หยวนรุ่ยฟงเป็นเพียงสตรีบอบบาง ให้ดีคืออ่านออกเขียนได้ มีความสามารถทางด้านทำอาหารและปรุงยาเล็กน้อย แล้วก็เย็บปักผ้า นั่นคือคุณสมบัติเพื่อเป็นแม่ศรีเรือนให้ชายสักคน และการที่อยู่บ้านสวนทำให้โลกของนางทั้งเล็กและแคบ ไม่ได้เห็นสิ่งใดมากนัก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้ หัวใจนางก็เหมือนจะระเบิดออกมาอยู่นอกอก กลัว สับสน ทั้งขาดประสบการณ์ที่จะรับมือ
“แม่นาง จงแจ้งชื่อของเจ้าให้ข้าทราบเดี๋ยวนี้”
เสียงของมือปราบไป๋เข้ม สีหน้าดุดัน เขาย้ำเช่นนั้น เพราะมีเบาะแสว่า คุณหนูสี่สกุลหยวน ที่เมื่อหลายปีก่อนถูกส่งตัวไปยังบ้านสวน ยามนี้เหลือรอดชีวิต ไม่ได้ถูกสังหารยกครัว และกลายเป็นศพไหม้เกรียมในจวนเจ้ากรมโยธา
ฝ่ายหยวนรุ่ยฟงคิดไม่ตก นางควรทำเช่นไร แกล้งเป็นสตรีบ้าใบ้ เช่นนั้นนางจะรอดพ้นจากเงื้อมืออีกฝ่ายหรือไม่
ดวงหน้างดงามแม้ไม่ได้แต่งแต้มสีสันอันใดลงไป มีเหงื่อเกาะพราวที่หน้าผาก ดวงตากลมโตมองไป๋เฉินฉีอย่างตื่นตระหนก ภาพนางประทับใจเขาเหลือเกิน แม้ให้เป็นคนใจร้ายที่สุด เขายังต้องผ่อนปรนความหยาบคายลง
ขณะเดียวกัน หยวนรุ่นฟงก็คิดใคร่ครวญในใจ และหากสุดท้ายก็เลือกทางออกในแบบของตน
“ขะ ข้า ชื่อเหมาชู...”
ชื่อดังกล่าวคือ สาวใช้ที่ไปกับจางเจีย และนางต้องปลอมตัวเป็นอีกฝ่ายสักระยะ
“อย่าบอกนะว่า ผิวพรรณเช่นแม่นางน้อย เป็นสาวใช้ หรือพวกต่างเมืองที่หลบหนีมาอยู่ที่นี่ และหวังทำงานในตรอกนางโลม หรือเป็นขอทานเร่ร่อน”
ไป๋เฉินฉีกล่าวเช่นนั้น คือการดักนางไม่ให้สร้างเรื่องแก้ตัว
“ข้าเป็นสาวใช้ของคนผู้หนึ่ง แต่ยามนี้เป็นไทแก่ตน และกำลังจะเดินทางลงทางใต้ เพื่อไปแต่งงาน”
หยวนรุ่ยฟงโกหก ด้วยการสร้างเรื่องที่เหมาชูชอบเล่าอย่างเพ้อฝันให้ฟัง อีกฝ่ายมีคู่หมั่นตั้งแต่ยังเด็ก และนางกับฝ่ายนั้น มีสัญญาใจว่า เมื่อไม่ต้องรับใช้ผู้ใด จะแต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยาที่เมืองฉวนตง
“โอ้ วาสนาของชายใดหนอที่จะได้กินเนื้อหงของอาชู” น้ำเสียงของไป๋เฉินฉีเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่แววตาเขาดูอย่างไรก็ไม่เชื่อน้ำคำนาง
“ข้าจะแต่งกับบุรุษผู้หนึ่ง จริงๆ พวกเรามีสัญญาหมั้นหมาย...” นางหมายถึง ตู้หนิงห้าวชายที่เคยแต่ได้ยินชื่อจากปากของเหมาชู
“ฮ่ะ ๆ ๆ เอาล่ะ ยืนยันเช่นนั้น ข้าก็ไม่อยากทำให้เจ้ากลัวไปกว่านี้ แต่...ทางการเข้มงวด ผู้ใดจะผ่านเข้าออกเมือง ย่อมต้องแสดงหนังสือเดินทาง”
เรื่องพวกนี้จางเจียเตรียมไว้ให้แล้ว อีกฝ่ายนั้นรอบครอบมาก มีทั้งหนังสือไถ่ถอนตัว หนังสือรับรองตัวตน ผิดแต่หนังสือเดินทาง คนที่พานางมาซ่อนตัวได้ขโมยไปเพื่อไม่ให้นางออกจากเมืองได้
“ใต้เท้า...” น้ำเสียงหยวนรุ่ยฟงอ่อนลงกว่าเดิม สีหน้าก็ปั้นให้เศร้าสร้อย “บังเอิญเหลือเกินว่า มีคนขโมยมันไป ยามนี้แม้แต่เงินสักอีแปะข้าก็ไม่มี ของติดตัวยามนี้ มีเพียงเครื่องประดับเล็กน้อยที่เจ้านายมอบไว้ให้ ใจอยากนำไปขาย... ทว่ามันก็มีคุณค่าทางใจ ผู้น้อยไม่อาจรู้ได้ว่า ชาตินี้จะมีโอกาสครอบครองอีกหรือไม่”
