จินเยว่แย้มยิ้มรุกเร้ายามทอดเสียงอ่อนหวาน จงใจใส่จริตยั่วยวนชวนรุ่มร้อนอย่างแนบเนียนต่อเนื่อง
แม้เขาไม่รับผ้าก็ไม่เป็นไร อยู่ใกล้ชิดเข้าไว้ย่อมดี ดูอย่างลู่เหมยเถิด เพราะตามติดเฟิงอี้มิใช่หรือไรถึงได้แต่งงาน
บุรุษต่อให้หยาบกระด้างปานใดย่อมใจอ่อนต่อสตรีช่างตื้ออยู่ดี ทว่าจินเยว่เหมือนจะประเมินเฟิงอี้ผิดไปมากโข
เพราะนางยังไม่ทันนั่ง บั้นท้ายยังไม่ทันแตะพื้นไม้ เฟิงอี้พลันสะบัดมือไปทางนางอย่างหยาบคาย
ร่างระหงถึงขั้นพลัดตกน้ำดังตู้ม “กรี๊ด...”
ม่านน้ำแตกกระจาย เหล่าสหายเบิกตาโพลง
“อาอี้ เจ้าทำอะไร?” โม่โฉวตกใจจนโยนคันเบ็ดทิ้ง เสียดายปลาตัวใหญ่เสียจริง หลุดหายไปเลย
เหวินป๋อมีสติมากกว่าจึงรีบลงไปช่วยจินเยว่ขึ้นมา
เหล่าสตรีที่ขวัญกล้าหัวเราะร่ากับเหล่าบุรุษเมื่อครู่ต่างพากันเงียบกริบพริบตา นึกหวาดหวั่นทันใด
ตงหมิงหันมากระซิบถามเฟิงอี้ “เจ้าตีนางทำไมรึ?”
แม้รู้ว่าสหายเป็นบุรุษบ้าพลังชอบต่อยตีกับคนไปทั่ว แต่ก็คาดไม่ถึงว่าจะไม่ยั้งมือไว้ไมตรีเช่นนี้
“นางย่อมรู้ว่าข้าแต่งงานแล้ว” เฟิงอี้ถามเสียงเย็น “ใช่หรือไม่?”
ตงหมิงพยักหน้า “ย่อมใช่” เรื่องเฟิงอี้คนรู้ทั้งเมือง
เฟิงอี้สะบัดชายเสื้อเก็บเท้าแล้วนั่งลง “เช่นนั้น” ชายหนุ่มแค่นเสียงฮึในลำคอกล่าวด้วยสีหน้าชืดชาไม่รู้สึกผิด “นางย่อมสมควรโดน!”
แม้เฟิงอี้รังเกียจเดียดฉันลู่เหมยผู้เป็นภรรยาก็จริง แต่ที่เกลียดที่สุดคือสตรีที่รู้ว่าเขามีภรรยาแล้วยังคิดเข้าหา
ในอดีตตอนที่บิดายังไม่สิ้นลมหายใจ ยังหนุ่มแน่นร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงรูปงามหล่อเหลา มีสาวงามมากมายมาติดพัน พวกนางพันเล่ห์ร้อยมารยาเสียจนบิดาเผลอไผลตกบ่วงยากยับยั้งกระทั่งรับอนุเข้ามาเติมเต็มแทบล้นเรือน ทำมารดาต้องร่ำไห้ชอกช้ำปานใดเขายังจดจำได้ ยังไม่พอ อนุของบิดายังร้ายกาจถึงขนาดปอกลอกสูบเลือดสูบเนื้อบิดาจนสิ้นเนื้อประดาตัว
นับว่าโชคดีที่มารดามิใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน
นางมอบสินเดิมให้บิดากลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง กระทั่งได้สัมปทานเหมืองจึงกลับมาร่ำรวยมหาศาล
ต่อมาตอนบิดาบาดเจ็บสูญสิ้นความองอาจผึ่งผาย สตรีใดเล่าอยู่เคียงข้าง ก็มีแค่มารดาที่ลำบากยากเข็ญ อดทนปรนนิบัติคนป่วยเกรี้ยวกราดเพียงผู้เดียวมิใช่หรือไร! ดังนั้น ต่อให้เฟิงอี้ไม่ชอบลู่เหมยปานใดแต่นางก็เป็นภรรยา เป็นสตรีผู้เดียวที่ได้รับสิทธิ์อยู่ร่วมบ้านตายร่วมหลุมกับเขา
สตรีอื่นไม่เกี่ยว!
