"พี่ห้าต้องอ่อนโยนกับนาง แบบนี้…"โน้มตัวลี่หยางที่แข็งขืนลงช้าๆ ยื่นหน้าจื่อปากเข้าไปใกล้ๆ ลี่หยางขืนตัวไว้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
แต่ลี่เจินไม่สนใจยังตั้งหน้าตั้งตาสอน ดัดเสียงให้ทุ้มเหมือนเสียงของลี่หยาง
"ข้ารักเจ้า…."ยื่นปากเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ลี่หยางผลักร่างลี่เตินกระเด็นกระดอน
"พี่ห้า ท่านไม่ยอมให้ข้าสอนเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่นางจะกล่าวชื่นชมท่านเล่าบุรุษเราคำกล่าวชมในเรื่องนี้นับว่าน่าชื่นชมที่สุดเป็นยอดคนที่เดียว"
"แต่อธิบาย ไม่ต้องแสดงให้ข้าดูก็ได้"
"ไม่ได้เลยเรื่องแบบนี้สำคัญนัก ว่าแต่พี่ห้าบอกว่ายังไม่ถึงขั้นไหนนี่พี่รัญ นางถึงขั้นไหนกันแล้ว"ก้มหน้านิ่งไม่กล้าบอกลี่เจิน
"จูบ"
"จูบนางแล้วหรือ"พยักหน้า
"นาง ป้อนยาข้า"ลี่เจินส่ายหน้า
"อย่างนั้นเขาไม่เรียกว่าจูบ ถึงว่าพี่ห้าถึงต้องหาตำรากามสูตรการจูบต้องออกมาจากใจไม่ใช่เรื่องบังเอิญความบังเอิญทำให้ใจสั่นไหวก็จริง แต่ไม่หอมหวานเท่าจูบแบบจงใจ"ผู้เชี่ยวชาญ
"ข้ายังไม่เคยจงใจจูบนาง"พูดเรื่องจริงออกมาทั้งหมด
"เริ่มใหม่ให้หมดเลย ขั้นแรกพี่ห้าต้องอ่อนโยนกับนาง โน้มตัวแล้วก็สบตานางมองตานางเหมือนกับจะให้ทะลุถึงหัวใจว่านางมีใจให้ท่านไหม เราไม่ใช่เสด็จพ่อที่ใครๆ ก็อยากอุ่นเตียงให้ ฉะนั้นต้อง"
"ถ้านางปฏิเสธ ข้าล่ะ"
"หากนางนิ่ง หลับตาพริ้ม หรือแอบกอดท่านหรือร่างอ่อนระทวยในอ้อมแขนแสดงว่านางไม่มีทางปฏิเสธท่านแน่ น่านะท่านต้องใจกล้าหน่อยอย่างนั้นพี่สะใภ้ห้าคงเฉาตายแน่"ไม่กล้าเล่าให้ฟังเรื่องนางรบเร้าเขาในคืนนั้นไม่อย่างนั้นลี่เจินคงขำตาย
ริมฝีปากนุ่มบดเบียดซอกซอนค้นหวานความหวาน อ้อมกอดกระชับแนบแน่นหว่านหนิง ร่างอ่อนระทวยในอ้อมแขน แทบจะทรงตัวไม่อยู่ไปร่ำเรียนมาจากไหนกัน แม้จะตะกรุมตะกรามไปหน่อยแต่ก็ให้ความรู้สึกซาบซ่าน หว่างหนิงไร้เรี่ยวแรงจะทรงกายซุกหน้าลงบนอกกว้างก็ไม่เคยต้องมือชายมาก่อนเช่นกัน
"ไปที่แท่นนอนกันไหม"กระซิบข้างหูเสียงสั่น ใจก็กลัวว่าบทต่อไปจะเป็นอย่างที่ใจคิดลี่เจินไม่ได้บอกไว้เขาแค่สอนวิธีการจูบบอกให้มาหัดจูบนางบ่อยๆ
"องค์ชาย ต้องการอย่างนั้นหรือ"เสียงสั่นไม่แพ้กัน
