"ผมกอร์ดอนครับ เป็นเชฟและเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ภาทำงานอยู่" เชฟกอร์ดอนแนะนำตัวกลับ
ดวงตาคมจ้องมองมือของอีกฝ่ายที่จับต้นแขนเล็กของชัยรัมภาอยู่
"อย่างนี้นี่เอง เป็นเจ้านายของภรรยาผมสินะครับ ที่รัก...ทำไมคุณไม่บอกผมล่ะว่าเจ้านายของคุณก็จะมาร่วมงานด้วย ผมจะได้ต้อนรับเขาให้ดีกว่านี้" ภากรแสร้งเรียกหล่อนเสียงหวาน ขณะที่ชัยรัมภาได้แต่เบะปากในความตีสองหน้าของชายคนนี้
"เชฟกลับบ้านเถอะค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว ไว้ยังไงฉันจะติดต่อไปอีกทีเรื่องงานที่ร้านนะคะ"
"ตกลง ฉันไปนะ" เขามองเธอด้วยสายตาเป็นห่วง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่านี้ได้
เชฟกอร์ดอนเดินไปที่ลิฟต์ ภากรโบกมือบ๊ายบายเขาด้วยใบหน้ายิ้มร่า รอจนกระทั่งอีกฝ่ายหายเข้าไปในลิฟต์แล้ว มือที่เคยโอบหล่อนแน่นก็คลายออกทันที
หญิงสาวรู้ได้ในทันทีว่าเขาก็แค่หาเรื่องแกล้งเธอเท่านั้น
"คุณพ่อคุณแม่รอนานมากแล้ว ใจคอจะยืนคุยจนถึงเช้าเลยหรือไง"
"ก็ถ้าคุณมาที่งานเร็วกว่านี้ พิธีการในวันนี้ก็คงไม่เลื่อนจนดึกหรอกค่ะ" ชัยรัมภาตอกกลับจนอีกฝ่ายแทบจะหน้าหงาย
"นี่เธอ...! ฉันไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย มันเป็นเหตุสุดวิสัยนะ"
"เรื่องของคุณสิคะ ฉันไม่ได้สนใจ อันที่จริงคุณไม่ต้องมาเลยก็ได้ รอไปจดทะเบียนที่อำเภอพรุ่งนี้ทีเดียวก็พอค่ะ"
น้ำเสียงเย็นเยียบของชัยรัมภาทำให้ภากรรู้ว่าเธอยังไม่หายโกรธ และเธอคงไม่พอใจเรื่องในวันนี้มากจริงๆ ถึงเขาจะเกลียดเธอ แต่เขาก็ไม่ได้ร้ายกาจขนาดจะคิดทำลายเกียรติและชื่อเสียงของเธอแน่นอน
"เธอ...โกรธเหรอ"
"เปล่าค่ะ ฉันจะมีสิทธิ์โกรธอะไรคุณได้ ไปเถอะค่ะ"
เธอตอบแค่นั้นก็เดินนำเขาไปทางคงเดชและพิศมัย ส่วนต้นกล้าหลับไปตั้งแต่ช่วงสามทุ่ม พี่เลี้ยงจึงพาเขาไปนอนที่ห้องพักในโรงแรมที่จองไว้่
"รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะเลยฤกษ์ส่งเข้าหอกันพอดี" คงเดชรีบเร่ง
ทั้งสี่คนขึ้นมาจนถึงชั้นบนสุดซึ่งเป็นห้องสวีตชั้นหกสิบเก้า ภายในห้องถูกจัดแต่งเอาไว้อย่างสวยงามเพื่อรอต้อนรับคู่บ่าวสาว ธงไชยที่ขึ้นมารออยู่ก่อนแล้วจัดการเปิดประตูห้องให้ทั้งสี่คนเดินเข้าไป ทว่าในห้องกลับมีใครคนหนึ่งรออยู่ก่อนแล้ว 'พรรัมภา' มารดาของชัยรัมภาที่ควรจะนอนหลับอยู่ที่ศูนย์พักฟื้นนั่งอยู่ที่ปลายเตียง
"คุณแม่!" หล่อนรีบวิ่งเข้าไปหามารดา ร่างเพรียวทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นก่อนจะซบลงบนตักนุ่มของผู้เป็นแม่
"แอ้อินอีอ้วยอ๊ะ" (แม่ยินดีด้วยนะ) พรรัมภาพยายามพูดคำอวยพรออกมา แม้ว่ามันจะค่อนข้างยากสำหรับผู้ที่เป็นอัมพาตครึ่งซีกก็ตาม
"คุณแม่..." น้ำตารินไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย
"อ๋อไอ้อู๊กอ๋าวแอ้อีแอ่อามอุกอ๊ะอู๊กอ๊ะ" (ขอให้ลูกสาวแม่มีแต่ความสุขนะลูกนะ) พรรัมภาค่อยๆ ยกมือขึ้นหมายจะลูบหัวลูกสาว ชัยรัมภาที่รู้ว่ามารดาต้องการจะทำอะไร จึงยกเอามือของมารดามาวางบนศีรษะของตัวเอง
"ขอบคุณนะคะคุณแม่ ที่มา...หนูคิดว่าวันนี้...นอกจากต้นกล้าและเชฟ หนูจะไม่มีใครแล้วเสียอีก ฮึก..."
