แต่บทความชุดนี้ของยิหวาถูกหั่นสั้นนิดเดียวกลายเป็นแค่สกู๊ปเล็กๆ เพราะเด็กๆ ที่เธอสัมภาษณ์ส่วนใหญ่มีประวัติไม่ค่อยน่าปลื้มนัก แต่สำหรับยิหวาแล้วพวกเขาน่านใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่ก็ยังดีที่เด็กๆ กลุ่มนี้เข้าใจ แม้ว่าการสนทนากว่าสามชั่วโมงจะกลายเป็นแค่สกู๊ปครึ่งหน้ากระดาษA4 ก็ตาม
“พวกเราอิ่มแล้วพี่หวาก็รีบกลับบ้านเถอะฮะ”
“อะไรกันหมดประโยชน์แล้วกไล่กันเลยเหรอ” ยิหวาแสร้งทำโวยวายแต่นาฬิกาบนหน้าจอมือถือมันก็บอกเวลากว่าตีสองเข้าไปแล้ว
“ไม่ใช่ฮะ” เอ็มรีบโบกมือปฏิเสธ “ช่วงนี้มีเรื่องแปลกๆ มีคนหายและคนตายแปลกๆ พวกเราก็เลยเป็นห่วงพี่หวา”
“เรื่องแปลกๆ ? คนตายแปลก? แบบไหนเหรอ” ยิหวาถามอย่างสงสัย “พี่ไม่เห็นมีข่าวในหนังสือพิมพ์เลย”
“พวกเราได้ยินว่าตำรวจปิดข่าวเพราะกลัวจะเสียภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยวฮะ” เด็กในกลุ่มคนหนึ่งรีบเสริม “แต่พวกนั้นมันก็ตายประหลาดจริงๆ นะฮะ เค้าลือกันว่าโดดผีดิบดูดเลือด!”
“ผีดิบดูดเลือด” ยิหวาจ้องเขม็งที่เด็กทั้งห้าแล้วก็เผลอหัวเราะพรืดออกมา “ขอโทษ...มันจะเป็นไปได้ไง ผีดูดเลือดที่ไหนมีแต่ยุงที่ดูดเลือด”
“ก็เค้าลือกันอย่างนี้นี่” เอ็มทำเป็นงอน “เอาเถอะยังไงพี่หวารีบกลับบ้านดีกว่า พวกเราเป็นห่วง”
“พี่จะไปส่งเธอก่อน”
“รถพี่ขนพวกเราไปไม่หมดหรอกฮะ” เอ็มหัวเราะ “พวกเรากลับกันเองได้แค่พี่มาประกันตัวให้พวกเราก็ขอบคุณแล้วฮะ”
“งั้นก็ตามใจแต่พวกเธอก็อย่ามีเรื่องอีกละ”
“ถ้าเราไม่ถูกดูถูกดูแคลนเมื่อวันนี้นะ...”
ยิหวายิ้มรับแล้วเรียกพนักงานมาเก็บเงินค่าอาหาร หลังจากที่แยกย้ายกันกลับหมดแล้วยิหวาก็อดคิดเรื่องที่เด็กๆ กลุ่มนั้นพูดไม่ได้
“ผีดิบเหรอ นี่เมืองไทยจะมีเรื่องแบบไหนได้ไง”
ยิหวายักไหล่แต่แล้วจู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงหวีดร้องของหญิงสาว ร่างเพรียวสะดุ้งตัวเกร็งขึ้นมาทันทีมือที่กำลังไขกุญแจรถชะงักค้าง แล้วบางสิ่งก็ผลักดันให้เธอก้าวพรวดวิ่งไปตามเสียงที่ได้ยิน
‘อย่าไป!!!’
ชายหนุ่มกระโจนออกมาจากรถเก๋งสีดำอย่างรวดเร็ว เขาโยนแว่นกัดแดดสีชาใส่ในรถหลับตาครู่หนึ่งเพื่อปรับสายตากับแสงสลัวเบื้องหน้า และเมื่อลืมตาอีกครั้งดวงตาของเขาก็เป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมา ร่างสูงโปร่งก้าวยาวๆ จนเป็นวิ่งและกระโดดหายลับในความมืดทันที!
