ด้านชัยรัมภา
“ภา โต๊ะหก”
“ค่ะ เชฟ” ชัยรัมภาขานรับ
เธอยังมาทำงานเหมือนเดิม แม้ว่าชีวิตในตอนนี้จะยุ่งเหยิงและปัญหาจะพัวพันกันจนยุ่งหาทางแก้ไม่ได้ก็ตาม พอเสิร์ฟอาหารเรียบร้อย หล่อนก็รีบไปเก็บตะที่ลูกค้าเพิ่งลุกไปเพื่อให้ลูกค้าที่จองคิวรออยู่ด้านนอกได้เข้ามารับประทานอาหารต่อ
เพล้ง!
เพราะมัวแต่เหม่อลอยคิดอะไรในหัวเยอะแยะ ทำให้หล่อนเผลอทำจานหลุดมือหล่นแตกไปหนึ่งใบ หยิงสาวรีบผงกหัวขอโทษลูกค้าในร้านแล้วก้มเก็บเศษจานที่แตกอย่างรีบร้อน ในใจก็กลัวว่าจะถูกเชฟกอร์ดอนไล่ออกจากงาน
“อ๊ะ!” ความรีบทำให้เธอบาดเจ็บ
ชัยรัมภาถูกจานบาดเข้าที่นิ้วจนเลือดซิบ หล่อนกำลังจะอมนิ้วเข้าไปในปากเพื่อดูดเลือด ทว่าเสียงของเชฟกอร์ดอนกลับดังขัดจังหวะเสียก่อน
“อย่านะ” เขาเอ่ยห้ามแล้วเข้ามาดึงแขนเธอให้ลุกขึ้น “ตี๋ มาเก็บตรงนี้ด้วย” หันไปสั่งพนักงานอีกคนแล้วดึงแขนชัยรัมภาพาเดินไปที่ห้องพักของตนเองที่อยู่ด้านหลังร้าน นอกจากเชฟกอร์ดอนแล้ว คนอื่นในร้านจะไม่มีสิทธิ์เข้ามาจนกว่าจะได้รับอนุญาต
“เอ่อ…เชฟคะ…”
“นิ้วสำคัญมากสำหรับนักเปียโนไม่ใช่หรือ”
คำพูดของเชฟกอร์ดอนทำให้ชัยรัมภาไม่พูดอะไรอีก ทำได้แค่เดินตามเขาเข้าไปเงียบๆ ร่างสูงขนอุปกรณ์ทำแผลออกมา แล้วลงมือใส่ยาที่นิ้วให้แก่หล่อน
คำว่า ‘นักเปียโน’ ที่เขาเอ่ยออกมาแทบจะเป็นคำต้องห้ามในชีวิตของชัยรัมภาไปแล้ว จริงอยู่ว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เธอเรียกเรียนคณะดนตรีสากล ด้วยฝันอยากจะเป็นนักเปียโนมืออาชีพ เพราะตั้งแต่เด็กจนโต เธอเล่นเปียโนเป็นงานอดิเรกมาโดยตลอด จนกระทั่งเรื่องเลวร้ายพวกนั้นเกิดขึ้น หญิงสาวจำต้องตัดขาดจากเปียโนที่รัก เพราะถึงจะยังคงมีความฝันต่อไปก็คงทำอะไรไม่ได้ การจะเรียนต่อคณะดนตรีหรือมหาวิทยาลัยดนตรีโดยเฉพาะ มันห่างไกลความเป็นจริงในชีวิตของเธอนัก
“เชฟจำได้ด้วยหรือคะ” หล่อนถาม
“เรื่องอะไร”
“ก็…เรื่องความฝันในชีวิต ที่ฉันกรอกไว้ตอนมาสมัครงานที่นี่”
แม้นตอนนั้นเธอจะค่อนข้างแปลกใจที่ในใบสมัครของที่นี่มีคำถามแปลกๆ แบบนั้น แต่หญิงสาวก็ตอบไปตามความจริง
“ฉันจำของพนักงานได้หมดทุกคนนั่นแหละ ไม่มีอะไรพิเศษหรอก”
“ไม่ค่ะๆ ฉันไม่กล้าคิดว่ามันมีอะไรพิเศษหรอกค่ะ” เธอรีบแย้ง
เชฟกอร์ดอนลอบทำสีหน้าเจ็บใจในตัวเอง ที่เอาแต่ทำเป็นขรึมและวางท่าใส่หล่อน เขาค่อยๆ เป่าลมไปที่นิ้ว พอถูกทำแบบนั้นใส่ หญิงสาวก็เริ่มเขินจนหน้าแดง เธอนั่งตัวแข็งทื่อ
“เสร็จแล้ว ครั้งหน้าก็ระวังด้วยล่ะ ฉันเป็น…”
“ฉันจะระวังค่ะ ฉันรู้ว่าจานทุกใบของเชฟมันแพงมากๆ ฉันจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแน่นอนค่ะ” เธอรีบก้มหัวขอโทษเขา เชฟกอร์ดอนที่ไม่ได้คิดห่วงเรื่องจานเลยแม้แต่น้อยถึงกับไปต่อไม่ถูก