เฟิงอี้สีหน้าเย็นชาขณะทอดสายตามองความวุ่นวายริมสระน้ำ สภาพของเหวินป๋อกับจินเยว่ยามนี้ประหนึ่งเปลือยกายแนบชิด สนิทสนมปานนั้น
“พวกเจ้าสองคนคงต้องแต่งงานกันแล้วล่ะ”
สิ้นเสียงราบเรียบของเฟิงอี้ ชายหญิงที่ตระกองกอดพลันหันขวับสบตา เหวินป๋อตัวชาวาบ จินเยว่ตัวแข็งทื่อ บุรุษตัวอ้วนฉุไร้ความสง่าไม่เป็นที่พึงใจฉันใด สตรีไร้ยางอายย่อมไม่เป็นที่ต้องตาเช่นกัน
เหวินป๋อกับจินเยว่รีบผละออก ห่างกันราวแม่น้ำกั้น ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งนั้น
เฟิงอี้เลิกคิ้วขึ้น เหล่มองทั้งคู่ทางหางตา ถามยิ้มๆ “ถ้าเช่นนั้น เมื่อครู่มีผู้ใดตกน้ำหรือไม่ มีใครตัวเปียกบ้าง”
จินเยว่ส่ายหน้าพรืด เหวินป๋อรีบบอก “ไม่มีๆ”
ตงหมิงย่อมเข้าใจ เขาปรายตามองเฟิงอี้แวบหนึ่ง หันมาบอกกลุ่มคนที่ริมน้ำว่า “ยังไม่รีบพาไปเปลี่ยนผ้าอีก”
อู๋หยุนจึงได้ทีแสดงความเป็นสุภาพบุรุษทรงเสน่ห์ช่วยพาเหล่าสตรีกับจินเยว่ไปผลัดชุดในห้องที่ปิดมิดทันที เหวินป๋อย่อมไม่พิถีพิถัน เขาถอดชุดชั้นนอกออกสะบัดแล้วตากแดดรอจนแห้งค่อยเก็บมาสวมใส่เฉกเดิม
ครึ่งวันช่วงบ่าย การตกปลาจึงค่อนข้างเงียบสงบ บรรยากาศในศาลาราบเรียบ ไร้คลื่นเสียงหัวเราะระริกรื่นแว่วหวานใส่จริตยั่วยวนกวนใจ ยิ่งไม่มีสตรีใดกล้าเข้าใกล้บุรุษกำแพงหนาสูงชันอย่างเฟิงอี้อีกแม้แต่คนเดียว
สำหรับเฟิงอี้ สตรีที่ได้รับสิทธิ์ปรนนิบัติ มีคนเดียวก็เกินพอแล้ว จะดึงสตรีอื่นที่ไม่ควรเกี่ยวข้องเข้ามาวุ่นวายในชีวิตให้มากคนมากความไปไย
ยามซวี[1]
บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ท่วงท่าสง่างามแม้ดื่มสุราจนเมาเดินเข้าเรือนมาโดยไม่เซสักก้าว
เฟิงอี้สะบัดแขนเสื้อมือไพล่หลังเพื่อประคองตัวรักษาความน่าเกรงขามหมายข่มขวัญภรรยาเฉกปกติ
ครั้นขึ้นเตียง ฝ่ามือเรียวยาวก็ถอดเสื้อผ้าโยนทิ้ง เปลือยกายอย่างรวดเร็ว เผยกล้ามเนื้อหนั่นแน่นสมส่วน ก่อนควานหาสตรีผู้ได้รับสิทธิ์ปรนนิบัติเพียงผู้เดียวของตนด้วยความเคยชิน
ทว่าคลำไปทั่วทุกมุมเตียงกลับเจอแต่ความว่างเปล่า ไร้เงาลู่เหมยนอนหลับใหลเช่นทุกครา
ไม่มีความนุ่มนิ่มที่คุ้นมือแต่อย่างใด
เฟิงอี้นิ่วหน้า เพ่งสายตาฝ่าความมืดสลัวในห้องหับ ปกติกลับมาลู่เหมยมักดับเทียนหนีหลับไปก่อน เขาจึงไม่เคยจุดเทียน แต่วันนี้เทียนทุกเล่มถูกจุดจนสว่างไสวเจิดจ้า ภายใต้แสงสีนวลตา เผยเงาร่างบุรุษผูวางมาดใหญ่โตโอหัง กำลังตามหาใครบางคนอย่างบ้าคลั่ง
ภรรยาน่าชังของเขาหายไปที่ใด?
เรือนฝั่งตะวันตก
จางซื่อนั่งจิบชารับมื้อว่างยามดึกอย่างรอคอยบางสิ่ง สาวใช้ที่บีบนวดให้เหลือบมองผู้เป็นนายครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างฉงน ครั้นได้ยินเสียงเอะอะโวยวายถามหาภรรยาอย่างกระวนกระวายจากหน้าประตูเรือนก็เริ่มสิ้นสงสัยทีละนิด
นางก้มหน้ารายงานเสียงเบา “ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ นายน้อยมาตามหาฮูหยินน้อยแล้วเจ้าค่ะ”
จางซื่อยกชาขึ้นเป่า ริมฝีปากแต้มชาดแย้มยิ้มบางๆ เพราะเยี่ยงนี้ปะไร นางถึงให้ลูกสะใภ้กลับบ้านเดิม
“ลูกชายหัวรั้นของข้ารู้จักโหยหาภรรยาแล้ว?”
[1]ยามซวี (*:xū) คือ 19.00 – 20.59 น.