ภาพในสายตาของยิหวาคือชายตัวใหญ่สามคนกำลังฉุดกระชากผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ เสื้อเกาะอกสีขาวที่ผู้หญิงคนนั้นสวมท่ามกลางแสงสลัวทำให้ภาพชัดขึ้น ยิหวาอ้าปากค้างกับภาพที่เห็นวิ่งถลาเข้าไปหมายจะช่วยผู้หญิงด้วยกันทันที
“หยุดนะ! ไอ้คนเลว!”
ชายสามคนหยุดชะงักทันทีแต่คนตัวใหญ่สุดกลับแสยะยิ้มที่มุมปากพยักเพยิดกับเพื่อนร่วมก๊วนก่อนจะหัวเราะร่า ชายคนหนึ่งเดินย่างสามขุมเข้ามาหายิหวาไม่เกรงกลัวคำขู่ของเธอเลยสักนิด
“แบบนี้ค่อยเข้าท่าหน่อยไม่ต้องรอคิวนาน”
“หยุดนะ! ฉัน! ฉันโทรแจ้งตำรวจแล้ว!!” ยิหวารีบล้วงมือไปในย่ามควานหาโทรศัพท์แต่ย่ามใบเก่งกลับถูกกระชากไปเสียก่อน
“ไม่ต้องรีบหรอกเดี๋ยวโทรทีหลังก็ได้ ตอนนี้เรามาสนุกกันดีกว่า”
ยิหวาผงะถอยหลังไปอย่างอัตโนมัติ แต่เพราะไม่ทันตั้งตัวและรีบร้อนทำให้สะดุดจาตัวเองหงายหลังกำลังจะล้มลงพร้อมกับมือของคนชั่วที่ยื่นมาจะจับร่างเธอ ทว่ากลับมีบางสิ่งซ้อนอยู่ด้านหลังพยุงเธอไว้ไม่ให้ล้ม หญิงสาวเผลอหวีดร้องออกมา แต่ก็ยังช้ากว่าเท้ายาวๆ ที่ยื่นไปเตะผู้ชายคนนั้นจนตัวปลิว
“ไม่มีมารยาทกับผู้หญิงเลยจริงๆ” เสียงทุ้มต่ำพูดออกมา น้ำเสียงกังวานของเขาทรงอำนาจทำให้ชาทั้งสามขนลุกขึ้นมาทันที
“อะ...เอ็งอย่ามาสอดดีกว่า!”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วสองแขนที่สอดเข้าใต้รักแร้ของหญิงสาวออกแรงเพียงนิดก็ยกร่างเล็กให้ลอยขึ้นจากพื้นจนเธอยืนได้ตัวเอง ชายสามคนล้อมบุรุษร่างสูงพร้อมมีดในมือ
“นั่นเป็นคำขู่เหรอ” เขาถามน้ำเสียงเยียบเย็น แต่อีกฝ่ายกลับตอบด้วยการพุ่งมีดเข้าใส่ ร่างสูงเพียงเอี้ยวตัวหลบชายคนนั้นก็ถลาลงจูบดิน อีกคนจึงฉวยโอกาสเข้าล็อกร่างใหญ่อีกคนหมายจะซัดหมัดเข้าที่ท้องแต่เท้ายาวของเขากลับยันอีกฝ่ายไว้ได้และศอกกลับใส่คนที่ล็อกขนอย่างรวดเร็ว
“ฉันยังไม่ได้ออกแรงเลยจะพอแค่นี้แล้วเหรอ” เขาหัวเราะในลำคอ ชายสามคนยังพุ่งตัวมาซัดกับคนร่างสูงแต่ก็หมอบคลานกลับไป
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
“ตามสบายครับ” ชายหนุ่มโบกมือลาชายสามคนที่วิ่งหนีตาลีตาเหลือก เขาเดินไปดูหญิงสาวในชุดเกาะอกกระโปรงยีนสั้นที่ยังนั่งหมดเรี่ยวแรงกับพื้นอยู่ “คุณOK.ไหม”
“ขอบคุณ...ค่ะ” ร่างบางยังสั่นน้อยๆ ยิหวาวิ่งมาทางหญิงสาวโชคร้าย
“โชคดีที่ไม่เป็นอะไร แจ้งความไหม”
