กระจกรถคันหรูเลื่อนลง พร้อมเสียงคนคนขับตะโกนเสียงดัง
“ปล่อยผู้หญิงซะ” เป็นภาษาต่างชาติ ถ้าฟังไม่ผิดน่าเป็นภาษาญี่ปุ่น “ปล่อย” คนพูดคนละภาษากับพวกเดนนรก ตะโกนสั่งพร้อมกับชี้หน้า ไม่มีใครฟังรู้เรื่องแม้กระทั่งมิ่งขวัญ พอเดาได้จากสีหน้าร่วมกับท่าทางคนพูด
“พูดห่าอะไรของมันวะ ฟังไม่รู้เรื่อง เฮ้ย พวกมึงมีใครฟังออกไหมวะ” หนึ่งไอ้เดนท**นหันไปถามเพื่อน
“ไม่ว่ะลูกพี่ ฟังไม่ออก อย่าไปสนใจเลย ลากนางนี่ไปต่อเถอะ” มันไม่ฟังได้แต่ออกแรงบีบข้อมือทั้งต้นแขนของหญิงสาว กระชากให้เดินต่อหากแต่ยังไม่ทนได้ก้าวไปไหน
บุรุษหนุ่มร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำภูมิฐานก้าวลงจากรถ สับขาก้าวว่องไวไปขวางหน้าเดนมนุษย์ทั้งสาม
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยฉันด้วย พวกมันจะข่มขืนฉัน” มิ่งขวัญไม่รู้ว่าชายผู้นี้ฟังเธอรู้เรื่องหรือไม่ ไม่สนข้อนั้นขอให้ได้ตะโกนขอความช่วยเหลือ ภาษาอะไรก็พูดออกไปเถอะ สื่อทางสายตากับท่าทางน่าจะช่วยได้ ขัดขืนดิ้นรนขนาดนี้ เชื่อว่าต้องสื่อสารกับเขารู้เรื่องบ้างล่ะ
“ปล่อยเธอซะ” น้ำเสียงชายคนที่โผล่มาดุดดัน เข้มแข็ง ยิ่งแววตาด้วยดุอย่างกับเสือ น่าเกรงขามมาก “หลีกไปเว้ย กูฟังไม่รู้เรื่อง ชาวต่างชาติหน้าซีดอย่างมึงอย่าเสือก คนเขาจะมีความสุขกัน” เดนท**นพูดอย่างนักเลงปลายถอย แสดงท่าทางสามาน ใช้ฝ่ามือชั่วช้าผลักอก ชายหนุ่มหุ่นดี เท่ สมาร์ท ชาวญี่ปุ่นอย่างพวกนักเลง
มิ่งขวัญสื่อด้วยสายตาวิงวอน ขอให้เขาช่วยเธอ ให้พ้นจากเงื้อมมือพวกมัน ใจเธอหล่นไปอยู่ตาตุ่ม อาศัยความโกรธที่เพิ่งเห็นภาพบาดตามา ต่อสู้กับพวกมันเท่านั้น กูมึง อะไรที่พูดออกไป เป็นเพราะอารมณ์ปกติ ไม่เคยพูดแบบนี้เลย บุรุษหนุ่มคนนี้ใช้หางตามองมือโดนผลักอก ยกมือปัดทิ้งอย่างแรง กระชับเสื้อสูทเข้าที่ ปลดกระดุมเสื้อสูทโยนทิ้งไม่ใส่ใจราคาของมัน ปลดกระดุมแขนเสื้อเชิ้ตสองข้าง ถลกพับขึ้นมาถึงข้อศอก
“มึงจะลองดีใช่ไหมไ*****น” มันว่าและท้าทายชาวต่างชาติที่เดาได้จากภาษา เพราะบุรุษตรงหน้าถึงจะใช้ภาษาอักขระเสียงสั้นหากแต่เดาได้ไม่อยากว่านั่นคือภาษาญี่ปุ่น เดนท**นอ้าปากชั่วๆ ของมันเรียกเขาอย่างดูถูก ตามที่คนไทยสมัยโบราณเรียกคนญี่ปุ่น
“ฉันจะบอกแกเป็นครั้งสุดท้าย ปล่อยผู้หญิงซะ” มองยังไงผู้หญิงก็ไม่เต็มใจไปกับพวกมัน ต่อให้เขาไม่รู้จักเธอ ครั้นจะปล่อยให้คนรูปร่างบอบบางโดนพวกมันทำร้าย คงใช้ที่ด้วยนิสัยของเขา เห็นคนโดนทำร้ายไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นต้องยื่นมือเข้าช่วย ถ้าการช่วยเรียกว่าเสือก เรื่องของคนอื่นก็ค่อยว่าอีกที