ไป๋เฉินฉีนิ่วหน้า และใช้เสียงเข้มกับนาง
“อย่าได้บีบน้ำตา เอาล่ะ... หากไม่มีหนังสือเดินทาง เจ้าจงไปที่สำนักว่าการของเมืองฝู ลงทะเบียนประวัติให้เรียบร้อย จากนั้นก็จะสามารถออกนอกเมืองนี้เพื่อไปแต่งงานกับคนที่รัก”
ได้ยินอย่างนั้น ก็เหมือนทางรอดของนางแล้ว หยวนรุ่ยฟงรีบโค้งคำนับให้อีกฝ่าย และหมุนตัวก้าวหลบไปอย่างเร็ว
ทุกก้าวที่นางสืบเท้าไปนั้น จิตใจระร่ำระส่าย ทั้งหวาดกลัวเกรงจะมีคนติดตามมา ขณะเดียวกัน แม้ไม่อยากมองตามจุดติดประกาศต่างๆ นางยังเห็นภาพวาดบิดา ติดเอาไว้ และยังมีรายชื่อคนที่เสียชีวิตในกองเพลิง ถึงจากจวนใหญ่ไปนาน ซึ่งนางรู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่การสูญเสียเช่นนี้ ก็ทำให้นางสะเทือนใจ จนเสียน้ำตา
อย่างไรก็ตาม เมื่อมันสะดุดลงเหว โลกนั้นคล้ายจะถล่มใส่หยวนรุ่ยฟงไม่ยั้ง
“นั่น... นางอยู่ที่นั่น คนของสกุลหยวน บอกให้ข้าพานางไปซ่อนตัวให้ไกลที่สุด”
เสียงดังกล่าว นางจำได้ดี ฝ่ายนั้นมากับคนที่จางเจียจ้างวานไว้ และไม่รู้เหตุคนอื่นๆ หายไปหมด เหลือแต่บุรุษร่างหนา ดวงตาโปน พบหน้ากันครั้งใดหยวนรุ่ยฟงตงครั่นคร้ามใจเสียทุกเสมอ กระทั่งเมื่อวันก่อนที่นางตื่นขึ้น จึงรู้ว่าของหลายสิ่งหายไป โชคดีที่นางซ่อนเครื่องประดับบางส่วนไว้ลับตาผู้อื่น มิเช่นนั้นหยวนรุ่ยฟง คงสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีสิ่งใดที่จะใช้แลกอาหาร
“หึๆ ๆ มาจากสกุลหยวน แล้วนางเป็นผู้ใด”
“สาวใช้” เสียงห้าวๆ ร้องตอบ
“เหลวไหล! ใครจะให้เจ้าพาสาวใช้ออกนอกเมือง สมองทึบเช่นนี้ มิน่าถึงขโมยของมาได้เพียงแค่เล็กน้อย”
“ใครว่าข้าสมองทึบ พวกที่คุ้มกันนางมา ตอนนี้ข้าหลอกพวกมันไปส่งทางการหมดแล้ว ป่านนี้คงกำลังถูกเรียกสอบสวน หากพวกมันมีความผิด ก็เป็นหน้าที่พลเมืองดีเช่นข้า ได้ทั้งเงินนำจับ และมีชื่อเสียงติดตัว!”
ได้ฟังถึงตรงนี้ หยวนรุ่ยฟงก็กระจ่างใจ อนิจจานางเป็นต้นเหตุให้ผู้อื่นเดือดร้อนอีกแล้ว
ยามนั้น นางจึงหาทางหลบให้ห่างคนพวกนี้
ขณะที่หาทางออกให้ตนอยู่นั้น บังเอิญว่า นางสะดุดเข้ากับร่างของคนผู้หนึ่ง ที่มีกลิ่นถุงหอมอบอวลไปทั้งตัว!
ร่างบอบบางเกือบเซเสียหลักล้ม ทว่าเป็นเขาที่ใช้มือใหญ่ข้างหนึ่ง โอบเอวนางไว้
ดวงตานางสานสบกับคนผู้นั้นพอดี และมีกระแสบางอย่างส่งต่อออกมา มิใช่ความนุ่มนวล อ่อนโยน แต่มันอัดแน่นด้วยไฟร้อนแรงที่แทบจะแผดเผาร่างกายของนาง
หยวนรุ่ยฟงปั่นป่วนไปหมด ด้วยนางย้อนนึกถึงการสัมผัสจากบุรุษผู้นั้นในรถม้า
ทว่าคนผู้นี้อายุคงไม่มาก ผิวหน้ายังอ่อน ไม่กร้านแดดกร้านลม หากไว้หนวดเครา จึงทำให้เขาประหนึ่งเป็นจอมโจรภูเขา ไม่ก็พวกคนเถื่อนที่มักก่อเรื่องปล้นฆ่าคนไปทั่ว แต่คงเป็นจอมโจรหน้าหยกที่เพียงแค่มองแวบเดียว หัวใจสาวก็เหมือนถูกแผดเผา!