“อืม ไปได้แล้วล่ะ”
“แปลว่า…เชฟจะไม่ไล่ฉันออกใช่ไหมคะ” เธอถามพลางเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน การที่หล่อนมานั่งทำปากเบะแล้วกะพริบตาปริบๆ ใส่เขาแบบนี้ มันช่างน่ารักในสายตาของเขาเสียเหลือเกิน
“ไม่…ไม่ไล่” เขาตอบ
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณค่ะเชฟ! ฉันจะตั้งใจทำงานอย่างดีเลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ!”
ชัยรัมภาเอ่ยขอบคุณเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะรีบออกจากห้องเพื่อกลับไปทำงานต่อ เชฟกอร์ดอนค่อยๆ ยกมือขึ้นมากุมที่หน้าอกข้างซ้าย เสียงหัวใจของเขาดังและเต้นแรงมากจนเจ้าตัวเองยังตกใจ
“รอยยิ้มแบบนั้นมันอะไรกัน จะฆ่ากันหรือไงนะ”
เขายกสองมือขึ้นมาจับแก้มของตัวเอง มันเห่อร้อนไปทั้งหน้าด้วยความเขินอายเพียงแค่เห็นรอยยิ้มดีใจของหญิงสาว
เชฟกอร์ดอนนึกย้อนไปถึงวันที่เขาได้เจอเป็นครั้งแรก มันเป็นเรื่องก่อนที่เธอจะมาสมัครงานที่ร้านอาหารของเขาเพียงหนึ่งวัน วันนั้นกอร์ดอนอยากลองนั่งรถไฟใต้ดินเป็นครั้งแรกหลังจากเพิ่งกลับจากฝรั่งเศส เพื่อจะมาเปิดร้านอาหารในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของมารดาและคุณยายที่เขาเคารพรัก ตอนนั้นเกิดเหตุการณ์เด็กมัธยมถูกชายวันกลางคนลวนลามบนเครื่องบิน เด็กคนนั้นได้แต่ยืนสั่นด้วยความกลัวไม่กล้าขอความช่วยเหลือว่ากำลังถูกลวนลาม ชายหนุ่มที่เห็นทุกอย่างตั้งใจจะเข้าไปช่วยเหลือ ทว่า…
ชัยรัมภาที่เห็นทุกอย่างเป็นฝ่ายเข้าไปช่วยเสียก่อน เธอเข้าไปผลักผู้ชายคนนั้นออกแล้วเปิกปากด่าชายคนนั้นลั่นรถไฟอย่างไม่เกรงกลัวตัวเองจะถูกทำร้าย แถมยังแอบถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐานเพื่อจะพาเด็กผู้หญิงคนนั้นไปแจ้งความอีกด้วย ท้ายที่สุดคนทำผิดก็กลัวจนเป็นฝ่ายลงจากรถไฟทันทีที่ถึงสถานีถัดไปเอง นั่นทำให้เชฟกอร์ดอนเริ่มประทับใจในตัวชัยรัมภาขึ้นมา
พออีกวันเขาพบว่าเธอมาสมัครงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหารของเขา ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาแอบเพิ่มคำถามลงไปในใบสมัครของเธอเพียงคนเดียว นั่นก็คือ…ความฝันในชีวิต ที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าจำของพนักงานทุกคนในร้านได้นั้นเขาโกหก เขาจะไปจำของคนอื่นๆ ได้อย่างไร ในเมื่อคนที่เขาเพิ่มคำถามนั้นลงไปมีแค่…
เธอเพียงคนเดียว