“ไม่ปล่อย มึงจะทำไมกูไ*****น” เดนทรชน ขี้ยา ขยะสังคม เชิดหน้าสกปรกโสโครกของมันอย่างท้าทาย พลางปัดมือให้พาผู้หญิงหลบไปห่างๆ มิ่งขวัญฝืนตัวไม่ยอมทางทำตามง่ายๆ ทั้งสะบัดทั้งดิ้นเมื่อสบโอกาสจึงยกเท้าถีบสะโพกไอ้คนด้านซ้าย มันเซถลาแล้วล้มตึงเห็นดังนั้นจึงรีบลงมือกับคนที่สองด้านขวา เธอฉวยจังหวะทีเผลอของมันที่มองเพื่อน ยกเท้าเตะผ่าหมากมันเต็มแรง แล้วดีดตัวกระโจนไปอยู่ด้านหลังชายชาวต่างชาติที่เสียสละชีวิตเข้ามาช่วยเธอ ทั้งที่เรื่องไม่ใช่ แล้วถ้าไอ้สามตัวนี่มีอาวุธจะทำอย่างไร
“แม่งเอ้ย ไม่ได้เรื่องสักคนพวกมึง” มันต่อว่าลูกน้องของมัน ไอ้คนที่ล้มรีบลุกขึ้น ส่วนไอ้คนที่โดนเตะผ่าหมากยังกุมกล่องดวงใจที่เจ็บปวดจนหน้าเขียว
ร่างบอบบาง โดนตวัดหลบไปอยู่ด้านหลังคนตัวสูง ส่วนผู้ชายคนหนึ่งเดินลงมาจากรถทำหน้าที่คนขับ
“คุณผู้หญิงขึ้นไปนั่งในรถดีกว่าครับ” เขาเชิญหญิงสาวด้วยน้ำเสียงสุภาพ มิ่งขวัญฟังไม่รู้เรื่อง แค่ดูท่าผายมือไปทางรถยนต์จึงพอคาดเดาได้ไม่ยาก
“อ๋อ...ค่ะ” มิ่งขวัญพยักหน้าตอบรับพร้อมก้าวเข้าไปนั่งตรงเบาะหลัง ด้วยจังหวะหัวใจที่ยังเต้นระส่ำกับเหตุการณ์ นึกชอบการดริฟท์ของพ่อหนุ่มคนนี้ เฝ้ามองใบหน้าชายญี่ปุ่นตัวสูงภูมิฐานด้านข้าง อย่างนึกชื่นชมในความหล่อเหลาดูดีทุกกระเบียดนิ้ว นี่ละมั้งที่เขาเรียกว่าพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยนางเอก แต่ที่เธอนั่งอยู่ไม่ใช่ม้าขาวแต่เป็นรถหรูที่สุดเท่าที่เธอเคยสัมผัสมา สมรรถนะคงปราดเปรียวน่าดู ในความคิดของเธอเห็นรถสวยทีไรเลือดในกายรุ่มร้อนไปหมด หากแต่หญิงสาวลดความสนใจเรื่องรถลงชั่วขณะเพราะเรื่องเบื้องหน้านอกตัวรถยังไม่จบปัญหา
แล้วมิ่งขวัญก็ได้มีโอกาสดูการต่อสู้ ในรูปแบบเหนือชั้นกว่าพวกสวะหลายสิบเท่า พวกมันทั้งสาม โดนเตะ ต่อย รวบตัดขา ล้มระเนระนาดไม่เป็นท่า หยัดยืนขึ้นมาสู้ใหม่ยังถูกคนตัวสูง ทั้งสองจัดการอีกจนได้ ไม่ทันได้กระพริบตาด้วยซ้ำ สี่สวะเดนสังคมล้มแล้วล้มอีก ราวกับพินโบว์ลิ่งโดนลูกกลมๆ กวาดเกลี้ยง พวกมันลนลาน สภาพไม่ต่างกับหมาขี้เรื้อนโดนไล่ตี บ้างคลานบ้างวิ่งหางจุกตูด วิ่งหนีตายลากกันไปจากตรงนั้นไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง
บุรุษภูมิฐานมาดนักธุรกิจผู้นั้นปัดมือ ก้มลงหยิบเสื้อตัวเอง ที่ขว้างลงพื้นก่อนหน้านั้น ตวัดพาดบ่าแล้วเดินกลับมายังรถยนต์คันสวย
“ไม่ได้รับอันตรายใช่มั้ยคุณผู้หญิง” เขาเอ่ยถามด้วยภาษาเดิม น้ำเสียงช่างทุ้มนุ่มละมุนหู เสี้ยวหนึ่งเขาคิดว่า เอยากเรียนรู้ภาษาไทย เพื่อคุยกับเธอให้รู้เรื่อง แล้วคนสอนภาษาต้องเป็นเธอ ให้ตาย ! เขาคิดบ้าอะไร ไม่ให้คิดได้อย่างไรเล่า ก็เธอสวยมาก หน้าตาจิ้มลิ้ม ปากนิด จมูกโด่งมน คิ้วโก่งพาดผ่านดวงตากลมๆ ช่างน่ารักเป็นบ้า
“มะ...ไม่ค่ะไม่เป็นไร” มิ่งขวัญตอบด้วยภาษาไทย อยากพูดกับเขาภาษาอังกฤษ เกรงว่าจะไม่รู้เรื่องกันไปใหญ่ เพราะต่างคนต่างไม่รู้พื้นฐานภาษากัน รู้อย่างนี้ตอนเรียนเลือกเรียนภาษาญี่ปุ่น เป็นภาษาที่สามก็ยังดี ที่สถาบันให้เลือกเรียนสามภาษา เธอเลือกอังกฤษ ฝรั่งเศส จีน ซะนี่ เพราะเห็นว่าครอบครัวของเธอร่วมลงทุนกับนักลงทุนประเทศจีนเรียนไว้เพื่อช่วยงานครอบครัวก็ไม่เสียหาย
สำเนียงภาษาของเขาช่างไพเราะนุ่มนวล ราวกับปุยเมฆ หญิงสาวรู้สึกว่าตนกำลังล่องลอยไปในอากาศ ลืมเรื่องทุกข์ใจที่ก่อเกิดก่อนหน้านั้นเสียสนิท แต่แล้วเธอกลับนึกถึงมันอีก จึงรีบมุดออกจากจากรถทันที
“ขอบคุณมากๆ ที่ช่วย ขอบคุณมากๆ ค่ะ ลาล่ะค่ะ” มิ่งขวัญกล่าวขอบคุณพร้อมกับไหว้ และโค้งให้เขาแบบชาวญี่ปุ่น เธอสับสนในตัวเอง อย่ากล่าวหากันเลยเลือกไม่ถูก ในการทำความเคารพ คนที่ช่วยให้เธอพ้นจากการตกเป็นเหยื่อพวกสวะพวกนั้น
“เดี๋ยวก็เจอพวกมันอีกนะ” เขากล่าวออกไปเพื่อรั้งเธอ ต่อให้สื่อสารกันด้วยภาษาไม่เข้าใจ แต่ว่าเขาอยากรั้งเธอไว้ อย่างน้อยมีโอกาสไปส่งเธอถึงบ้านเพื่อความปลอดภัย ดีกว่าปล่อยไปแล้วพวกเลวนั่นเจอกับเธออีก
ปลายเท้าเรียวชะงัก หันกลับมามองเขา เพราะอยากรู้ว่าเขาพูดอะไร
“เราคุยกันภาษาอังกฤษดีมั้ยคะ” หญิงสาวเสนอทางเลือก
“ดีนะ” เขาได้ยินอิงลิด น่าจะหมายถึงภาษาอังกฤษ จึงเชื่อว่าต้องใช่เขาเลยเห็นด้วย ว่าควรมีภาษากลางๆ สื่อสารกัน “เชิญขึ้นรถก่อน ผมจะไปส่ง ถ้าเจอพวกมันย้อนกลับมาอีก คราวนี้ผมคงหมดโอกาสช่วยคุณ ให้พ้นจากมือพวกมัน เชื่อผมนะ” เขากล่าวด้วยความเป็นห่วงซะยืดยาว
มิ่งขวัญไม่ตอบ แต่ก้าวขึ้นรถซึ่งได้ถูกเปิดประตูรอไว้ คนยืนรอคงจะเป็นพวกบอดี้การ์ด มาดเท่ดีนะ ไม่ต่างกับเจ้านาย ยืนเป็นหุ่นยนต์ขี้ผึ้งมีชีวิต ตรงข้ามกับการต่อสู้ช่างเท่ เด็ดขาด รุนแรง เต็มไปด้วยขุมพลังความเป็นชายนักต่อสู้ “ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวขอบคุณเขาด้วยภาษาอังกฤษ คิดว่าคราวนี้คงรู้เรื่องกัน เมื่อกี้เขายังพูด Yes อยู่เลย แสดงว่าพูดได้ แม้ปกติคนญี่ปุ่นจะไม่ค่อยพูดภาษาต่างประเทศ ยกเว้นพวกนักธุรกิจต้องเรียนรู้หลายภาษา เพื่อการทำธุรกิจกับต่างชาติ