญหามันชอบพูดจาถูกคนอื่นอยู่เรื่อยเลย
การที่ฉันเงียบไม่ได้แปลว่าฉันกลัวฉันแค่ไม่อยากมีเรื่องเท่านั้นแต่ถ้ามันจะมีเรื่องจริงๆ ก็คงต้องมีแล้วล่ะ เพราะฉันไม่ใช่คนที่มายอมอะไรง่ายๆ แบบนี้ด้วย
“เธอถามทำไม?” คนตรงหน้าฉันหุบยิ้มทันทีที่ฉันถามว่าเธอศัลยกรรมหรือเปล่า เพราะฉันรู้มาว่าเธอทำเยอะมาก พอถูกถามแบบนี้มันก็เลยทำให้เธอหมดความมั่นใจล่ะมั้ง
“ลิซแนะนำให้พี่ลีลาไปศัลยกรรมปากซะนะคะ”
“ทำไม?”
“พอดีปากพี่ลีลามันมีปัญหาน่ะค่ะ มันชอบพูดหาเรื่องคนอื่นไม่หยุดเลยระวังนะคะ ระวังจะโดนเตะปากเอา”
“นี่เธอ...”
“อย่าเสียงดังสิคะอยู่ใกล้กันแค่นี้เอง เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนเอาได้”
พูดจบฉันก็เดินหนีออกมาทันทีไม่อยากจะอยู่มองหน้าเธอสักวินาทีเดียว แค่นี้มันก็น่าเบื่อมากพออยู่แล้ว
คนอย่างพี่ลีลาน่ะถ้าไม่ตอบโต้อะไรเธอกลับไปเธอจะคิดว่าฉันกลัวไง เพราะงั้นฉันจะไม่ยอมให้เธอได้พูดจาดูถูกฉันอีกต่อไปแล้ว ไอ้ที่เงียบมาตลอดเพราะเห็นว่าเธอเป็นพี่สาวหรอกนะ ไม่อย่างนั้นก็คงด่าไปนานแล้ว
“ลิซ”