ชัยรัมภาร้องไห้หนักขึ้น คำพูดของหล่อนทำให้ภากรยิ่งรู้สึกผิด วันนี้เขาคงทำให้เธออับอายและต้องรู้สึกแย่ไม่น้อย แขกทุกคนในงานล้วนเป็นแขกจากครอบครัวเขาทั้งนั้น ไม่มีเลยสักคนที่เป็นคนของเธอ คนที่จะยืนข้างเธอในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่...
ชายหนุ่มขบเม้มริมฝีปากตัวเองด้วยความหงุดหงิด เขาหงุดหงิดด้วยไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงต้องรู้สึกผิดขนาดนี้
"แอ้อ๋อโอ๊ดอ๊ะ อี้แอ้อาอ๊า" (แม่ขอโทษนะ ที่แม่มาช้า)
"ไม่เป็นไรเลยค่ะ แค่คุณแม่มา หนูก็ดีใจมากแล้ว ว่าแต่...คุณแม่มาได้ยังไงคะ แล้วรู้เรื่องงานแต่งในวันนี้ได้ยังไง"
หล่อนเอ่ยถามมารดา ด้วยยังไม่ได้บอกเรื่องการแต่งงานครั้งีน้ให้มารดาทราบ
พรรัมภาไม่ตอบลูกสาว หากแต่เงยหน้ามองไปทางคงเดช ราวกับต้องการให้อีกฝ่ายอธิบายแทน
"คืออย่างนี้นะหนูรัมภา ลุงเป็นคนไปบอกคุณแม่ของหนูเองแหละ"
"คะ?"
ย้อนกลับไปหนึ่งวันก่อนงานแต่ง
ศูนย์พักฟื้น
คงเดชและพิศมัย ให้ธงไชยพามาที่ศูนย์พักฟื้น เพื่อมาพบกับพรรัมภา ทั้งสองขึ้นมาที่ห้องพักวีไอพี พยาบาลที่คอยดูแลเธออยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงจึงออกมายืนรอที่หน้าห้อง พรรัมภาที่นั่งอยู่บนรถเข็นและกำลังชมวิวอยู่ตรงระเบียงห้องหันมาเห็นทั้งสองเข้า หล่อนเบิกตากว้าง พยายามเรียกพวกเขาด้วยความดีใจ
"อง...องเอช อิ๊ด...อะไอ๋..." (คง...คงเดช พิ...ศมัย)
"พร ฉันมาแล้ว ฉันมาแล้ว" คงเดชรีบถลาเข้าไปหาพรรัมภา ทั้งสองกอดกันแน่น ด้วยเป็นเพื่อนสนิทกันมาเนิ่นนาน
พิศมัยตามไปยืนข้างๆ เอื้อมมือไปจับมือของพรรัมภาไว้แน่น ทั้งสามต่างก็ร้องไห้มองหน้ากันและกันด้วยความคิดถึง โดยเฉพาะคงเดชและพิศมัย ทั้งสองเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เมื่อรู้ว่าครอบครัวของเพื่อนรักพ่วงด้วยผู้มีพระคุณต้องตกระกำลำบากถึงขนาดนี้ โดยที่พวกเขาไม่เคยได้รับรู้และช่วยเหลือมาก่อน
"ฉันขอโทษนะพร ขอโทษที่ปล่อยให้เธอกับลูกๆ ต้องลำบาก ขอโทษที่ช่วยอะไรเธอกับไอ้ชัยไม่ได้เลย ทั้งที่ฉันช่วยได้แท้ๆ"
"อือออ ฮึก..." พรรัมภาส่ายหน้าทั้งน้ำตา
