ตอนที่ 3 เหนืออินทรี
ยี่หวา กลับมายังบ้านของเธอด้วยอารมณ์ที่ยังหงุดหงิดอยู่ หลังจากเธอใช้เวลาเลือกเสื้อสีดำให้กับผู้ชายที่เธอทำกาแฟหกใส่อยู่นั้น คนของเขาก็มาบอกว่า เขาคนนั้นขอกลับไปก่อน แต่ยังคงให้เธอเลือกเสื้อให้เขาอยู่ดีแถมยังไม่ให้จ่ายเงินอีก เพียงแค่ให้เลือกเท่านั้น
หญิงสาวไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิด สุดท้ายเธอเลยเลือกตัวที่คิดว่าเหมาะกับชายคนนั้น และยืนยันว่าจะจ่ายเงินเองเพราะเธอไม่ชอบติดค้างใคร เรื่องจึงจบตรงที่เธอเป็นคนเลือก และจ่ายเงินค่าเสื้อตัวนั้นอย่างที่ตั้งใจไว้
“เฮ้อ เสื้อบ้าอะไรตั้งเกือบแสน”
นี่เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เธอหงุดหงิด หญิงสาวมองราคาบนใบเสร็จอีกครั้งพลางถอนหายใจออกมา
แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีปัญหาด้านการเงินแต่ก็ใช่ว่าเธอจะซื้อเสื้อผ้าแพงขนาดนี้ นี่ขนาดว่าเธอทำงานในวงการบันเทิง เสื้อผ้าที่เธอใส่ยังไม่แพงเท่าเสื้อตัวเดียวของผู้ชายคนนั้นเลย
ยิ่งคิดถึงรอยยิ้มมุมปากของชายหนุ่มแล้วยิ่งทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ “หงุดหงิดโว้ย!”
ยี่หวาตะโกนออกมา เธอลงไปนอนดิ้นกับโซฟานุ่มเพื่อระบายอารมณ์ คล้ายว่าตอนนี้เธอไม่ได้กำลังหงุดหงิดชายหนุ่มแต่หงุดหงิดตัวเองเสียมากกว่า
“บ้าจริง ทำไมหน้าหล่อ ๆ กับรอยยิ้มนั่นไม่หายออกไปนะ”
หญิงสาวลุกขึ้นนั่งแล้วเริ่มหายใจเข้า หายใจออกเพื่อทำสมาธิอีกครั้ง หากมีคนมาเห็นนางพญาแห่งวงการอย่างเธอเสียอาการเพราะผู้ชาย คงเม้าท์กันสนุกเป็นแน่
หากพูดถึงเรื่องผู้ชาย คนภายนอกมองว่าเธอเป็นผู้หญิงแกร่งที่ผู้ชายเข้าถึงได้ยากเพราะเธอไม่สนใจผู้ชายคนไหนเลย ไม่ว่าจะหล่อ รวยหรือมีชื่อเสียงแค่ไหนก็ตาม ซึ่งตอนนี้ยี่หวาไม่มีแฟน คนรัก หรือคนคุยอะไรทั้งนั้น แฟนคนล่าสุดของเธอเลิกกันไปเมื่อปีก่อนซึ่งเขาคนนั้นเป็นไฮโซชื่อดัง และเลิกกันเพราะเธอจับได้ว่าผู้ชายมีคนอื่น
ตั้งแต่นั้นมายี่หวาจึงไม่ขวนขวายหาความรักอีกเลย ถ้ามีความรักแล้วมันเหนื่อย อยู่คนเดียวเสียดีกว่า
ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง
เสียงกดกริ่งดังมาจากทางหน้าบ้าน ยี่หวาชะเง้อมองแล้วต้องถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าคนที่มากดกริ่งเป็นใคร
บ้านที่เธออยู่ตอนนี้เป็นบ้านของพ่อแม่เธอ ซึ่งเธอเคยอาศัยอยู่ตอนเด็ก นานครั้งเธอถึงจะกลับมาที่นี่ คนที่อยู่บ้านหลังนี้จึงเป็นน้องสาวเธอเนื่องจากยาหยีย้ายจากกรุงเทพ กลับมาเปิดโรงเรียนสอนพิเศษอยู่ที่นี่
“วุ่นวายไม่จบไม่สิ้นจริง ๆ”
คนที่มากดกริ่งไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นป้าศรี ป้าข้างบ้านซึ่งเธอไม่ได้อัธยาศัยดีเหมือนน้องสาวของเธอสักเท่าไร ฉะนั้นการทักทายป้าข้างบ้านจึงเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายสำหรับเธอ
ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง
เสียงกริ่งยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนยี่หวาต้องลุกจากโซฟา แล้วเดินไปหน้าบ้านอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ยาหยีกลับมาแล้วเหรอ มีของฝากมาฝากป้าไหมจ๊ะ”
“เหอะ ที่แท้ก็มาทวงของฝาก”
ยี่หวาพูดกับตัวเองเบา ๆ เธอเดินออกไปยกมือขึ้นไหว้ทักทายป้าสีด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ
“สวัสดีค่ะ หนูยี่หวาเองค่ะ พอดียาหยียังติดธุระอยู่เลยยังไม่ได้กลับมาค่ะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ป้าศรียิ่งขยับเข้ามาใกล้ แล้วสำรวจใบหน้าของยี่หวาจนยี่หวาต้องเบือนหน้าไปอีกทาง
“หนูยี่หวาจริง ๆ ด้วย แย่จัง ทำไมป้าแยกไม่ออกนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าป้าไม่มีอะไรแล้วหนูขอตัวนะคะ”
พรึบ
ยี่หวากำลังจะหันหลังเข้าบ้านแต่ป้าศรีกลับแทรกตัวเข้ามาด้านในอย่างถือวิสาสะ ป้าศรีหันมายิ้มแล้วพูดด้วยท่าทางเป็นกันเอง
“ป้าขอยืมน้ำมันหน่อยนะ”
“น้ำมัน?”
“ใช่ ๆ น้ำมันอะไรน้า วันก่อนยาหยีให้ยืม เดี๋ยวป้าเข้าไปดูเอง หนูยี่หวาจะได้ไม่ต้องลำบาก”
พูดจบ ป้าศรีก็เดินเข้าบ้านไป ยี่หวามองตามหลังพลางถอนหายใจออกมา “เฮ้อ มารยาทอยู่ไหนหมดนะ”
ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ ยี่หวาจึงทำได้แค่เดินตามป้าศรีเข้าไปในบ้านของตัวเธอเอง ป้าศรีกวาดตามองชั้นวางของในครัวอยู่ครู่หนึ่ง
“อันนั้นไง ป้าขอยืมนะจ๊ะ ครั้งก่อนที่ยืมไปใช้ ฮ้อมหอม อาหารก็อร่อยมากด้วย”
น้ำมันที่ป้าศรีว่าคือน้ำมันมะกอกแบรนด์ดัง ยี่หวาไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น เธอคิดว่าป้าศรีจะกลับบ้านตัวเองไปหลังจากได้ของที่ต้องการแต่เธอคิดผิดเพราะป้าศรีกลับนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองไปรอบบ้าน สายตาสอดรู้สอดเห็น
ยี่หวาพยายามกัดฟัน และบอกกับตัวเองไม่ให้แสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา
“คือจริง ๆ ป้าไม่ได้อยากถามหรอกนะ”
หากขึ้นต้นด้วยประโยคนี้ เดาได้ไม่ยากเลยว่าเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายอยากถามแน่นอน
“ค่ะ” ยี่หวาตอบรับสั้น ๆ
“ป้าเห็นข่าวเราวีน รุ่นน้องในงานเลี้ยง มันคือการสร้างเรตติ้งอะไรแบบนี้รึเปล่า”
ยี่หวาแค่นหัวเราะ เธอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้ต้องการแก้ตัวหรือร้อนตัวใด ๆ
“เปล่าค่ะ เป็นเรื่องจริง”
“อ๋อ อย่างนั้นเหรอ”
“ค่ะ พอดีเรามีปัญหากันมาก่อนอยู่แล้ว”
คำตอบตรง ๆ ของยี่หวาทำให้ป้าศรีถึงกับไปต่อไม่เป็น ไม่คิดว่าหญิงสาวจะยอมรับออกมาแบบนี้แต่ถึงอย่างนั้น ป้าศรีก็ไม่วายถามต่อด้วยความอยากรู้อีก
“แล้วนี่หนูกลับบ้านมา เอ่อ…”
“หนูโดนพักงานค่ะ เลยกลับบ้านมาพักผ่อน”
ยี่หวาเป็นคนตรง ๆ ตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว หากมีคนกล้าถามเธอ เธอก็พร้อมจะตอบความจริงเสมอเพราะเธอเกลียดการโกหกเสแสร้ง แกล้งทำเป็นที่สุด และนี่เลยเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้คนไม่ชอบเธอเยอะโดยเฉพาะพวกที่อิจฉาเธอ
“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นป้าไม่กวนแล้วดีกว่าเนอะ”
ป้าศรียิ้มเจื่อน ไม่กล้าถามอะไรต่อ ป้าศรีพอจะรู้ว่ายี่หวาและยาหยีนั้นมีนิสัยค่อนข้างแตกต่างกัน ยี่หวาเหมือนไม้แข็งที่พร้อมจะตีลงบนหัวตลอดเวลาหากไม่พอใจเหมือนพ่อของเธอ แต่ยาหยีนั้นเหมือนไม้อ่อน ที่ทั้งอ่อนน้อม และใจดีเหมือนแม่
“ค่ะ หนูขอไม่เดินไปส่งนะคะ”
——————
ผลัวะ ผลัวะ
อินทรีนั่งกอดอกอยู่บนเก้าอี้ มองไปยังร่างของอนุชาที่กำลังโดนลูกน้องของเขาซ้อมอยู่ด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“พอ”
ลูกน้องของอินทรีถอยออกห่างจากตัวอนุชาตามคำสั่ง ก่อนจะหลีกทางให้อินทรีเดินเข้าไป อินทรีเข้าไปย่อตัวลงมองหน้าอนุชาแล้วถามออกไปด้วยน้ำเสียงดุดัน
“มึงกล้าเผาไร่กูเพราะเศษเงินอย่างนั้นเหรอวะ!?”
