บทนำ

1885 คำ
“นี่มัน..” นายแพทย์ภวินท์หยิบรูปที่ถูกถ่ายจากกล้อง       โพลารอยด์ที่หล่นจากหนังสือตกสู่พื้นขึ้นมาถือไว้ในมือ เมื่อเห็นว่าเป็นรูปคู่ของตนกับใคร เรื่องราวเก่าๆ ในวันวานก็พลันผุดพรายขึ้นมาในห้วงความทรงจำ ทรวงอกอวบอิ่มกระเพื่อมไหวตามจังหวะที่สองกายกระทบกัน เสียงครวญครางที่เล็ดลอดออกจากริมฝีปาก ‘ของเล่นชิ้นใหม่’ ของนายแพทย์ภวินท์ สร้างความพึงพอใจให้ชายหนุ่มไม่น้อย เขาสบตากับเจ้าของร่างอวบอั๋นใต้อาณัติแล้วโน้มใบหน้าลงไปจูบเบาๆ ที่หน้าผากมนและใช้นิ้วเกลี่ยคราบน้ำตาที่อาบสองแก้มนวล ‘เจ็บไหม’ เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถามคนใต้ร่าง พราวจันทร์พยักหน้าเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่มีสิ่งแปลกปลอมสอดแทรกเข้ามาในร่างกาย ทว่าต่อให้เจ็บแค่ไหน เธอก็ทนได้ เพื่อ ‘คนรัก’ ฝ่ามือร้อนผ่าวด้วยพิษใคร่ลูบไล้ลำคอระหงแล้วกล่าวกับเจ้าของมันด้วยสุ้มเสียงอ่อนโยน ‘พี่สัญญาว่าจะพยายามทำเบาๆ จะทะนุถนอมพราวให้มากที่สุด’ ริมฝีปากบางหยักโค้งขึ้นเล็กน้อยเมื่อนายแพทย์ภวินท์เหลือบเห็นเลือดสีแดงสดที่เปรอะเปื้อนผ้าปูเตียง แม้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ขึ้นเตียงกับสาวบริสุทธิ์ แต่เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมหลับนอนกับคนที่มีความรู้สึกดีผสมปนเจืออยู่ด้วย ไม่ได้นำพาด้วยความต้องการทางร่างกายอย่างเดียว กระนั้นแม้จะรู้สึกดีกับพราวจันทร์เพียงใด ก็ไม่อาจยกย่องเธอขึ้นมายืนเคียงข้างกายได้ เพราะเขา.. มีคนที่เลือกเอาไว้อยู่แล้ว ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มบางเบา ทว่านัยน์ตาสีดำขลับกลับดูเศร้าจับใจ “ตอนนี้เป็นยังไงบ้างนะ” หลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยลืมเลยว่าครั้งหนึ่งตนเคยทำเลวกับผู้หญิงคนนี้ไว้แค่ไหน ใจหนึ่งก็อยากพบเจอเธออีกครั้งเพื่อกล่าวคำขอโทษ แต่อีกใจก็คิดว่าหากพราวจันทร์เลือกได้ เธอคงไม่อยากเจอหน้าเขา นายแพทย์ภวินท์ทอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาเมื่อนึกถึงหญิงสาวที่ตนเคยมีความสัมพันธ์ด้วยเมื่อหกปีก่อน ทว่าอารมณ์หม่นหมองก็พลันหายไปในพริบตาเมื่อเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วพบว่าจวนจะใกล้เวลาที่เขารอคอยเต็มทีแล้ว เวลาที่เขาจะได้จรดปลายปากกาลงบน.. ใบหย่า เวลาที่ชีวิตโสดจะกลับมาอีกครั้ง “พอร์ช ฉันมีอะไรจะบอกแก” เธอผู้กุมความลับไว้นานถึงหกปี เมื่อคิดไตร่ตรองมาดีแล้วว่าหากพูดเรื่องนี้ออกไป จะไม่ทำให้ใครได้รับผลกระทบ ไม่ทำให้ชีวิตคู่ใครต้องมีปัญหา เพราะในยามนี้เพื่อนสนิทของเธอได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายที่หย่าร้างทางกฎหมายอย่างถูกต้อง จิตภัทราจึงไม่คิดจะปกปิดเรื่องที่ภวินท์สมควรต้องรู้อีกต่อไป แม้ใครบางคนจะขอร้องให้เธอเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้ไม่ให้เขารู้ก็ตาม นายแพทย์หนุ่มที่พึ่งกลับจากอำเภอพร้อมกับใบหน้าที่สดใส ด้วยว่าสิบโมงเช้าที่ผ่านมา เขาพึ่งจดทะเบียนหย่ากับภรรยาซึ่งอยู่กินกันอย่างหวานอมขมกลืนมานานถึงหกปี เมื่อยามนี้ได้กลับมาเป็นหนุ่มโสดอีกครั้ง แน่นอนว่าผู้ชายลั้ลลาย่อมรู้สึกมีความสุขมากถึงมากที่สุด “มีอะไรก็พูดมาซิ แต่ขอเป็นเรื่องดีๆ นะ วันนี้เป็นวันดีของฉัน ฉันไม่อยากฟังข่าวร้าย” ไม่รู้หรอกว่าเรื่องที่เธอกำลังจะพูดออกไปนั้น เป็นเรื่องดีหรือร้ายสำหรับภวินท์ แต่เธอรู้เพียงแค่ว่าต้องพูดออกไป เพราะหากไม่พูด เธอต้องอกแตกตายเป็นแน่ หกปี.. หกปีที่แพทย์หญิงจิตภัทราต้องทนเก็บงำความลับเรื่องที่ว่าพราวจันทร์ท้องลูกของภวินท์ หกปีที่ไม่สามารถมองหน้าอดีตภรรยาของเพื่อนได้อย่างสนิทใจ และเป็นหกปีที่เธอต้องทนเห็นสองแม่ลูกใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย “แกจำผู้หญิงที่ชื่อพราวได้ไหม” เจ้าของร่างสูงใหญ่นิ่งไปเมื่อได้ยินแพทย์หญิงจิตภัทราถามเช่นนั้น แม้เวลาจะผ่านมานานถึงหกปี ทว่าก็ไม่ได้นานเกินไปที่จะทำให้เขาลืมเลือนผู้หญิงที่เคยผ่านมาเข้ามาในชีวิตได้ ยิ่งเป็นผู้หญิงที่เคยรู้สึกดีด้วย ก็ยากยิ่งที่เวลาจะพร่าผลาญเจ้าหล่อนไปจากความทรงจำได้ “จำได้สิ ทำไมเหรอ” แพทย์หญิงจิตภัทรามองหน้าเพื่อนสนิทแล้วกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เธอไม่รู้ว่าตนนั้นตัดสินใจถูกหรือไม่ แต่อย่างไรวันนี้ภวินท์ก็ควรที่จะได้รับรู้ว่าพราวจันทร์ตั้งท้องลูกของเขา “วันที่แกให้ฉันไปส่งพราวที่บ้าน ระหว่างทางผู้หญิงคนนั้นอ้วกจนเป็นลม ฉันเลยตัดสินใจขับรถเลี้ยวเข้าโรงพยาบาล ตอนแรกฉันก็คิดว่าเป็นเพราะความเครียด แต่.. ไม่ใช่” แพทย์หญิงจิตภัทราสะท้านไปทั้งทรวงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นเมื่อหกปีก่อน วันที่นายแพทย์ภวินท์เข้าพิธีแต่งงาน ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่พราวจันทร์รู้ตัวว่าตนตั้งท้องลูกของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีคนอื่น เด็กสาวอายุสิบเก้าที่พึ่งก้าวเท้าเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยในฐานะนักศึกษาได้เพียงปีเดียว นั่งร้องไห้ตาปูดตาบวมอยู่หน้าห้องตรวจครรภ์ด้วยไม่รู้จะทำเช่นไร หันไปทางไหนก็พบเพียงความมืดมน จะบากหน้าไปหาพ่อของลูกก็ไม่ได้ เพราะภวินท์ในเวลานั้นไม่ใช่หนุ่มโสด เขามีภรรยาแล้ว จะกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่ พราวจันทร์ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นคุยเรื่องลูกในท้องกับพวกท่านทั้งสองเช่นไร คิ้วหนาที่พาดผ่านดวงตาคู่คมขมวดมุ่นเข้าหากันทันทีที่เห็นจิตภัทราทำหน้าเครียด แถมยังพูดอะไรแปลกๆ ออกมา “มีอะไรแกก็รีบพูดมาสิ” ลางสังหรณ์บางอย่างบอกภวินท์ว่าเรื่องที่จิตภัทรากำลังจะพูดต่อไปนี้ หาใช่เรื่องดีสำหรับตัวเขา “พราวท้อง.. ผู้หญิงคนนั้นท้องกับแก แกมีลูกชายพอร์ช แกมีลูกกับผู้หญิงคนนั้น” ราวกับโลกทั้งใบที่วาดฝันไว้พังทลายลงมา ภวินท์แทบล้มทั้งยืนเมื่อสิ้นประโยคจากปากแพทย์หญิงจิตภัทรา ชายหนุ่มมองหน้าเพื่อนสนิท มือหนาจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอแล้วเขย่าอย่างแรง “แกพูดอะไรออกมาฝ้าย แกเสียสติไปแล้วเหรอ!” “ฉันไม่ได้เสียสติเว้ยพอร์ช ฉันพูดจริงๆ พราวท้องกับแก แกมีลูกชายชื่อตะวัน อันที่จริงพราวไม่ให้ฉันบอกเรื่องนี้กับแก เพราะพราวเขาไม่อยากทำให้ครอบครัวแกมีปัญหา แต่ตอนนี้แกหย่าแล้ว ฉันเลยคิดว่าฉันไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องตะวันกับแกอีกต่อไป” ตลอดระยะหกปีที่ผ่านมา จิตภัทรารับรู้ความเป็นไปของชีวิตพราวจันทร์เป็นอย่างดี เห็นมาโดยตลอดว่าพราวจันทร์ลำบากแค่ไหน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของสองแม่ลูก เพราะพราวจันทร์ไม่ยอมรับความช่วยเหลือใดๆ จากเธอเลย และยังย้ำอยู่เสมอว่าอย่าบอกเรื่องของเด็กชายตะวันฉายให้พ่อของหนูน้อยรู้ เพราะเธอไม่อยากเป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัวภวินท์มีปัญหา ภวินท์ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่วางตั้งอยู่ระหว่างทางเดินในโรงพยาบาล เขาไม่รู้เลยว่าตนนั้นรู้สึกเช่นไรที่รู้ว่าผู้หญิงที่เคยมีความสัมพันธ์ด้วยเมื่อหกปีก่อนท้อง ดีใจงั้นหรือ.. ไม่เลยสักนิด กระนั้นเด็กก็เกิดมาแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็ต้องรับผิดชอบ “แล้วทำไมพราวไม่เคยบอกเรื่องนี้กับฉันเลย” เสียงของภวินท์ที่เอ่ยถามเธอ เบาหวิวจนแทบเลือนหายไปกับอากาศ นัยน์ตาสีดำที่เคยเจิดจ้า ยามนี้เหม่อลอยราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก จิตภัทราเห็นสภาพเพื่อนแล้วได้แต่ทอดถอนหายใจ “จะบอกได้ยังไงล่ะ ครั้งสุดท้ายที่แกกับพราวเจอกัน ก็คือวันที่พราวไปงานแต่งแก แต่ผู้หญิงคนนี้ใจเด็ดนะ พอพราวรู้ตัวว่าถูกแกหลอก เธอก็ตัดใจจากแกทันที ไม่ยื้อ ไม่ยอมกินน้ำใต้ศอกใคร แถมยังเลี้ยงลูกคนเดียวมาตั้งนานหลายปีโดยไม่คิดจะขอร้องให้แกช่วยสักนิด” จริงสิ.. ครั้งสุดท้ายที่ได้พบหน้าพราวจันทร์ ก็คือที่งานวิวาห์ของเขากับศรารินทร์ ในเวลานั้นเจ้าหล่อนอายุเพียงสิบเก้าปี เธอเป็นนักศึกษาปีหนึ่งที่ทำงานไปด้วยและเรียนหนังสือไปด้วยเพราะฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีนัก เราสองคนมีโอกาสได้รู้จักกันเพราะหญิงสาวมาสมัครเป็นพนักงานพาร์ตไทม์ที่คลินิกเขา เพียงครั้งแรกที่ได้พบหน้า เขาก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่าค้นหา เธอไม่เหมือนกันคนอื่นที่ได้พานพบมา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น บางครั้งก็ใสกระจ่างราวกับพระอาทิตย์ในยามกลางวัน ทว่าบางครากลับดูยั่วเย้าคล้ายหญิงสาวเจนโลก แต่ทุกอย่างหาใช่เพราะเจ้าหล่อนประดิษฐ์ไม่ มันเป็นจริตธรรมชาติที่เธอเองก็คงไม่รู้ว่าตนนั้นมีอยู่ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้พราวจันทร์น่าสนใจ และมันดึงดูดเขาเข้าไปหาเธอ คราแรกแค่คิด ‘คุยเล่นๆ ’ ทว่าสุดท้ายทุกอย่างก็เลยเถิดจนไปจบที่เตียง เขาจึงปล่อยให้เรื่องราวมันเลยตามเลย หาความสุขกับร่างกายของพราวจันทร์ จนสร้างความผูกพันทางใจให้กับเราสองคน กระนั้นท้ายที่สุดก็จำเป็นต้องยุติทุกอย่างลง เพราะเขามี ‘คู่ชีวิต’ ที่เลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อใกล้ถึงวันวิวาห์ เขาจึงหาทางพาตัวเองออกห่างจากพราวจันทร์ ทว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหักใจจากคนที่เรารู้สึกดีด้วย มันตัดใจยากเสียจนทำให้เขาเกิดความคิดที่ว่าอยากจะเก็บพราวจันทร์เอาไว้ แต่ความดันมาแตกเสียก่อนว่าแท้จริงแล้วเขาหาใช่หนุ่มโสดอย่างที่บอกเธอไว้ไม่ ภาพจำสุดท้ายเกี่ยวกับพราวจันทร์ที่ยังตรึงแน่นอยู่ในความทรงจำคือใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา และแววตาตัดพ้อต่อว่าของหญิงสาวที่มองมายังเขา ก่อนที่เธอจะหันหลังแล้วเดินจากไป หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็ไม่ได้พบหน้า ไม่ได้รับรู้ความเป็นไปของชีวิตกันและกันอีกเลย ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าวันนี้ วันที่จดทะเบียนหย่ากับศรารินทร์ วันที่วาดหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตโสดอย่างมีความสุขอีกครั้ง เขากลับรู้ว่าผู้หญิงที่เคยมีความสัมพันธ์ด้วยเมื่อหกปีก่อนมีลูกกับเขา นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม