“ตรงนี้เป็นที่ของข้า! พวกเจ้าถือสิทธิ์อันใดมาตั้งร้านตรงนี้” ชายตัวสูงใหญ่สามคนปรี่เข้ามายืนประจันหน้ากับเหล่าพี่น้องสกุลลู่ ชายหนุ่มทั้งสามแต่งตัวมอมแมม ทั้งยังมีท่าทางหาเรื่องเช่นนี้ มิน่าวางใจแม้แต่น้อย
“เอ่อ พี่ชายคงจะเข้าใจผิดแล้ว พวกเรามาตั้งร้านที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว อีกทั้งเราก็มาจับจองที่ตั้งร้านนี้ก่อนผู้ใด” เฉินกงรีบเดินออกมาพูดคุยกับชายหนุ่มทั้งสามคน
“แล้วอย่างไร ข้าจะตั้งร้านของข้าที่นี่ เจ้าย้ายของของเจ้าออกไปให้หมด มิเช่นนั้นก็จ่ายค่าเช่าที่มา” หนึ่งในชายหนุ่มแบมือไปตรงหน้าเฉินกง
“เอ่อ พวกเรายังมิมีลูกค้าสักคนเดียว จะเอาเงินที่ใดมาให้ท่านเล่า” บ่าวชายสกุลลู่สองคนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้ามากันคุณชายใหญ่จากพวกนักเลงเอาไว้
“หากไม่มีก็…ย้ายออกไป พวกเรา! ทำลายให้หมด” ชายพวกนั้นขว้างปาก้อนหินขนาดเท่ากำมือเข้าไปในร้านจนข้าวของบางส่วนเสียหาย บ่าวชายพยายามเข้าไปห้ามปรามก็โดนทำร้ายกลับมา
“เฮ้ย! หยุดนะ ข้าวของของข้าเสียหายหมดแล้ว เจ้าพวกบ้า!” หมิงยู่โมโหจนเลือดขึ้นหน้า คิดปรีเข้าไปหยุดนักเลงพวกนั้นแต่เด็กชายกลับต้องชะงัก
“หยุด! พอแย้ว เอาเงินนี่ไป” เยว่ชิงโยนถุงเงินจำนวนหนึ่งลงบนพื้น
“หึ! ให้เงินพวกข้าตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง ข้าวของคงมิเสียหายเช่นนี้” ว่าแล้วชายพวกนั้นก็เก็บถุงเงินแล้วเดินจากไป
“เยว่ชิง! เจ้าจะให้เงินพวกนั้นไปทำไมกัน” หมิงยู่หัวเสียไม่น้อยที่ต้องเสียเงินที่หามาได้อย่างยากลำบากไปกับการรีดไถของพวกนักเลงหัวไม้
“จะเดือดย้อนทำไมกัน ให้ได้ก็ไปเอาคืนได้”
หึ! หากคิดว่าเยว่ชิงผู้นี้จะยอมให้เจ้าพวกนั้นรีดไถละก็ ผิดแล้ว!
“มูมู่ ตามไป หากพ้นสายตาผู้คน เจ้าก็กัดตูดพวกนั้นสักสองสามที” เยว่ชิงออกคำสั่งพร้อมกับปล่อยเชือกในมือ เจ้าเสือน้อยที่ใส่ผ้าคลุมสีดำรีบวิ่งตามพวกนักเลงไปทันที
“นะ นี่ นี่เจ้าจะให้มูมู่ฆ่าคนหรือ อ๊ากกกก น่ากลัวเกินไปแล้ว” หมิงยู่อ้าปากหวอ ร้องตะโกนออกมาอย่างตกใจ
“แค่กัดตูดเท่านั้น มิถึงตายแน่” เยว่ชิงกรอกตาไปมา นางสุดจะทนกับนิสัยที่เพ้อเจ้อใหญ่โตของพี่รองของนางเหลือเกิน
“พี่ว่าเราตามไปดูมูมู่ดีหรือไม่ เกรงว่ามูมู่จะทำอันตรายพวกนั้นจนถึงชีวิต” เฉินกงเองก็กังวลว่าหากมูมู่กัดโดนจุดสำคัญเข้า นักเลงหัวไม้พวกนั้นอาจถึงแก่ชีวิตได้
“เยว่ชิงไปด้วย พวกเจ้าสองคนก็ตามมาด้วย เยาจะจับพวกนั้นส่งทางการ” เยว่ชิงออกคำสั่งกับบ่าวชายทั้งสอง แล้วจึงยกแขนให้พี่ใหญ่ของนางอุ้ม
หึๆ เด็กอย่างไรก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ
ทั้งสี่คนเดินมาเรื่อยๆ จนมาถึงที่ตรอกแห่งหนึ่ง ดูเหมือนว่าตรอกนี้จะเป็นทางตันมีทางเข้าออกทางเดียว เสียงเอะอะโวยวายที่ดังมาจากด้านในทำให้เฉินกงมั่นใจว่านักเลงพวกนั้นจะต้องอยู่ในนี้เป็นแน่
“คื่ออออ ฮื่อ!”
“เจ้าเสือเฮงซวยนี่มันกัดตูดข้า ฮื่อออออ” เมื่อทั้งสี่มาถึงก็เห็นสภาพยับเยินของนักเลงทั้งสาม บ้างมีแผลที่แขนขา บ้างมีแผลที่ตูด นักเลงพวกนั้นล้มลงโอดครวญ ทั้งสามต่างก็ถอยหนีเจ้าเสือขาวตัวน้อยอย่างหวาดกลัว
เดิมทีเมื่อเห็นว่ามูมู่เป็นเพียงลูกเสือ พวกเขาก็คิดว่าคงจะมิน่าหวาดกลัวเท่าใดนัก จึงช่วยกันรุมจับ แต่เจ้าเสือน้อยตัวนี้กลับมีเรียวแรงมาก ทั้งยังกัดพวกเขาเสียจมเขี้ยว พวกเขาจึงได้รีบถอยหนีกันอย่างที่เห็น
“นั้นไง พวกเจ้าไปจับพวกมันมัดไว้ให้แน่น แล้วรีบนำไปส่งทางการ” เฉินกงรีบสั่งการให้บ่าวไพร่นำตัวนักเลงหัวไม้ส่งทางการ ส่วนตนเองพาน้องสาวไปดูเจ้ามูมู่ว่าบาดเจ็บที่ใดหรือไม่
“มูมู่ เจ็บที่ใดหยือไม่” เยว่ชิงลูบตัวสำรวจหาบาดแผลบนตัวมูมู่ แต่ก็มิพบร่อยรอยใด นางจึงโล่งใจไปบ้าง มูมู่เมื่ออยู่นิ่งให้เยว่ชิงสำรวจบาดแผลเรียบร้อยแล้ว ก็รีบวิ่งไปคาบถุงเงินที่ชายพวกนั้นทำตกไว้มาให้เยว่ชิง
“เด็กดีๆ ทำดีมาก เนื้อของเจ้าพวกนั้นมิอย่อยใช่หยือไม่ ไว้ข้าจะให้ท่านแม่ต้มเนื้ออย่อยๆ ให้เจ้ากินนะ” เยว่ชิงหยิบผ้าคลุมสีดำมาเช็ดคราบเลือดที่ปากมูมู่ออก จากนั้นจึงพากันกลับไปที่ร้านทันที
“เป็นอย่างไร มีผู้ใดตายหรือไม่” หมิงยู่ที่เห็นว่าพี่ใหญ่กับน้องสาวกลับมาแล้วก็รีบเอ่ยทักทันที
“พี่ยอง อย่าพูดเกินจริงได้หยือไม่” มาว่ามูมู่เป็นผู้ร้ายฆ่าคนเช่นนี้ เดี๋ยวก็ปล่อยไปกัดเสียเลย ฮึ้ย!!
“หึๆ มิมีผู้ใดตาย ว่าแต่ทางนี้ข้าวของเสียหายมากหรือไม่”
“มิเสียหายมากขอรับ ยังใช้งานได้อยู่” เป็นลี่อินที่เอ่ยตอบผู้เป็นพี่
“เช่นนั้นก็เริ่มเรียกลูกค้ากันเถิด วันนี้เราก็ต้องหาให้ได้หนึ่งตำลึงเงิน” ว่าแล้วทุกคนก็ไปยืนประจำตำแหน่งของตนเอง แต่วันนี้เฉินกงตัดสินใจเพิ่มเครื่องมือละเล่นการโยนห่วงมาอีกหนึ่งชุด เพราะเมื่อสังเกตจากผู้คนที่มาละเล่นเมื่อวาน บ้างก็ยืนรอจนเมื่อย บ้างก็รอไม่ไหวจึงไม่เล่น วันนี้เขาจึงคิดจะแบ่งเป็นสองแถว
“เชิญเจ้าค่ะ มาโยนห่วงเสี่ยงโชคกันได้แย้วเจ้าค่ะ มีของยางวัลมากมายเยยนะเจ้าคะ” เยว่ชิงโปรยยิ้มหวานไปทั่ว ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็แวะเข้ามาดู แวะเข้ามาละเล่นกันมากมาย เด็กน้อยหลายคนได้แมลงปอสานติดมือกลับไป บ้างก็ได้ขนมฝีมือแม่นมลี่ สี่พี่น้องช่วยกันทำงานอย่างขยันขันแข็งจะเวลาล่วงเลยเข้าปลายยามโหย่ว (17:00 – 18:59 น.) เฉินกงกำลังจะบอกให้น้องๆ เก็บของกลับบ้าน แต่กลับมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาที่ร้าน
“เด็กน้อยสิ่งนี้คืออันใดหรือ”
“โยนห่วงเจ้าค่ะ ได้ยางวัลด้วยนะเจ้าคะ ท่านลุงอยากเย่นดูหยือไม่” เยว่ชิงเอ่ยตอบท่านลุงที่เข้ามาถามไถ่ ดูแล้วท่านผู้นี้คงจะมียศสูงอยู่ไม่น้อย อาภรณ์ที่สวมใส่ดูเรียบหรู ผมเผ้าถูกเก็บอย่างเรียบร้อย ทั้งหน้าตาก็ดูสะอาดสะอ้าน
คงจะมีเงินทองไม่น้อยเลยทีเดียว คึๆ
“โอ้ อยากลองๆ เอามาให้ลุงสักสิบห่วงแล้วกันนะ” เยว่ชิงยิ้มน่าบาน แบมือเก็บเงินแล้วก็รีบพยักหน้าให้พี่สามนำห่วงมาให้ท่านลุงทันที ท่านลุงลองโยนอยู่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จเสียที
“เห้อออ ข้าคงมิมีความสามารถด้านนี้จริงๆ”
“ลูกพ่อ พ่อว่าวันนี้เราพอเท่านี้ก่อนดีหรือไม่” ลู่หวังเหล่ยและซูเมิ่งเห็นว่าใกล้มืดค่ำแล้วจึงได้มารับบุตรกลับเรือน แต่กลับพบเข้ากับ…
“โอ้ นี่บุตรของท่านหรอกหรือใต้เท้าลู่”
“ท่านเสนาบดีอู๋” ลู่หวังเหล่ยและซูเมิ่งค่อมหัวคำนับ
“หึๆ นี่เรือนสกุลลู่มิมีจะกินแล้วหรืออย่างไร ถึงได้ให้บุตรวัยเพียงเท่านี้ออกมาทำงานหาเงิน หากว่ามิมีเงินทอง อย่างไรก็ไปที่เรือนข้าได้ ข้าก็พอจะมีให้หยิบยืมบ้าง แต่คงจะต้องนำสิ่งอื่นมาแลกนะ” เสนาบดีอู๋หลี่เฉียงส่งสายตาแทะโลมไปยังซูเมิ่งอย่างเปิดเผย จนนางต้องรีบถอยไปหลบอยู่หลังสามี มือบางจับอาภรณ์ของสามีแน่นด้วยความหวาดกลัว ลู่หวังเหล่ยเองก็ทำได้เพียงเบี่ยงตัวบังภรรยาและกัดกรามข่มอารมณ์ของตนเท่านั้น หากใจร้อนเผลอทำร้ายอีกฝ่ายขึ้นมา ผู้ที่จะเดือดร้อนคงมิพ้นครอบครัวของเขา
“น่ายังเกียจเสียจริง พวกเ*******ู” เยว่ชิงเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศที่คุกรุ่น
เมื่อเช้าเจอนักเลงหัวไม้ ตกเย็นยังมาเจอเฒ่าหัวงู วันนี้มิใช่วันของสกุลลู่หรืออย่างไร เห้อออ!