ตั้งแต่นั้นมา เชฟกอร์ดอนก็คอยมองชัยรัมภามาตลอด มีทั้งแอบตามไปส่งเธอจนถึงบ้านแบบเงียบๆ เวลาเลิกงานดึก เพราะห่วงเรื่องความปลอดภัย ทำให้ได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของหญิงสาวตลอดหกปีที่ผ่านมา ตอนที่น้องชายและน้องสะใภ้ของหล่อนเสียจนต้องขอลางานเพื่อจัดงานศพ เชฟกอร์ดอนเองก็ช่วยเป็นเจ้าภาพในการจัดงานนั้นให้ แม้แต่ตอนที่แม้ของเธอล้มป่วยลง ทำให้ช่วงแรกๆ เธอต้องขาดงานบ่อย เขาก็ไม่เคยว่า ซ้ำยังเคยแอบแวะไปเยี่ยมแม่ของเธอที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วยหลายต่อหลายครั้ง
เขาทำหลายๆ อย่างเพื่อเธอมากมายโดยที่เธอไม่เคยรู้ สำหรับเขาไม่เคยมีอะไรในโลกที่ทำไม่ได้ ทุกสิ่งเป็นเรื่องง่ายสำหรับชายคนนี้ไปเสียหมด เว้นก็แต่เรื่องเดียว…
การสารภาพความในใจที่มีต่อชัยรัมภา
ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ทำไม่ได้เสียที หกปีที่ผ่านมาเลยทำได้แค่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ และคอยช่วยเหลือทุกครั้งที่มีโอกาสเท่านั้น
“กลับก่อนนะคะเชฟ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ” เธอเข้ามาเอ่ยลาเขาในครัว
“เดี๋ยว เอานี่ไปสิ ฉันทำไว้กินเป็นมื้อดึก แต่ทำเยอะเกินไป” เขาส่งถุงอาหารให้หล่อน
ชัยรัมภายิ้มอย่างดีใจก่อนจะเดินเข้าไปรับถุงนั้นมาไว้ในมือ เชฟกอร์ดอนรู้สึกดีทุกครั้งที่เห็นว่าเธอชอบทายอาหารฝีมือของเขา
“ฉันจะทานให้อร่อยเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ”
พูดแค่นั้นก็เดินออกจากร้านมา หลังจากที่คิดทบทวนอยู่หลายครั้งตลอดเวลาที่ทำงานอยู่ ในที่สุดชัยรัมภาก็ตัดสินใจได้เสียทีว่าจะทำอย่างไรต่อไป
‘แม่ครับ ต้นกล้าทำให้แม่ลำบากหรือเปล่า ฮึกกก ถ้าไม่มีต้นกล้า แม่จะสบายกว่านี้ไหมครับ ฮืออ’
‘แล้วทำไมพวกเราถึงไม่มีเงินเหรอครับ ถ้าไม่ใช่เพราะต้นกล้า ทำไมพวกเราถึงไม่มีเงินไปกินของอร่อยๆ ไม่มีเงินซื้อชุดสวยๆ แล้วก็ไปเที่ยวที่สนุกๆ ล่ะครับ’
คำพูดและใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาของต้นกล้าแวบเข้ามาในความคิด หล่อนไม่ต้องการเห็นน้ำตาของลูกชายอีกแล้ว
“แม่จะทำทุกอย่างเพื่อต้นกล้ากับคุณยายเอง ไม่ต้องห่วงนะครับ”
เธอพูดกับตัวเอง ลำพังแค่สองมือของเธอ คงไม่สบายทำให้ชีวิตของบุคคลอันเป็นที่รักสุขสบายได้อย่างใจหวัง ถึงแม้จะต้องเสียศักดิ์ศรีก็ตาม เธอก็พร้อมที่จะ…
เสียสละเพื่อคนที่เธอรัก
‘ที่สำคัญ…หนูภากับลูก แล้วก็คุณแม่ของหนูก็จะได้ไม่ต้องลำบากอีกต่อไปนะ’
หากคำพูดของคงเดชยังคงมีผลอยู่ ชัยรัมภาก็ไม่มีอะไรที่ต้องลังเลอีกต่อไปแล้ว เธอเรียกแท็กซี่ให้มาส่งที่หน้าบริษัทแฟมิลี่โฮมส์ เพราะได้ส่งข้อความมานัดคงเดชเอาไว้ตั้งแต่เมื่อตอนกลางวันแล้วว่าหลังเลิกงานที่ร้านอาหาร หล่อนจะมาเข้าพบ