ก้มลงจูบที่ปากเบาๆ มีแบบเร่งรัดไหม แบบที่ใจต้องการในตอนนี้ช้อนร่างบางไว้ในวงแขนเขาไม่สนใจบทเรียนอีกต่อไปแล้วในเมื่อ เขาและนางใจตรงกันถึงเพียงนี้ วางร่างบางลงเบาๆ บนแท่นนอนทาบทับร่างใหญ่ลงไปเต็มตัว ช่างมันเถิดบทเรียนนั่น ผิดถูกแค่ขอให้สุขสมก็พอถอดอาภรณ์ของหว่านหนิง ออกด้วยอาการเงอะงะโยนอาภรณ์ทิ้งไปเสียให้พ้นๆ มืออุ่นลูบไล้ด้วยความหวงแหน พรมจูบไปทั่วร่าง แม้จะเงอะงะไปบางแต่มันก็เป็นไปตามครรลองของมัน เสียงกระดิ่งลมดังแว่วๆ เหมือนกับเร่งเร้าจังหวะให้เร็วขึ้น ร่างเปลือยสองร่างกอดก่ายกันบนแท่นนอน ลี่หยางแทรกร่างใหญ่เขาไปตรงกลางร่างบางเปลือยเปล่าของหว่านหนิง ความเจ็บปวดที่เกือบจะทนไม่ไหว ไหนในตำราบอกว่าสุขสมทำไมเจ็บปวด หว่านหนิงเองก็ข่มความเจ็บปวดไว้ไม่แพ้กันในเมื่อต่างคนต่างเจ็บปวดแต่ทำไมไม่ยอมหยุดสิ่งที่กระทำอยู่ เอวหนาขยับขึ้นลงช้าๆ ตามใจปรารถนาแต่ก็อดสงสารหว่านหนิงไม่ได้นางคงเจ็บปวดไม่น้อยถึงกลับต้องเกร็งตัวจิกเล็บลงบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขา
...ความเจ็บปวดที่ควรค่าแก่การแสวงหาเช่นนั้นหรือ….
บัดนี้กับรู้สึกหวงแหนนางมากขึ้น ในตอนนี้แม้จะตกนรกเขาก็ยอม ขยับเอวหนาเร่งจังหวะ ปล่อยให้หว่านหนิงบิดเร่าไปมากอดรัดรางบางแน่นแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน หว่านหนิงปากคอสั่นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดในครั้งแรกของนาง ครั้งแรกของเขาก็เป็นครั้งแรกของนางเหมือนกัน ลี่หยางอมยิ้มก้มลงบดริมฝีปากนางไว้ไม่ให้เสียงร้องครางดังเล็ดลอดออกมา สวรรค์ลอยเด่นอยู่เบื้องหน้าลี่หยางไม่รอช้าควบตะบึงจนถึงจุดหมายปลายทางพร้อมกันกับชายาในอ้อมแขนที่บัดนี้เป็นชายาอย่างสมบูรณ์แล้ว
เกือบฟ้าสาง ทุกอย่างจึงจะสงบลงในเมื่อหว่านหนิงแทบจะขยับตัวออกจากอ้อมแขนของลี่หยางไม่ได้ เขากอดรัดไว้ทั้งคืน เจ็บระบมไปทั่วกายจะตื่นสายเสียหน่อยก็เกรงสองอิงจะรอนาน เดินลงจากแท่นนอน
อาภรณ์ถูกโยนกระจัดกระจาย ชอบโยนนักหรือไร นอนทั้งๆ ที่ร่างเปลือยเปล่าเมื่อคืนหมายจะลุกมาใส่แต่อีกคนกับรั้งเอวบางไว้แน่น จึงจับต้องอุ่นเตียงให้เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หว่านหนิงพยายามปรับท่าเดินให้เป็นปกติ อิงไถกับกุ้ยอิงมองหน้ากันยิ้มๆ แต่ไม่กล้ากล่าวคำใด หว่านหนิงหน้าแดง ทั้งๆ ที่พยายามข่มความรู้สึกแล้วก็ตาม
ลี่หยางตื่นมาด้วยสีหน้าแช่มชื่นทั้งๆ ที่อดนอนทั้งคืน แล้วยังเป็นฝ่ายออกแรงทำไมเหมือนไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหว่านหนิงเสียอีกเหมือนโดนดูดไอชีวิตไปจนหมดใบหน้าซีดขาวอีกคนกับดูมีสีเลือดกว่าปกติทั้งๆ ที่แต่แรกเป็นลี่หยางที่ใบหน้าเหมือนซากศพ เติมข้าวถึงสามถ้วย หว่านหนิงมองค้อน
ก้มลงข้างๆ หู
"วันนี้ ไม่ต้องทำความสะอาดตำหนักร้อยดาว เจ้าควรนอนพักเสียนานหน่อยหลังจากที่เมื่อคืนกรำศึกหนัก"อิงไถกับกุ้ยอิงคราวนี้ถึงกับเอามือปิดปากหัวเราะพร้อมกัน หว่านหนิงหน้าแดงระเรื่อ