“นี่! เจ้าว่าข้างั้นหรือเด็กน้อย” อู๋หลี่เฉียงหน้าตึงขึ้นมาทันใดเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหญิงวัยสามหนาว
“ข้ามิได้เอ่ยนาม จะว่าท่านได้อย่างไย อีกอย่าง แม้พวกข้าจะเป็นเด็กแต่ก็คิดทำมาหากิน ตอนที่บุตรของท่านอายุเท่าข้า เขาทำอันใดเป็นบ้างหยือ” คำพูดที่ยาวเหยียดและดูเย้ยหยันจากเด็กน้อยทำให้ผู้ใหญ่หลายคนที่ได้ยินถึงกับรู้สึกจุกเสียดแทนท่านเสนาบดีอู๋ไม่น้อย
โดนเด็กวัยสามหนาวด่าว่าเช่นนี้ น่าอายยิ่งกว่าสิ่งใด
“…” อู๋หลี่เฉียงชะงักนิ่ง ตกใจกับคำพูดของเยว่ชิงจนไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้เพียงครึ่งคำ
“หึ! เงียบเช่นนี้บุตรของท่านคงจะทำสิ่งใดไม่เป็น วันๆ เอาแต่ย้องไห้สินะ น่าสงสารเสียจริง เห้ออออ นี่คงอิจฉาที่ท่านพ่อมีบุตรที่ดีเช่นพวกข้าสินะ จิ๊ๆ” เยว่ชิงส่ายหัวเบาๆ ท่าทางถือดีของเยว่ชิงยิ่งทำให้เสนาบดีอู๋อารมณ์คุกรุ่นมากขึ้น แต่ก็มิอาจทำสิ่งใดได้เพราะตรงนี้มีผู้คนอยู่มาก ทั้งฝ่ายตรงข้ามยังเป็นเพียงเด็กวัยสามหนาว หากเขาลงมือไปมีหวังคนทั้งเมืองได้ประณามสาปส่งเขาเป็นแน่ เสนาบดีอู๋จึงทำได้เพียงสะบัดชายผ้าแล้วรีบเดินจากไปเท่านั้น
“เหอะ! นึกว่าจะแน่” เยว่ชิงกระตุกยิ้มอย่างสะใจ คำพูดของนางเมื่อครู่คงทำให้อีกฝ่ายเจ็บแสบไม่น้อย แม้จะขัดใจการพูดไม่ชัดของตนเองอยู่บ้างก็เถอะ เยว่ชิงหัวเราะสะใจอยู่คนเดียว โดยมิได้สังเกตเลยว่าทุกคนกำลังตกตะลึงในสิ่งที่นางพูดออกมา
“ทะ ท่านพี่ ข้าว่าเราพาเยว่ชิงไปหาหมอเถิดเจ้าค่ะ”
“อืม พี่จะพาลูกไปให้ท่านมอตรวจดู…”
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เยว่ชิงมิได้ป่วยเสียหน่อยยยยยย~”