เธอไม่เคยนึกโกรธหรือโทษเขาเลย ตลอดมามีเพียงความคิดถึง ที่ไม่ได้รู้ว่าเพื่อนรักและครอบครัวเป็นตายร้ายดีเช่นไรบ้างแล้วก็เท่านั้น
"พร...จากนี้ไปเธฮกับลูกจะไม่ต้องลำบากอีกแล้วนะ ฉันกับคุณเดช จะดูแลพวกเธอเอง พวกเราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน ฉันจะไม่ให้เธอกับลูกต้องลำบากอีก"
พิศมัยเองก็ยิ้มทั้งน้ำตา แม้เธอจะไม่ได้เป็นเพื่อนกับพรรัมภา ชัยชนะและคงเดชมาตั้งแต่แรก แต่เป็นเพียงภรรยาของคงเดชที่ได้มารู้จักกับทั้งสองคนในภายหลัง แต่เธอก็สนิทกับทั้งคู่ได้อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเพื่อนรักกัน และยังได้รับความช่วยเหลือมากมายที่ไม่อาจทดแทนได้หมด ทำให้สำหรับเธอเอง พรรัมภาไม่ใช่แค่ผู้มีพระคุณต่อครอบครัว แต่ยังเป็น...
คนสำคัญในชีวิต ที่จะไม่ยอมสูญเสียไปอีก
"ลุงเลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้พรฟัง แล้วก็ขอทางศูนย์ฯ ว่าให้พรมาร่วมอวยพรส่งหนูภากับตาเซียนเข้าหอสักแป๊บ เพราะคิดว่าวันสำคัญที่สุดของหนู แม่หนูก็ควรจะได้เห็น" คงเดชเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
"ขอบคุณมากนะคะคุณลุง คุณป้า ที่เมตตาหนูกับแม่ขนาดนี้" หล่อนยกมือไหว้ขอบคุณ น้ำตายังไหลอาบแก้มไม่หยุด
"อย่าพูดแบบนั้นสิจ๊ะ ตอนนี้พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว มันไม่ใช่ความเมตตาใดๆ เลย แต่มันคือความรักจ้ะ ป้า...ไม่สิ แม่รักหนูรัมภานะลูก รักเหมือนลูกสาวแท้ๆ ของแม่อีกคนหนึ่ง จากนี้ไป...หนูก็เรียกแม่ว่าคุณแมา เรียกพ่อว่าคุณพ่อเถอะนะ"
พิศมัยลูบศีรษะชัยรัมภาอย่างเอ็นดู เธอยังจำได้ไม่เคยลืม วันแรกที่ชัยรัมภาคลอดออกมา ก่อนที่พรรัมภาจะได้อุ้มลูกสาวของตนเอง เธอคือคนแรกที่ได้อุ้มหล่อนจากพยาบาลที่อุ้มมาให้ญาติๆ ดู
"ค่ะ คุณแม่ คุณพ่อ" หญิงสาวทำตามที่พิศมัยบอก
ทั้งห้องตลบอบอวลไปด้วยสายใยรักและความอบอุ่นจากครอบครัว แม้ภากรจะไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยสักเท่าไหร่ แต่เขากลับหุบยิ้มไม่ได้ ที่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกบิดาและมารดาของเขาว่าพ่อกับแม่
'อ๊ะ แล้วนี่เราจะยิ้มทำไมวะเนี่ย หยุดยิ้มเดี๋ยวนี้เลยนะ'
ชายหนุ่มออกคำสั่งกับตัวเองในความคิด