ชัยรัมภาสูดลมหายใจเข้าปอด กำถุงกับข้าวในมือไว้แน่นก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในตึก พนักงานที่ได้รับคำสั่งจากคงเดชอยู่รอหล่อนอยู่แล้ว เขาจัดการกดลิฟต์ขึ้นไปชั้นที่สามสิบให้ รอไม่นานลิฟต์ก็มาถึงที่หมายก่อนจะเปิดออก หญิงสาวก้าวขาออกไป
ที่โต๊ะทำงานซึ่งมีป้ายตำแหน่ง ‘ประธานบริหาร’ วางอยู่ ที่เก้าอี้ซึ่งถูกหมุนไปอีกด้าน ทำให้ด้านที่หันหาเธอคือด้านหลังมีใครบางคนนั่งอยู่ด้วย ชัยรัมภารู้ว่าคนที่นั่งอยู่คือคงเดช เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ก่อนจะกลั้นใจพูดในสิ่งที่คิดไว้เป็นอย่างดีออกไป
“ภาตกลงจะแต่งงานกับลูกชายของคุณลุงค่ะ แต่มีข้อแม้ว่าภาจะต้องได้เงินค่าเลี้ยงดูเดือนละหนึ่งแสนบาท จ่ายสด งดเชื่อ เบื่อทวงค่ะ”
หล่อนหลับตาพูดออกไป ทว่าจนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้เสียงตอบกลับจากอีกฝ่ายทำให้หล่อนต้องลืมตาขึ้นเพื่อมองว่าทำไมถึงไม่มีการตอบรับจากคงเดช
“เอ่อ…คุณลุงคะ?” หรือหนึ่งแสนบาทมันจะมากเกินไป?
แต่เธอคำนวณมาแล้วว่าค่าใช้จ่ายในการดูแลมารดา รวมถึงค่าเล่าเรียนของต้นกล้าที่จะต้องดีขึ้นกว่านี้ หนึ่งแสนบาทคือราคาที่เหมาะสมแล้ว
ครืด…
คงเดชไม่ตอบ แต่กลับเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้น ชัยรัมภาเริ่มขมวดคิ้ว เพราะคงเดชที่เธอกำลังเห็นในตอนนี้ ช่างแตกต่างจากคนเมื่อเช้าราวกับคนละคน แค่ด้านหลังที่เห็นก็ไม่ใช่แล้ว คนตรงหน้านอกจากจะสูงกว่าแล้วยังดูเด็กกว่าตั้งเยอะ
“ก็นึกว่ามีอะไรจะพูดเสียอีก แต่เอาเถอะ ไม่ผิดจากที่คิดไว้นักหรอก”
“คะ…คุณเป็นใครคะ?!” หล่อนรีบถาม
เสียงที่พูดออกมาไม่ใช่คงเดชอย่างแน่นอน เป็นเสียงที่ทุ้มและต่ำกว่านั้นมาก เจ้าของเสียงไม่ตอบ แต่ค่อยๆ หันกลับมาหาหล่อน ชุดที่เขาสวมใส่คือคนๆ เดียวกับผู้ชายที่ขับรถเปิดประทุนคันเมื่อเช้ามาจอดที่หน้าประตู ชัยรัมภาเพ่งมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างพินิจด้วยรู้สึกคุ้นเคย
“อะไรกัน นี่ลืมฉันไปแล้วหรือ”
“คุณ…”
“ภาครับ ผมซื้อน้ำมาให้”
‘ภาครับ ผมซื้อน้ำมาให้’
“ภากร!” เธอเอ่ยชื่อเขาเสียงดังลั่นเพราะความทรงจำในวันวานย้อนเข้ามาในความคิด!
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวจำเขาได้แล้ว ชายหนุ่มก็ยกยิ้มมุมปากพลางมองหล่อนด้วยสายตาดูแคลน เขาเดินเข้ามาใกล้ๆ สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงเอาไว้จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าหล่อน
ร่างสูงโน้มตัวลงมา ริมฝีปากจ่อไปที่ใบหูของอีกฝ่าย
“เธอนี่มัน…หน้าเงินไม่เปลี่ยนเลยนะ”
หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาแปดปี นั่นคือคำทักทายแรกของเขา!