อนุชาตัวสั่นเทา พยายามยกมือขึ้นไหว้ อนุชารู้ดีว่าตัวเองนั้นทำผิดแต่ตอนนั้นความโลภมันบังตา อนุชาเลยตัดสินใจทำงานให้คู่อริของอินทรี และคิดว่าถ้าได้เงินก้อนใหญ่จะหนีออกไปใช้ชีวิตสุขสบายที่อื่น
“ผมขอโทษครับคุณอินทรี ฮึก อย่าทำอะไรผมเลย”
อินทรีปรายตามอง ลูกน้องเก่าที่กำลังกอดขาเขาอยู่ แล้วเตะออกก่อนจะหันหลังเดินออกไปอย่างไม่ไยดี
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักลูกน้องแต่ลูกน้องที่คิดคดทรยศก็ไม่ควรเก็บไว้
“พรุ่งนี้จัดการจับมันส่งตำรวจ”
ศาลเตี้ย ไม่ใช่ทางของอินทรี ถึงแม้ว่าเขาจะมีอำนาจ และเงินทองมากมายแต่เรื่องตัดสินความถูก ผิด เขาก็ไม่เคยก้าวล่วงกฎหมาย หากไม่จำเป็น
“ครับคุณอินทรี”
อันที่จริง อินทรีรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังของการเผาไร่ครั้งนี้ แต่เขายังไม่มีเวลาไปเล่นเรื่องไร้สาระกับคนพวกนั้นด้วยตัวเองจึงจะใช้กฎหมายจัดการโดยจะใช้อนุชาเป็นคนซัดทอดคนพวกนั้นเอง
เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะความอิจฉาของเด็กไม่รู้จักโตคนหนึ่งเท่านั้น เปลืองเวลาหากมัวแต่ไปใส่ใจ
อินทรีขับรถกลับมายังบ้านของเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโกดังมากซึ่งทั้งบ้านและโกดังล้วนอยู่ในพื้นที่ของไร่เขาทั้งสิ้น
ไร่ของอินทรีนั้นเป็นไร่ขนาดใหญ่ แต่ถูกสร้างเป็นสัดส่วนชัดเจน อย่างบ้านของเขาถูกสร้าง แยกห่างจากส่วนอื่น ๆ พอสมควรเพราะอินทรีชอบความสงบ และความเป็นส่วนตัว
“คุณอินทรีครับ เสื้อที่นายหญิงซื้อให้ ผมวางไว้ในห้องแล้วนะครับ”
เฉียงเข้ามารายงาน เมื่ออินทรีเดินเข้ามาในบ้าน
“นายผู้หญิง?” อินทรีเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินอย่างนั้น
จนคนสนิทอย่างเฉียงต้องรีบแก้คำ “เอ่อ ผมหมายถึงผู้หญิงที่ทำกาแฟหกใส่เสื้อคุณอินทรีวันนี้ครับ”
“หึ เรียกนายหญิงนั่นแหละ เข้ากับเธอดีว่าไหม?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของอินทรีทำให้เฉียงยิ้มตาม นานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้ของเจ้านาย
คงตั้งแต่ที่ผู้หญิงคนนั้นเดินออกจากบ้านหลังนี้ไปกระมัง
——————-