“ไม่เอา! ฉันกลัว! ฉันอยากกลับบ้านแล้ว” หญิงสาวโชคร้ายกอดกระเป๋าสะพายตัวเองแน่น “แต่แบบนี้มันต้องแจ้งความนะ! ให้ตำรวจจับเจ้าพวกชั่วนั่น”
“บ้านคุณอยู่ไหนผมจะขับรถไปส่ง”
“เฮ้ยนาย! ทำงี้ไม่ได้ได้เราจะปล่อยคนชั่วลอยนวลไม่ได้” ยิหวาหันมาว๊ากใส่แต่พอเห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่ช่วยชีวิตเธอปากที่อ้ากว้างถึงกับลืมเปล่งเสียง ดวงตาของเขามีราวกับเรืองแสงสีแดง
“ผู้หญิงเหมือนกันน่าจะเข้าใจความรู้สึกดีนะ”ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าถูกจ้องมอง เขาแสร้งยกมือขึ้นเสยผมให้ปรกตา
“เอ่อ...” ยิหวามองร่างที่สั่นระริกของหญิงสาวคนนั้น เธอถอนหายใจหนักแล้วประคองร่างเธอลุกขึ้น “ในฐานะที่เป็นผู้หญิงเหมือนกันฉันไปส่งดีกว่า”
“งั้นผมจะขับรถตามไปแล้วกัน”
“คุณไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้นก็ได้มั้งคะ” ยิหวาเอียงคอมองเหมือนจับพิรุธ
“เกิดรถเต่าของคุณเสียกลางทางไงครับ” เขาให้เหตุผลแต่มันยิ่งทำให้ยิหวาถอยห่างจากเขา
“คุณรู้ได้ไงว่าฉันขับรถโฟลค์”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วก่อนหัวเราะในลำคอ เขายกชี้นิ้วไปที่ด้านหลังของหญิงสาว “ผมเดาเอาเพราะแถวนี้มีรถโฟลค์จอดอยู่คันเดียว”
“คุณเดาเก่ง” ยิหวาพยุงหญิงสาวให้เดินไปขึ้นรถของเธอ สอบถามเส้นทางซึ่งบังเอิญเป็นทางผ่านก่อนจะถึงบ้านเธอพอดี “รถของคุณละ”
ชายหนุ่มตอบด้วยการหลิวตามองไปด้านหนึ่งทำให้ยิหวามองตามสายตาของเขา กลับเป็นเธอที่อึ้งเสียเองเพราะรถของเขาเป็นรถสปอร์ตหรูหราสีดำมันวาวมันสวยเสียจนเธอเกือบจะผิวปากออกมาเลย
‘เป็นสาวที่ไหนก็อยากขึ้นรถแบบนั้นทั้งนั้นแหละ’
“อย่าขับเร็วนักละเดี๋ยวผมตามไม่ทัน”
ยิหวาแยกเขี้ยวใส่ รู้ทั้งรู้ว่ารถเต่าของเธอไม่วันแซงหน้ารถสปอร์ตของเขาได้แน่ๆ แต่เธอก็ขี้เกียจะโต้เถียงเขา ยิหวาสตาร์ทรถแล้วเคลื่อนผ่ากลางคืนที่สายฝนเริ่มซ่าลงจนแทบกลายเป็นหยุด เธอมองผ่านกระจกหลังเป็นระยะๆ เห็นรถของเขาขับตามมาห่างๆ ทั้งที่เป็นคนแปลกหน้าแต่ทำไมถึงได้รู้สึกอุ่นใจนักก็ไม่รู้ เพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่หมายยิหวาส่งหญิงสาวที่เริ่มสงบลงมากแล้ว ยิหวาส่งนามบัตรของเธอให้หญิงสาวโชคร้ายก่อนลงจากรถ
“เกิดเปลี่ยนใจอยากแจ้งความจะให้ฉันไปเป็นเพื่อนก็ได้นะ”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้ก่อนรับนามบัตรแล้วลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว